Author: Khanenphan Chueanuam

สุดลูกหูลูกตาไปกับทัศนียภาพแม่น้ำเจ้าพระยามุมสูง ทั้งด้านนอกสำหรับวันอากาศดีๆ และด้านในพร้อมการตกแต่งที่สวยงามและระบบปรับอากาศ กับเครื่องดื่มชั้นยอดที่มีเอกลักษณ์และความโดดเด่นเฉพาะตัว อาหารกินง่าย หลากหลายและสร้างสรรค์ หากคุณมองหาสถานที่แฮงเอาท์ หรือต้องการนั่งดื่มสบายๆ หลังเลิกงาน แอตติจูด (ATTITUDE) ห้องอาหารและรูฟท็อปบาร์ ก็พร้อมนำเสนอประสบการณ์ใหม่ให้คุณได้ลิ้มลองทั้งเครื่องดื่มเย็นๆ และอาหารแบบฟิวชั่น ในบรรยากาศทั้งแบบอินดอร์ หรือเอาท์ดอร์ พร้อมกับทัศนียภาพความงามแห่งโค้งน้ำเจ้าพระยาและวิวเมืองแบบพาโนรามา จากชั้น 26 ของ อวานี ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ โฮเทล บรรยากาศ พื้นที่ส่วนอินดอร์ของ แอตติจูด ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยพื้นผิวสีดำตัดกับเฟอร์นิเจอร์สีแดงสดที่ช่วยให้ แอตติจูด โดดเด่น เคาเตอร์บาร์ภายในเชื่อมต่อกับพื้นที่บาร์ภายนอก ผนังห้องกระจกบานใสจากพื้นจรดเพดานเปิดรับทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทอดยาวได้อย่างเต็มที่ โดยมีบูทดีเจที่มีดีเจชื่อดังคอยแวะเวียนมาเปิดแผ่นสร้างความบันเทิงให้ได้สนุกสนานกันตั้งแต่เวลา 21.00 น. เป็นต้นไปพื้นที่ส่วนเอาท์ดอร์ของ แอตติจูด ยังคงมีกลิ่นอายของความทันสมัยเคล้ากับบรรยากาศอันสดชื่นปลอดโปร่งภายนอก เติมความสบายด้วยเฟอร์นิเจอร์หวายสีขาว ที่ตัดกับวิวท้องฟ้ากว้าง เหมาะกับการนั่งจิบเครื่องดื่มเบาๆ เพื่อผ่อนคลาย แอตติจูด ยังมี มิกโซโลจิสต์ (mixologist) ผู้มากประสบการณ์จากประเทศฝรั่งเศส คอยให้การดูแลให้คำแนะนำในการเลือกเครื่องดื่มที่มีให้บริการหลากหลาย ที่นี้เราไปดูในส่วนของอาหารกันบ้าง Attitude มีอาหารทั้งแบบทาปาส (Tapas) ทานเล่น และ Main dish ให้ทุกท่านได้เลือกลิ้มลองหลากหลายเมนูเลยครับ อาหารและเครื่องดื่ม SMOKING CARAMEL DUCK  220.- “Nam Pla” lacquered slices caramel / tea gel / bean sprouts / compressed grapes / chili / herbs / apple tea smoke “อกเป็ดคาราเมลรมควันไม้แอปเปิ้ล” ที่ควันนั้นค่อยๆ สลายตัวไปเมื่อเปิดฝาครอบแก้วออกพร้อมอวดโฉมความน่ากิน กลิ่นหอมของไม้แอปเปิลบวกกับความหวานของคาราเมลช่วยดึงรสชาติของเป็ดได้อย่างดี FUNKY PIG 200.- “Sous vide” cooked & shredded / Asian spices / crispy pork skin…

