Author: Khanenphan Chueanuam

อาหารญี่ปุ่นที่ถูกจนไม่ต้องไปกินบุฟเฟ่ต์ ของดีราคาไม่แพงวัตถุดิบนำเข้าจากญี่ปุ่นแทบทุกรายการ มาดูมาลองกันเลย Kinlakestars.com ขอแนะนำ สึโบฮาจิ ร้านอาหารสไตล์อิซากายะขนานแท้จากเมืองฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ที่มีตำนานความอร่อยมาช้านาน เปิดกิจการมาตั้งแต่ปี ค.ศ 1973 มาพร้อมคุณภาพและความน่าเชื่อถือกว่า40ปี โดยมีมากกว่า300สาขา ทั่วประเทศญี่ปุ่นและเริ่มขยายสาขาสู่ต่างประเทศที่แรกคือสิงคโปร์ และประเทศไทยตามลำดับ สำหรับประเทศไทย ร้านสึโบฮาจิ อยู่ภายใต้การบริหารงานร่วมกัน ระหว่าง บ.อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่นแมเนจเมนท์ จำกัด และ บริษัท สึโบฮาจิ ประเทศญี่ปุ่น ด้วยจุดเด่นความหลากหลายของเมนูอิซากายะ หรือ เมนูกิน-ดื่ม กว่า200เมนู คุณภาพเดียวกับที่ประเทศญี่ปุ่น และราคาที่สมเหตุสมผล พร้อมเมนูปู 3 สายพันธ์จากฮอกไกโด อย่าง ปูทาราบะ ปูขน และปูซูไว มีให้ทานตลอดทั้งปี ในราคาสมเหตุสมผลอีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรับประทานอาหารญี่ปุ่นอย่างแท้จริง สำหรับจุดเด่น ร้านสึโบฮาจิ สาขาสุขุมวิท 33 ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง ให้บรรยากาศความอบอุ่น ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นโอเรลทัล สไตล์ญี่ปุ่น ให้ลูกค้ามีความรู้สึกเสมือนเข้ามารับประทานอาหารที่บ้านเพื่อนที่รู้ใจ พร้อมด้วยห้องส่วนตัว จำนวน 9 ห้อง ลูกค้าสามารถเต็มอิ่มกับอาหารสไตล์อิซากายะที่ปรุงจากวัตถุดิบและเครื่องปรุงชั้นเลิศนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยคุณภาพและความอร่อยกว่า 200 รายการ ทั้งอาหารประเภทชุดและจานเดี่ยว อาทิ ซูชิ ซาซิมิ อาหารทะเล อาหารย่าง อาหารทอด เมนูข้าว และเมนูเส้น เมนูแนะนำ อาทิ ปลาดิบรวมชุดพิเศษ ปูทาราบะนึ่ง ข้าวอบสไตล์ญี่ปุ่น อาหารปิ้งย่าง และอาหารทานเล่นสำหรับแกล้มกับเครื่องดื่มอีกหลากหลายชนิด และเครื่องดื่มนานาชนิด ทั้งเบียร์ สาเก ม็อคเทล เป็นต้น ว่าแล้ว KinlakeStars.com ก็ขอเริ่มกันที่เมนูที่มีอยู่ประจำในทุกช่วงเทศกาลกันก่อนเลยนะครับ ปูยักษ์ทาราบะนึ่ง Gokai!! Mushi Tarabagani ราคา 999 บาท ปูทาราบะ ปูสายพันธ์ยักษ์ ที่หลายคนต้องไปทานที่เมืองฮอกไกโด แต่ที่สึโบฮาจิ มีปูชนิดนี้ให้ทานตลอดทั้งปี เชฟใช้เวลานึ่งปูทาราบะ5นาที ให้เนื้อที่อิ่มเอิบ สดหวานรสชาติอร่อย อาจบีบเลมอนเล็กน้อย…

Read More

เพิ่มความพิเศษให้วันแห่งความรัก ด้วย 2 เซ็ทเมนูดีต่อใจ จาก 2 ห้องอาหารสุดโรแมนติค ทั้ง Metro on Wireless และ CHAR แห่งโรงแรมที่วิวดีที่สุดของถนนวิทยุ Hotel Indigo สวัสดีครับทุกท่าน ใกล้เทศกาลวาเลนไทน์เข้ามาทุกที คู่รักหลายคู่ต่างกำลังหาโอกาสมอบช่วงเวลาสุดพิเศษให้แก่กัน หนึ่งวิธีที่จะสร้างความประทับใจที่ดีที่สุด คือพาคนรักไปดินเนอร์ในที่ห้องอาหารวิวดีๆ อาหารอร่อยๆ สักแห่งใช่ไหม วันนี้ KinlakeStars จะพาคู่รักไปชิมดินเนอร์สุดพิเศษจาก Hotel Indigo ที่มีมาให้ได้สัมผัสกันเฉพาะช่วงวาเลนไทน์นี้เท่านั้นครับ เชฟ มาเริ่มกันที่เครื่องดื่มกันก่อนครับ แต่แก้วนี้ไม่ได้รวมอยู่ในคอร์สเซ็ทนะครับ ที่นี่มีเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลายครับไม่ว่าจะเป็นม็อกเทล ค็อกเทล แอลกอฮอล์ และไวน์ อันดับแรกเรามาลองชิมอีกเมนูวาเลนไทน์จากห้องอาหาร CHAR กันบ้างครับ ห้องอาหารสุดโรแมนติคที่จะพาท่านดื่มด่ำกับอาหารและวิวกรุงเทพสุดตระการตา โดยให้บริการเฉพาะวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 นี้เท่านั้นเช่นกันครับ โดย CHAR Valentines Set Menu จะเป็นเมนูแบบ 5 คอร์ส ในราคา 3,200.- ++ ต่อท่านเฉพาะอาหาร และ 4,600.- ++ พร้อมไวน์ Caviar Lamb Tartar or Tuna Tartar Black Cod Short Ribs or Pork Belly Burnt Corn Husk Meringue ต่อไปเราจะพาทุกท่านไปชิมเมนูดินเนอร์เซ็ทแบบ Western จากห้องอาหาร Metro on Wireless กันก่อนครับ โดยเซ็ทเมนูนี้จะมีบริการเฉพาะวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 นี้เท่านั้น ซึ่งValentines Western Set จะเป็นเมนูแบบ 5 คอร์ส ในราคา 2,000.- ++ ต่อท่านเฉพาะอาหาร…

Read More

The St.Regis เอาใจคนรักปูด้วยเมนูพิเศษจากสุดยอดเชฟอาหารจีน คาซซิดี เซน ที่บรรจงนำปูทะเลก้ามโตปรุงรสด้วยสุดยอดซอส 3 แบบ 3 สไตล์ ทั้งผัดไข่เค็ม พริกไทยดำมา และ ซอสพริกสไตล์สิงคโปร์ กับเครี่ยงเคียงที่เติมได้เรื่อยๆให้ทุกท่านได้ลิ้มลอง เชื่อว่าผู้อ่านหลายๆ ท่านคงชื่นชอบอาหารทะเลเหมือนผม ยิ่งการได้กินปูทะเลตัวโตๆ เนื้อแน่น ก้ามใหญ่ ปรุงด้วยส่วนผสมพิเศษที่ทำให้วัตถุดิบมีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ แล้วละก็ รีวิวนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาสุดพิเศษเลยใช่ไหมครับ วันนี้ห้องอาหาร Viu แห่ง The St.Regis พร้อมนำเสนอเมนูสุดพิเศษมาให้ลูกค้าได้สัมผัสกันครับ การเดินทางมา St.Regis ก็สามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานีราชดำริทางออก 4 จะมาทางเชื่อมมายังโรงแรมเลยครับ ว่าแล้วก็กดลิฟต์มาที่ห้องอาหาร Viu ชั้น 12 กันได้เลยครับ  บรรยากาศห้องอาหารดูหรูหราสวยงามตามสไตล์ St.Regis โทนแสงไฟอุ่นๆ ใช้สีเฟอร์นิเจอร์โทนร้อน ประดับประดาฝาผนังไปด้วยภาพจิตรกรรมที่หากใครสนใจก็สามารถซื้อได้ด้วยครับ มาถึงโต๊ะที่จองไว้แล้วครับ ก่อนจะไปกินปูกัน ผมต้องขอบอกก่อนว่าหากทุกท่านจะมาหากสะดวกก็สามารถโทรมาจองโต๊ะก่อนก็ดีนะครับ เพราะด้วยความที่อาหารที่นี่ดีงามมาก หลายๆ เทศกาลลูกค้าจะแน่นเลยฮะ อ่ะ ลองมาดูอาวุธที่ใช้ในการกินปูครั้งนี้กันก่อน มีครบเลยไม่ว่าจะเป็นที่แกะเนื้อ ค้อนทุบเปลือก มีดและช้อนส้อม ตอนนี้ท้องร้องแล้ว ไม่พูดมากเรามาลุยกันเลยครับ ทีนี้เราลองมาดูเมนูที่เราจะชิมในวันนี้กันครับ โดยปูทะเลจะถูกเชฟนำมาผัดกับซอส 3 แบบ 3 สไตล์ เสิร์ฟมาพร้อมกับส้มตำไทยและข้าวผัดปูครับ เมนูแรกในเซ็ท Crack a Crab จะเป็น ปูผัดซอสพริกไทยดำ เมนูนี้รสชาติเค็ม หวาน และออกไปทางเผ็ดร้อนนิดๆ ของพริกไทยดำ ซึ่งผัดออกมามีความหอมของเครื่องเทศครับ เชฟผัดซอสเข้าเนื้อ และหอมมาก ซอสคลุกเคล้าชุ่มฉ่ำกินคู่กับข้าวผัดปูเบรครสชาติได้ดีครับ มาต่อกันที่ถึงที่สองกันเลย คือ ปูผัดซอสพริกสไตล์สิงคโปร์ ถังนี้เป็นถึงที่มีรสชาติกลมกล่อมที่สุดครับ แม้จะผัดซอสพริก แต่รสชาติออกไปทาง เปรี้ยวหวาน ตัดเผ็ดปลายลิ้นนิดหน่อย น่าจะถูกใจหลายๆ ท่านและเด็กๆ กินคู่กับข้าวผัดปูและส้มตำไทย เข้ากันดี ถังที่สาม ปูผัดซอสไข่เค็ม ถังนี้เป็นถังที่ผมชอบมากที่สุดครับ ด้วยความที่เป็นคนชอบไข่แดงเค็มอยู่แล้วเลยชอบมากเป็นพิเศษ ไข่แดงที่เชฟใช้รสชาติดี มันและเข้าเนื้อปูมาก รสชาติเค็มนิดๆ มันหน่อยๆ กินเพลินที่สุดครับ ที่สำคัญถังนี้แกะเนื้อง่ายมาก เพราะเชฟจะผัดแห้งๆ ทำให้เนื้อปูล่อนจากเปลือกง่าย เครื่องเคียงแบบที่กล่าวมาข้างต้นจานแรกคือ ข้าวผัดปู ข้าวผัดเนยหอมๆ โดยเชฟจะผัดมาแบบรสชาติกลางๆ ค่อนไปทางจืด…