Read More

วันนี้ Kinlake Stars จะท่านผู้อ่านไปชิมอาหาร Italian สไตล์ Tuscany จากเชฟ Riccardo Catarsi ผู้เชี่ยวชาญการทำอาหารจากวัตถุดิบแห่งท้องทะเลที่ห้องอาหาร Scalini แห่ง Hilton สุขุมวิท ซึ่งเชฟพิเศษท่านนี้จะมาอยู่รังสรรค์ความอร่อยแสนพิเศษกันตลอดเดือนธันวาคมนี้ กันครับ ครั้งนี้ KinlakeStars ขอชวนทุกท่านมาชิมเมนูอาหารอิตาเลียนต้อนรับเทศกาลปีใหม่ จากเชฟรับเชิญ ริคคาร์โด คาตาร์ซี เกสต์เชฟอิตาเลียนชื่อดังจากห้องอาหารอิตาลีอิลซีโล โรงแรมฮิลตัน สิงคโปร์มาร่วมเสริมทัพเชฟของห้องอาหารสกาลินี โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ พร้อมเสิร์ฟเมนูอิตาเลียนพิเศษ 4 คอร์สแสนอร่อยตลอดเดือนธันวาคมนี้ เชฟริคคาร์โดเป็นเชฟที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีความมุ่งมั่นใส่ใจต่อการปรุงอาหารอิตาเลียนด้วยกรรมวิธีดั้งเดิม รังสรรอาหารหน้าตาทันสมัย โดดเด่นด้วยรสชาติและความสดของวัตถุดิบคุณภาพ ด้วยเหตุนี้เองห้องอาหารสกาลินีซึ่งเป็นหนึ่งในห้องอาหารอิตาเลียนชั้นนำของกรุงเทพฯ จึงได้นำเสนอเมนูพิเศษสำหรับโอกาสพิเศษเช่นนี้ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายนไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2559 เมนูที่เชฟริคคาร์โดจะรังสรรขึ้นมานั้นประกอบไปด้วย 4 คอร์สโดยในแต่ละคอร์ส ลูกค้าสามารถเลือกได้ถึง 3 ตัวเลือกทั้งนี้ก็เพื่อให้เหมาะสมสำหรับคนทุกกลุ่มทุกวัย ในราคาสุทธิเพียง 1,899 บาทต่อท่านสำหรับอาหารเท่านั้นและราคาสุทธิเพียง 2,699 บาทต่อท่านสำหรับอาหารและไวน์ประกอบในแต่ละคอร์ส ร่วมต้อนรับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไปกับเมนูที่ลูกค้าสามารถเลือกได้เองจากเมนูพิเศษที่เชฟได้รังสรรค์ขึ้นมาเพื่อช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองที่ห้องอาหารสกาลินี อาทิ หอยนางรม ล็อบสเตอร์และเมนูให้เลือกสั่งกว่า 10 เมนู ในราคาสุทธิเพียง 3,499 บาทต่อท่านสำหรับมื้อค่ำเท่านั้น เมนูวันนี้เชฟ Riccardo ปรุงออกมาเป็น 4 คอร์สครับ ประกอบไปด้วย Baccala, olio e riccio Cod fish compote, EVOO, sea urchin เมนูออเดิร์ฟที่นำปลาคอดบดมาหมักกับน้ำมันมะกอก บดรวมกับมันฝรั่ง ตกแต่งด้วยหนังปลากรอบเบิร์นไฟและน้ำตาล ได้กลิ่นหอมน้ำตาลไหม้ และกลิ่นปลาทะเลชัดเจน ช่วยทำให้อยากอาหารได้ดีมากครับ Pane, pomodore e mare Tomato cream, Tuscan seafood, burrata cheese, caviar and basil chips กุ้ง หมึก หนังปลา เสิร์ฟบนครีมมะเขือเทศ…