Read More

ทั้งหยี่ซัง ปอเปี้ยฟัวกราส์ ซาลาเปาทรัฟเฟิล กุ้งมังกรเส้นหมี่ ปลาหิมะพริกเกลือ ขนมเข่งปลาคู่ โอวเนียฟักทองแปะก๊วยเต่า สารพัดเมนูที่สร้างสรรค์สุดๆ อร่อยล้ำ และความหมายดีๆ ต้องมาลิ้มลอง !!! ใกล้จะวันตรุษจีนแล้วนะครับ KinlakeStars ขอเชิญทุกท่านร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนไปพร้อมกับเรา ซึ่งตรุษจีนอีกหนึ่งเทศกาลที่สำคัญของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน โดยจะมรการฉลองกันอย่างครึกครื้น ตามสถานที่ต่างๆ จะประดับประดาไปด้วยสิ่งของที่เป็นมงคล เพื่อความร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง อยู่ดีมีสุข ตลอดจนแต่ละครอบครัวจะร่วมรับประทานอาหารที่มีความหมายเป็นมงคลรับปีไก่ครับ ตรุษจีนปีไก่ทองนี้โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ได้รังสรรค์เมนูอาหารมงคลหลากหลายประเภทมาให้ท่านได้ลิ้มลอง เพื่อความเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีระกานี้ พร้อมทั้งมอบช่วงเวลาสุดพิเศษให้ท่านและครอบครัวได้ลิ้มรสกับหลากหลายเมนูชั้นเลิศกันอย่างเต็มที่ครับ ห้องอาหาร เดอะ เมย์ฟลาวเวอร์ ได้นำเสนอเมนูที่รังสรรค์ให้ท่านและครอบครัวมาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนในปีนี้หรือหากมาเป็นครอบครัว ก็สามารถอิ่มอร่อยด้วยเซ็ตเมนู ราคาเริ่มต้น 6,888 บาท++ สำหรับ 4 ท่าน รวมถึงใครที่ชื่นชอบติ่มซำก็มีให้เลือกมากกว่า 30 รายการ ระหว่างวันที่ 28 มกราคม ถึง 3 กุมภาพันธ์ 2560 โดยวันนี้เราได้ทำการมากินที่ห้องส่วนตัวครับ บรรยากาศภายในก็เน้นตกแต่งด้วยสีมงคลเช่นสีแดง ทอง ใช้ลวดลายและภาพวาดที่แสดงถึงความมั่งคั่งและเป็นมงคล ชมห้องอาหารเพลินเราก็มาเริ่มสั่งอาหารกันดีกว่าครับ โดยเริ่มที่จิบชาอู่หลงร้อนๆ และผ้าเย็นกันก่อน กลางโต๊ะอาหารจะมีไผ่มงคลวางประกับเอาไว้ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเชฟ ผู้คิดค้นอาหาร เชชฟอู๋ดผู้ออกแบบเมนูต่างๆและบรรจงคัดเลือกวัตถุดิบทำด้วยตัวเองในทุกขั้นตอนกันก่อนครับ และอยู่กับห้องอาหารนี้มายาวนานกว่า 30 ปี เริ่มกันด้วยออเดิร์ฟกันก่อน เป็น เผือกทอดปรุงรส กรอบๆ เรียกน้ำย่อยได้ดีเลยครับ มาต่อกันเลยที่เมนูอะลา คาร์ท จานแรกกับ ‘สลัดปลาแซลมอน’ หรือที่เรียกว่า ‘หยี่ซัง’ เป็นอาหารโบราณ กินแล้วมีแต่ความโชคดี อายุยืนยาว หยี่ซังหรือสลัดแซลมอนถือเป็นอาหารหลักจานแรกของวันนี้ครับ โดยวิธีการกินคือเราจะต้องนำสลัดผักในจานไม่ว่าจะเป็นแครอบเส้นยาว แตงกวา ขิง พริกหยวก แอปเปิลเขียว ฯลฯ มาผสมเข้ากับแซลมอนสไลด์ แซลม่อนรมควันหอมๆ โรยงา เนื้อเหนียวนุ่ม รสชาติเค็มนิดๆ กินพร้อมสลัดผัก ดีงามมาก เครื่องปรุงต่างๆ ที่เราต้องผสมลงไปในสลัดแซลมอนครับ โดยเครื่องปรุงแต่ละตัวก็จะมีความหมายแฝงเอาไว้มากมาย พนักงานจะนำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเข้าด้วยกันให้รสชาติของเครื่องปรุงเคล้ากับแซลมอนและผักสลัดต่างๆ สุดท้ายเราจะต้องใช้ตะเกียบคีบสลัดที่ผสมทั้งหมดยกขึ้นมาให้สูงที่สุด เพราะมีความเชื่อว่ายิ่งเรายกเส้นสลัดสูงเท่าไหร่ เราจะยิ่งมีอายุยืนยาวเท่านั้นครับ เสร็จพิธีก็จัดการรับประทาน ตัวสลัดสดกรอบมีรสชาติหวานของแอปเปิลเขียว เส้นแครอทยาวกรอบ บวกกันรสชาติเผ็ดนิดๆ ของพริกหวานและขิง กินแล้วสดชื่นดีต่อใจจริงๆ…

Read More

สวัสดีครับทุกท่านวันนี้ KinlakeStars จะขอพาทุกท่านไปดูที่พักอีกแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ที่ถือว่าเป็นโรงแรม 5 ดาวแนวโมเดิร์นย่านไนท์บาซาร์ที่ถือว่าเป็นแหล่งช็อปปิ้งของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกันครับ สืบเนื่องจากทริปเที่ยวเชียงใหม่ที่ผ่านมาครับ เราตั้งใจว่าจะหาที่พักใหม่อีกซักที่ระหว่างที่พักอยู่เชียงใหม่ต่ออีกซักคืนเราเลือกเลือกที่พักที่น่าจะตอบสนองความต้องการของเราได้ คือไม่ไกลจากพี่พักเดิม (เพราะขี้เกียจขนของ) และคุณภาพต้องดี โรงแรมแรกที่แว๊บเข้ามาในหัวนั่นคือ D2 เชียงใหม่ครับ หลังจากตกลงกันกับเพื่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็จัดแจงลากกระเป๋ามาจาก Le Meridien เดินมาทางด้านหลังประมาณ 200 เมตรก็ถึงเลยครับ…ใกล้ไปไหม พอเข้ามาในโรงแรมก็จัดการเช็คอินที่เคาท์เตอร์ให้เรียบร้อย สิ่งแรกที่สังเกตุได้เมื่อเข้ามาคือสีสันของโรงแรมที่ดูจัดจ้าน ทางโรงแรมเลือกใช้สีส้มตัดขาวหรือครีม ให้ความรู้สึกแอคทีฟ ตื่นตัว และดูสนุกสนานตลอดเวลา เข้ากับคอนเซปของโรงแรมคือโมเดิร์นโฮเทลที่ต้องการเจาะกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการความสะดวกสบายและเน้นทำกิจกรรม ตื่นตัว และสดใสตลอดเวลานั่นเองครับ ระหว่างทางเราจะเจอกับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ โดยใช้โทนสีลักษณะเดียวกันทั้งโรงแรม ข้อดีคือดูสว่างและสดใสดีครับ ถึงแม้ตัวเพดานจะไม่สูงมากแต่ก็รู้สึกได้ถึงความโล่ง โปร่งสบาย ตรงล็อบบี้มีบาร์ไว้ให้บริการ ทั้งตู้เต็มไปด้วยไวน์ต่างๆ มากมาย น่ามานั่งดึกๆ นะครับ ฮ่าๆ ลิฟต์ถูกตกแต่งด้วยลวดลายกราฟฟิคดูเป็นเอกลักษณ์ตอกย้ำภาพลักษณ์ของโรงแรม ว่าแล้วก็จัดการลากกระเป๋าขึ้นไปเองเลยครับ รอบนี้พนักงานไม่ต้อง (เป็นไงละแอคทีฟขึ้นมาเลย) เปิดประตูห้องเข้ามาเราจะเจอกับ Mood and Tone ของห้องที่ลดความสดของสีส้มลงมา แต่ยังเลือกใช้สีโทนอุ่นเช่น น้ำตาล ส้มอ่อน ครีม ตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ ตัวห้องถือว่ามีความกว้างกำลังดี ไม่แคบหรือกว้างไป มีส่วนเตียง โซฟาไว้นอนชมวิว โต๊ะทำงาน และส่วนของห้องน้ำครับ เตียงครับ เจอแล้วง่วงขึ้นมาทันที ดูแล้วน่าจะนอนสบายอยู่ แต่ยังไม่ถึงเวลา เดี๋ยวค่อยกลับมานอนนะ เพราะตอนนี้หิวมาก ฮ่าๆ อีกมุมนึง สังเกตว่า D2 ทุกที่จะมีหมอนกลมๆวางไว้เสมอ คงเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่นะครับ นอกจากนั้นก็ยังมีออฟชั่นต่างๆ ไว้ให้ใช้งานครับ พวกสวิชไฟทุกจุด ไฟหัวเตียง มาสเตอร์ ไฟโถงทางเดิน ทุกอย่างสามารถควบคุมได้จากตรงนี้ มุมโซฟาครับ ความยาวพอดีตัวเลยนอนเอนหลังนิ่มสบายมากๆ ใกล้ๆ กันจะเป็นมุมของโต๊ะทำงานก็จะมีปลั๊กแบบต่างๆ ปฎิทิน และอุปกรณ์จะเป็นต่างๆ เตรียมไว้ให้ใช้ ส่วนของบาร์ก็จะมีเครื่องดื่ม ชา และกาแฟไว้คอยบริการ ส่วนด้านบนจะเป็นตู้เซฟเอาไว้ใส่ของมีค่าเวลาเราจะออกไปเที่ยวข้างนอกครับ ข้างๆ กันจะเป็นตู้เสื้อผ้า มีไม้แขวนและชุดคลุมอาบน้ำเตรียมเอาไว้บริการ ในห้องที่เราพักจะไม่มีอ่างอาบน้ำครับ จะเป็นห้องกระจกโปร่งๆ มีบานเกร็ดรูดปิดได้ เผื่อใครไม่ชินที่จะอาบน้ำแบบโอเพ่น ผมคนนึงละรูดปิดแน่นเลยครับ แต่ที่แปลกคือบานเกร็ดอยู่ด้านนอกซะงั้น เพราะฉะนั้นหากคนด้านนอกอยากดู ก็เปิดได้เลย ฮ่าๆ โซนอ่างล้างหน้าก็ดูโล่งสะอาดได้มาตรฐานครับ ด้านข้างก็จะมีอุปกรณ์ที่ต้องใช้วางเอาไว้ อันนี้เป็น…