Read More

KinlakeStars จะพาทุกท่านไปร่วมจิบน้ำชายามบ่ายชุดใหม่ แสนสง่างาม รสชาติดีที่ St. Regis กับประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิม ที่สะท้อนความหรูหราผ่านกาลเวลากว่าหนึ่งศตวรรษของตระกูล แอสเตอร์ที่สืบทอดกันมาสู่ St. Regis ทุกแห่งทั่วโลก พร้อมทัศนียภาพกรุงเทพฯที่ไม่เหมือนใคร ต่อจากนี้การจิบน้ำชายามบ่ายจะไม่ใช่แค่การสืบสานประเพณีอันสง่างามของตระกูลแอสเตอร์อีกต่อไป แต่ด้วยคำนิยามในการบริการที่หรูหราเหนือระดับ และชุด Afternoon tea ของ St. Regis Bangkok จะทำให้การจิบน้ำชายามบ่ายของทุกท่านพิเศษยิ่งขึ้นไปอีกครับ ด้วยความโอ่อ่าหรูหราของห้อง เดอะ ดรอว์อิ้งรูม บวกกับท่านสามารถเลือกชุดน้ำชายามบ่ายและเพลิดเพลินกับชาหลากหลายรสชาติได้เองตามความพอใจ รวมถึงเลือกได้ว่าจะชื่นชมวิวอันสวยงามของสนามกอล์ฟราชกรีฑาสโมสร หรือระเบียงด้านนอกรับอากาศดีๆ ที่สกาย เลานจ์ ก็ได้เช่นกันครับ St. Regis Bangkok ให้ทุกท่านอิ่มอร่อยกับชุด Afternoon tea พร้อมกับสัมผัสบรรยากาศสุดหรูกับเมนูชุดน้ำชา ดังนี้ ชุดตำรับไทย สำหรับสองท่านในราคาพิเศษเพียง 850.- ++ ออเดิร์ฟด้วยไอศครีมโคน ทั้งคาวและหวาน ด้วยมะเขือเทศชุ่มๆ และ ช็อคโกแลตชิพเรียกน้ำย่อยกันก่อนครับ ตัวเมนู Afternoon Tea ชุดตำรับไทยถูกเสิร์ฟมาในชุดขันโตกไม้สวยงาม Sandwiches ประกอบไปด้วย ขนมปังโฮลวีตไก่ต้มขมิ้น รสชาติถึงเครื่อง, ขนมปังเพรทเซลสอดแทรกไข่ปรุงรสสมุนไพรไทย ให้ความรู้สึกเหมือนไข่ลูกเขย, ขนมปังไรเยอรมันไส้ทะเล และกระเพราพริก ได้กลิ่นหอมๆ ของทะเลและกะเพรา Savory ประกอบไปด้วย ข้าวสปริงโรลต้มยำกุ้ง กินกับน้ำชาให้ความรู้สึกแปลกไปอีกแบบ และ ข้าวตังกรอบหน้าแกงเครื่องไทย อันนี้ดิพกับเครื่องแกงคล้ายน้ำพริกหมูผัดอร่อยดีครับ Scones ประกอบไปด้วย สโคนใบเตยและมะพร้าว กินคู่กับแยมสับปะรด ขิง มะขาม และมะนาว รสชาติเปรี้ยวหวาน สดชื่น หรือจะกินคู่กับ คล็อตครีม และวิปครีม รสชาติหวานมันก็เข้ากันดีครับ Sweet ของหวานต่างๆ ได้แก่ พานาคอตต้ามะพร้าวและแยมเสาวรส อันนี้หอมมะพร้าวมาก เสาวรสเปรี้ยวกำลังดี ด้านบนท็อปด้วยฝอยทองเนื้อนุ่ม, คัสตาร์ดฟักทองแลพโอรีโอป่น เนื้อฟักทองนุ่มไม่เละ สังขยาหวานกำลังดี, ลูกชุบไทยเนื้อเนียน และ ข้าวเหนียวมะม่วง หอมใบเตยกินคู่กับมะม่วงสุก แยมต่างๆ ดิพกับสโคน หรืออยากดิพกับขนมอื่นๆ ก็อร่อยมากครับ…