Read More

สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว KinlakeStars ทุกท่าน สืบเนื่องจากรีวิว เที่ยวเชียงใหม่แบบฮิปสเตอร์  ที่เราเคยพาทุกคนไปเที่ยวครั้งที่แล้วนั้น จะเห็นได้ว่าตารางเที่ยวของเราแน่นสุดๆ หลายคนหลังไมค์มาถามว่าไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยหรอ เพราะเดินทางไปหลายที่มาก ผมก็ตอบไปแบบตรงๆ ครับว่า เหนื่อย!!! แต่ความเหนื่อยย่อมระงับด้วยการนวดครับ พอพูดถึงการนวดก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้นวดกับผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้ศึกษาเรื่องการนวดมาโดยเฉพาะ ที่สำคัญก็ต้องอยู่ในโรงแรมที่เราพัก เพราะคงไม่มีใครที่เที่ยวเหนื่อยมาแล้วอยากออกไปนวดไกลๆ ใช่ไหมครับ ผมเลยตัดสินใจไปนวดกับ THE SPA สปาของ Le Meridien เชียงใหม่ ที่มีชื่อเสียงเรื่องการนำวิธีการนวดสปามาผสมกับการนวดแบบล้านนา แหมเคลมมาขนาดนี้แล้ว ลองสิครับ THE SPA แห่ง Le Meridien นั้น มีคอร์สการนวดหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Signature Treatments, Well Being, Skin Care และ Massage โดยแต่ละคอร์สนั้นก็จะมีวิธีการนวดและจุดประสงค์ในการผ่อนคลาย ปรนนิบัติผิวแตกต่างกันไป ในวันนี้เราเลือกที่จะนวด Massage ครับ เพราะปวดเมื่อยจากการเดินเที่ยวซะเหลือเกิน โดยคอร์ส Massage นั้นก็มีโปรแกรมให้เราเลือกแยกออกเป็นอีก 4 แบบนั่นคือ Asian Blend massage, Maternity massage, Anti Stress massage และ Aromatic Detox massage ครับ ขึ้นมาที่ชั้น 4 ของโรงแรมแล้วเลี้ยวซ้ายมาเราจะเจอบริเวณสระว่ายน้ำและสปาครับ สิ่งแรกที่สัมผัสได้เลยคือกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยที่ส่งกลิ่นอบอวล ชวนให้ผ่อนคลายมากๆ ครับ เดินเข้ามาพนักงานต้อนรับสุภาพและเป็นกันเองมากครับ พร้อมที่จะต้อนรับและให้คำแนะนำเราอย่างเต็มที่ ประทับใจสุดๆ พนักงานจะเชิญเราไปนั่งที่ส่วนห้องต้อนรับแขกพร้อมกับทำรองเท้าสลิปเปอร์มาให้เปลี่ยนครับ ตรงบริเวณนี้จะใช้แสงน้อย มีเพลงคลอเบาๆ เพื่อให้แขกได้ผ่อนคลายและลดการใช้สายตา ความจริงแค่มานั่งตรงนี้ก็แทบหายเหนื่อยแล้วนะเนี่ย บริเวณนี้จะมีนำมันหอมระเหย น้ำมันนวด และผลิตภัณฑ์ปรนนิบัติผิวของโรงแรมให้เลือกซื้อไปใช้ด้วยครับ หลังจากเปลี่ยนรองเท้าแล้ว พนักงานจึงนำเครื่องดื่มสมุนไพรมาเสิร์ฟครับ โดยเครื่องดื่มจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ รอบนี้เราได้เป็นน้ำมะตูม หอมอร่อยมากครับ จะขอเพิ่มอีกแก้วก็เกรงใจ ระหว่างดื่มน้ำสมุนไพรพนักงานจะให้เรากรอก Application เพื่อใส่ข้อมูลว่าเราปวดเมื่อยตรงไหนบ้าง ต้องการเน้นตรงไหนเป็นพิเศษ และมีส่วนไหนที่บาดเจ็บ ต้องการเว้นการสัมผัสหรือไม่ หลังจากนั้นพนักงานจะเดินนำเราไปยังห้องนวดครับ ระหว่างทางเราจะผ่านห้องนวดหลากหลายแบบไม่ว่าจะเป็นห้องนวดเดี่ยว ห้องนวดคู่ หรืออย่างในรูปจะเป็นห้อง Foot Massage ครับ (แค่เห็นก็สบายล่วงหน้าแล้ว…

Read More

พบกับรีวิวห้องพักโรงแรมห้าดาวที่ชมวิวเมืองเชียงใหม่และดอยสุเทพได้งดงามที่สุดที่สุดแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ได้เลยในบทความนี้ ช่วงนี้เปิดเฟซบุคมาก็เจอแต่คนไปเที่ยวเชียงใหม่กันว่าไหมครับ ผมคนหนึ่งที่รู้สึกอิจฉาคนที่ได้สัมผัสอากาศเย็นๆ ที่นั่นมากเลย เลยวางแผนจะไปเที่ยวเชียงใหม่กับเขาบ้าง ปัญหาอยู่ที่ว่าจะไปพักที่ไหนดีที่ ตัวเลือกแรกที่เข้ามาในหัวคือ Le Meridien เชียงใหม่ครับ เพราะที่นี่มีห้องพักให้เลือกหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นห้องพักที่เป็น City View  วิวเมืองเชียงใหม่บรรยากาศสุดสงบ หรือ Doi Suthep View วิวดอยสุเทพสุดงาม และยังมีหลากหลายขนาดและรูปแบบซึ่งมีมากถึง 6 Room type ซึ่งในครั้งนี้ผมเลือกห้องพักที่เป็นวิวดอยสุเทพครับ ชนิด Urban Doi Suthep ห้องนี้นอนได้เต็มที่ 3 ท่าน ห้องขนาด 388 – 388 ft2 หรือประมาณ 40 ตร.ม. เพราะฝันว่าสักครั้งอยากตื่นมาเจอดอยสุเทพตั้งอยู่ตรงหน้า อารมณ์คงเหมือนภูเขาไฟฟูจิแห่งเมืองเชียงใหม่ยังไงยังงั้น ช่วงที่ผมจองเป็นเดือนธันวาคมห้องพักที่มีรองรับนักท่องเที่ยวมากมายหลายห้อง ก็ถูกจองเต็มเกือบ 100% เลย เอาล่ะรอบนี้ผมเดินทางจากตัวสนามบินเชียงใหม่มายัง Le Meridien โดยใช้ Uber ครับ ต้องบอกเลยว่าสะดวกมากจริงๆ ไม่ต้องเหมารถ เช่ารถ หรือต้องรอรถแดงให้เสียเวลา ที่สำคัญราคาถูกมาก ตัวโรงแรมเดินทางมาง่ายมากครับ อยู่ใจกลางเมืองเลย แถวๆ เชียงใหม่ไนท์บาซาร์ ถนนช้างคลาน มาถึงแล้วเราจะเห็นตัวโรงแรมตั้งสูงตระหง่าน ตัวอาคารสีเหลืองอ่อน ออกแบบสไตล์ยุโรปผสมกับความเป็นล้านนาแบบไทยๆ ด้านหน้าโรงแรมจะเป็นน้ำพุและรูปปั้นช้าง 2 เชือกสีดำหันหน้าเข้าหากันอยู่ครับ บริเวณโรงแรมมีความร่มรื่น มีสวนและศาลาอยู่ด้านหน้า ดูเข้ากันกับความช้าสโลว์ไลฟ์ของเมืองเชียงใหม่มากเลยครับ ตัวอาคารด้านนอกจะใช้ปูนและไม้เป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง ให้ความรู้สึกอบอุ่นตั้งแต่แรกพบ พอเข้ามาสิ่งแรกที่สัมผัสได้เลยคือ “กลิ่น” ครับ กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมในเครือ Le Meridien ทุกแห่งทั่วโลก ถูกออกแบบโดยศิลปินชาวฝรั่งเศส แว๊บแรกที่ได้กลิ่นก็ทำให้นึกถึงตอนที่ไป Le Meridien กรุงเทพเลย เพราะฉะนั้นกลิ่นนี้แหละที่ทำให้เหมือนผมกลับมาในที่ที่คุ้นเคยอีกครั้ง ตัวปล่อยกลิ่นถ้าสังเกตในรูปดีๆ จะเห็นท่อสีดำอยู่ที่มุมล่างซ้ายของภาพ หลังจากเดินเข้าประตูมา พนักงานก็ช่วยจัดการลากกระเป๋าจัดเตรียมความพร้อมนำเราเข้าไปเช็คอินครับ ตัวห้องโถงสูงโอ่อ่ามาก ด้านในยังให้ความสำคัญกับการออกแบบ การเลือกใช้สีอ่อนและวัสดุที่เป็นหินอ่อน นี่คือสิ่งที่เป็นมาตรฐานของที่นี่เค้าละครับ เฟอร์นิเจอร์ พรมและพื้นผิวทางโรงแรมเลือกใช้สีเบจ และครีม ทำให้ดูกว้าง สบายตา และอบอุ่นไปพร้อมๆกัน เคาท์เตอร์เช็คอินใช้วัสดุสีดำเข้มเหมือนชุดพนักงาน ให้ความรู้สึกโปรเฟสชันแนลดีนะครับ หลังจากลงทะเบียนและเช็คอินเรียบร้อยเราก็เตรียมตัวขึ้นไปบนห้องกัน…

Read More

เมื่อสองคนที่ต่างสไตล์ไปเที่ยวเชียงใหม่กัน เชียงใหม่ต้นหนาว กับหลากหลายจุดหมายตั้งแต่ขึ้นดอย ไหว้พระ เดินนิทรรศการออกแบบ ดื่มกาแฟ จิบชา ดินเนอร์ห้าดาว กินข้าวมันไก่ร้านห้องแถว เดินตลาดสด จะเป็นอย่างไร ไปชมกันเลยครับ “ได้หยุดยาวแล้วครับพี่น้อง ไปไหนกันดี” เสียงเพื่อนตะโกนถามผมพร้อมส่งสายตาเป็นประกายอารมณ์ประมาณว่า “วันหยุดเหลือหรอ? ขอตามไปเที่ยวด้วยสิ ของเราก็เหลือเหมือนกัน”…ประมาณนี้ อ่ะเพื่อนขอไอ้เราก็จัดให้ แต่ด้วยความที่เราเป็นสายแบคแพคส่วนเพื่อนเป็นสายกินหรูอยู่สบาย จะพาไปขึ้นเขาลงห้วยก็คงไม่ได้ หรือจะให้ไปโบกรถเตร็ดเตร่เร่ร่อนเพื่อนคงเป็นลมล้มพับอยู่ข้างทางก่อนเป็นแน่แท้ โจทย์ทริปนี้ยากจัง เลยพูดลอยๆ ออกมาแบบมึนๆ ว่า “อ่ะงั้นไปที่ที่ควรไปหน้าหนาวแบบช่วงนี้ละกัน ไปง่ายไม่มีหลง…เชียงใหม่” เพื่อนตกลงเฉย “งั้นไปก็ไป” แต่ก็เหมือนที่ทราบกันดีครับว่าเชียงใหม่เนี่ยช่วงปลายปีคนเยอะมาก การเดินทางโดยสารก็ทุลักทุเล ครั้นจะให้คุณเพื่อนไปโบกรถแดง มีหวังมันได้โบกหัวเราก่อนแน่นอน จะเช่ารถไอ้เราก็ไม่คุ้นทาง นั่งหาวิธีเดินทางไปที่นู่นนี่กันครึ่งวันก็ยังไม่รู้จะเดินทางยังไงดี แต่ด้วยความที่ฟ้าคงมีตา ส่งเพื่อนในออฟฟิศอีกคนให้เดินมาบอกว่า “เชียงใหม่มี Uber นะ” โอ้โหไม่เคยรู้มาก่อน นึกว่ามีแต่รถแดง ผมกับเพื่อนไม่ลังเลครับหันหน้ามองกันแล้วยิ้มมุมปาก Deal !!! ต้องบอกก่อนครับว่าพอมี Uber แล้วเดินทางสะดวกมากจริงๆ ไม่ต้องโดนโก่งราคาค่าโดยสาร ไม่ต้องโบกรถแล้วโดนปฏิเสธ แถมค่าโดยสารนี่เรทถูกกว่าในกรุงเทพอีก ดีแบบนี้แทบไม่ต้องคิดเลยครับ… วันที่ 1 ว่าแล้วก็จองตั๋วขึ้นเครื่องถึงเชียงใหม่ ปัญหาแรกคือไปโรงแรมยังไง ก็ตามที่บอกครับ Uber ช่วยเราได้ ลองเปิดแอพดู อ้าว…ใช้ได้จริงๆ ด้วย มีรถเพียบ เลยเรียกไปโรงแรมแรก Le Meridien เก็บข้าวเก็บของเสร็จมีความเมื่อยล้าตามประสาคุณเพื่อนเอะอะเหนื่อย เอะอะเมื่อย ชวนเข้าสปาซะงั้น อ่านรีวิวสปาได้ที่นี่ ตกลงกันว่าคืนแรกยังไม่ออกเที่ยวเนอะ ถนนคนเดินก็ไม่มีเพราะเป็นวันเสาร์ งั้นกินข้าวเย็นที่โรงแรมละกัน อ่านรีวิวดินเนอร์ Le Meridien ได้ที่นี่ เติมพลังให้เต็มที่ พักผ่อนให้พอ เพราะพรุ่งนี้เราต้องใช้พลังงานอีกเยอะ จากนั้นก็เรียก Uber ไปส่งประตูท่าแพ เดินถ่ายรูปย่อยอาหารซะหน่อย แล้วก็กลับมาพักผ่อน หนึ่งในมุมสุดฮิต ผลัดกันถ่าย ประตูและกำแพง พิเศษ ช้างสำหรับสัปดาห์นิทรรศการออกแบบวันที่ 2 ตื่นเช้ามากครับเพราะว่าเราจะไปม่อนแจ่มกัน เสียงนาฬิกาปลุกสองเครื่องดังพร้อมกัน ตั้งปลุกไว้ถี่มากเพราะกลัวไม่ตื่น รีบอาบน้ำ แต่งตัว วิ่งลงมากิน…

Read More

วันนี้ KinlakeStars จะพาทุกท่านไปดื่มด่ำกับสุดยอดวิวของมหานครสุดโรแมนติก ที่ห้องอาหารเวอร์ทิโก้ & มูนบาร์ ชั้น 61 โรงแรมบันยันทรี เป็นห้องอาหารกริลล์และบาร์แบบเปิดโล่ง ได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศกันครับ ห้องอาหารบนดาดฟ้าสุดลิบเกือบ 200 เมตร เหนือระดับนำ้ทะเล Vertigo & Moonbar พร้อมให้คุณดื่มด่ำบรรยากาศสุดโรแมนติกและการบริการที่เป็นกันเอง คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงเคล้าคลอกับบรรยากาศ ที่เวอร์ทิโก้คุณสามารถชมทัศนียภาพอันกว้างไกลของมหานครกรุงเทพฯ ภายใต้แสงดาว แบบ 360 องศาคุณจะมองเห็นสุดยอดสถานที่สำคัญต่างๆ ได้อย่างง่ายดายไม่ว่าจะเป็น พระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดโพธิ์ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ แม่น้ำเจ้าพระยา เป็นต้น โดยห้องอาหารเวอร์ทิโก้ & มูนบาร์ แบ่งเป็น 2 โซน ได้แก่ โซนที่เป็น Vertigo rooftop restaurant ให้คุณได้เพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศพร้อมบรรยากาศฝั่งเมืองหรือฝั่งโค้งน้ำเจ้าพระยา และ Moon bar ที่พร้อมมอบเครื่องดื่มและความสนุกสนานตลอดค่ำคืนให้กับทุกท่าน โดยทั้งในด้านอาหารที่มีรสชาติเป็นเลิศและการบริการอันยอดเยี่ยมแล้ว Vertigo & Moonbar ยังพร้อมสร้างความประทับใจให้แก่แขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงานอย่างไม่รู้ลืม  ชื่นชมบรรยากาศอันสุดจะหาคำบรรยายกันไปแล้วทีนี้เรามาลองชิมอาหารกันบ้างดีกว่าครับงดงาม โรแมนติก Food & Drink Seafood Tower 4,500 A Selection of Poached Seafood served with Sauces, Dips & Lemon Wedges, Boston Lobster, Fresh Shucked, Oysters, Blue Swimmer Crab, Atlantic King Crab, Tiger Prawns, Mussels, Scallops, Salmon & Tuna Sashimi ซีฟู๊ดบาสเก็ตรวมสุดยอดวัตถุดิบจากท้องทะเลไม่ว่าจะเป็นบอสตัน ล็อบสเตอร์ ผ่ากลาง หอยนางรมตัวใหญ่ๆ ปูยักษ์แอตแลนติก กุ้งลายเสือ หอยแมลงภู่ สแกลล็อป แซลมอน และทูน่า…

Read More

ในขณะที่การแข่งขันเรื่องบริการและคุณภาพของของโรงแรมต่างๆ ถูกให้ความสนใจเป็นอันดับหนึ่ง มีโรงแรมที่สวยงาม และเพรียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่เป็นร้อยเป็นพัน แต่จะมีสักกี่โรงแรมที่ผมต้องใช้คำว่าเป็นห่วงสุขภาพของแขกที่เข้ามาพักในทุกๆ ขณะชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ กิน นอน หรือผ่อนคลาย Le Méridien Bangkok Hotels คือโรงแรมแห่งสุขภาพที่ว่านั้นครับ สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ KinlakeStars ได้มีโอกาสพาทุกท่านไปสัมผัสกับสุดยอดโรงแรม Le Méridien Bangkok Hotels โรงแรมเชื้อชาติฝรั่งเศสที่เปิดให้บริการในกรุงเทพมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ความน่าสนใจของโรงแรมแห่งนี้มีไม่น้อยเลยทีเดียวครับ Le Méridien Bangkok Hotels เป็นโรงแรมที่ผมต้องบอกว่าให้ความสำคัญและใส่ใจในรายละเอียดของ รูป รส กลิ่น เสียง ของแขกที่เข้ามาพักในโรงแรมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าคุณจะเข้าพักที่สาขาใดของ Le Méridien Hotels คุณก็จะได้รับความคุ้นเคย และสะดวกสบายเป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเราลองเดินเข้าไปในโรงแรมกันเลยดีไหมครับ ก่อนถึงทางเข้าเราจะเจอรูปปั้นน้องหมาตัวยักสีขาวที่ยืนต้องรับแขกที่เข้าพักอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของโรงแรมแห่งนี้ที่ใครผ่านไปมาก็จะสะดุดตากับความน่ารักและโดดเด่นของเค้ากันแทบทุกคนครับ ประตูทางเข้าถูกตกแต่งด้วยกราฟฟิคของศิลปินชาวฝรั่งเศสที่ได้ออกแบบ Unlock Card หรือ บัตรคีย์การ์ดที่ใช้ Unlock เข้าสู่ห้องพักสะท้อนถึงความตั้งใจของโรงแรมจะให้ Le Méridien Hotels เป็น Gallery Hotel ที่เหมือนกับพิพิธภัณฑ์ซักที่หนึ่งที่มาได้ไม่มีเบื่อ ไม่ใช่แค่โรงแรมที่เข้ามาพักแล้วก็จบไปครับ ภายในล็อบบี้ถูกตกแต่งและจัดวางเฟอร์นิเจอร์ไว้ราวกับเป็นห้องๆ หนึ่งในบ้านที่ทันสมัย สีดำและขาว ช่วยส่งให้บรรยากาศดูเรียบง่ายและสบายตา แสงไฟสีเหลืองนวลที่ซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ รวมถึงเพลง Background Music เพราะๆ ที่เปิดคลอเบาๆ ซึ่งถูกแต่งโดยศิลปินชาวฝรั่งเศสก็ช่วยเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลาย ดึงจังหวะชีวิตกลางเมืองที่เร่งรีบให้ช้าลงได้ดีมากครับ อีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นของโรงแรม Le Méridien Bangkok Hotels แห่งนี้คือการเลือกใช้ Material จำพวกหิน และโทนสีต่างๆ ได้ดีมาก ทุกห้อง ทุกฟังก์ชั่น โรงแรมจะเลือกใช้ผิววัสดุและลวดลายที่แตกต่างกันไป อย่างห้องโถงล็อบบี้โรงแรมเลือกจะใช้หินอ่อนสีขาวลายดำเพิ่มความสว่าง และช่วยให้ห้องโถงนี้ดูเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่สวยงาม ในภาพด้านบนเป็นคอลเลคชั่นของ Unlock Card แบบต่างๆ ที่ใช้ Unlock เข้าไปในห้องพักของแขกทุกท่าน ซึ่งออกแบบโดยศิลปินชาวฝรั่งเศสที่เราได้เกริ่นเอาไว้เมื่อตอนต้นครับ ส่วนโถงทางเดินเข้าไปยังลิฟต์นั้นทางโรงแรมมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่สุดยอดซ่อนเอาไว้ นั่นก็คือ กลิ่น ใช่แล้วครับโถงทางเดินนี้โรงแรมได้ซ่อนพัดลมตัวเล็กๆ เข้าไว้ปล่อยกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าคุณจะเข้าพักที่ใดของ Le Méridien…

Read More