Read More

ผ่อนคลายกับการนวดหินภูเขาไฟ (Hot Lava Stone Massage) โดยเธอราพิสมืออาชีพที่ SPA by Le Méridien สปาชั้นเลิศที่จะทำให้คุณลืมความวุ่นวายและตรึงเครียด เหมือนหลุดออกไปอีกโลกทั้งที่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ในครั้งนี้ Kinlakestars.com จะพาทุกท่านไปผ่อนคลายร่างกาย ที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน ความเครียด และมลภาวะอันโหดร้าย ด้วยแพ็คเกจสปาหินร้อน (Hot Lava Stone Massage) ที่นำหินภูเขาไฟมาผสมผสานกับการนวดอันเป็นเอกลักษณ์จากสปา บาย เลอเมอริเดียนโดยเธอราพิสมืออาชีพ ในราคาเพียง 2,800++ บาท ซึ่งหากเที่ยบกับสิ่งที่ได้รับกลับมา นับว่าคุ้มค่ามากทีเดียว ความแตกต่างและโดดเด่น ทำไมถึงควรเลือกการนวดด้วยหินร้อนที่นี่ ? แน่นอนว่าในกรุงเทพฯนั้นมีสปาชั้นนำมากมาย แต่การผ่อนคลายร่างกายด้วยซิกเนเจอร์ทรีทเม้นท์อันเป็นเอกลักษณ์ โดยการนำหินบะซอลล์ที่เกิดจากลาวาภูเขาไฟมาเป็นส่วนประกอบหลักในการบำบัด ด้วยคุณสมบัติพิเศษของหินบะซอลล์ที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก สามารถกักเก็บอุณหภูมิได้เป็นอย่างดีและยาวนาน โดยอุณหภูมิที่ใช้จะนวดจะอยู่ที่ประมาณ 50 – 53 องศาเซลเซียส กับเทคนิคการนวดนี้จะทำให้คุณต้องยอมรับว่า นี่เป็นสปาชั้นนำที่ควรนึกถึงเมื่อต้องการความผ่อนคลายเรามาเริ่มตั้งแต่การเข้าไปใช้บริการสปากันเลย เมื่ออกจากลิฟท์มา คุณจะพบกับการตกแต่งที่ต่างออกไปจากชั้นอื่นๆของโรงแรม สำหรับชั้น 5 ของโรงแรม Le meridien Bangkok นั้นทุกท่านจะพบกับผนักที่ตกแต่งด้วยหิน กับทิศทางฝ้าและผนังทรงโค้ง และทำไมต้องโค้ง? เพราะทรงโค้งสามารถช่วยลดความเครียดได้ดีตามหลักการออกแบบนั้นเอง เมื่อเราเลือกโปรแกรมนวดแล้ว พนักงานก็จะนำผ้าเย็นกลิ่นตะไคร้หอมๆมาให้เช็ดมือ  พร้อมกับเครื่องดื่มต้อนรับ นั้นก็คือน้ำกระเจี้ยบ สีแดงสดใส รสเปรี้ยว หวาน สดชื่นหลังจากเลือกโปรแกรม ซึ่งครั้งนี้คือการนวดด้วยหินร้อนเป็นที่เรียบร้อย พนักงานก็จะนำกลิ่นของน้ไมันนวดมาให้เราเลือก ซึ่งครั้งนี้เราขอนำเสนอเป็น comforting และ calmingสำหรับ น้ำมันนวดกลิ่น Comforting นั้นจะประกอบไปด้วย  Lavender ที่ให้ความหอมเบาๆ ผ่อนคลาย นุ่มนวล คลายเครียด Naruari flower (orange flair) กลิ่นหอมสดชื่น Bergamot กลิ่นหอมผ่อนคลาย ทำให้รู้สึกสงบ และ ในส่วนของตัวน้ำมัน เป็น Cypies กับ Oil – jojoba rise bran sinvohe,yoie-hk; และ Swiss almon กับ sunflower สำหรับ น้ำมันนวดกลิ่น Calming ประกอบด้วย Lavender Green tea และ Vetovia  และ ในส่วนของตัวน้ำมัน เป็น Cypies…

Read More

ปัจจุบันร้านพิซซ่าน้องใหม่เกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยนะครับ แต่จะมีสักกี่ร้านที่มีพิซซ่ารสชาติแสนอร่อย มาพร้อมบรรยากาศริมน้ำเจ้าพระยาที่สุดยอดแบบ Sheraton Bangkok แห่งนี้ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไง ตาม KinlakeStar มาเลยครับ… ห้องอาหาร Giorgio’s เป็นห้องอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนที่ถูกประดับประดาด้วยโคมไฟ หลอด LED สีสันต่างๆ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นและอบอุ่นไปพร้อมกัน ผนังห้องถูกตบแต่งด้วยด้วยงานภาพวาดจากแผ่นไม้ที่จะทำให้คุณสัมผัสเสน่ห์แห่งประเทศอิตาลีอย่างแท้จริง Giorgio’s เป็นห้องอาหารที่เหมาะสำหรับการรับประทานอาหารแบบครอบครัว เพื่อนฝูง และคนรัก สามารถเลือกนั่งสบายๆในห้องปรับอากาศ หรือดื่มด่ำบรรยากาศสุดพิเศษริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้านนอกก็ได้เช่นกันครับ มัวแต่ดื่มด่ำกับบรรยากาศริมน้ำเจ้าพระยาซะเพลิน รู้ตัวอีกทีท้องร้องแล้วครับ งั้นเรามาชิมพิซซ่าแสนอร่อยที่ผมได้เกริ่นไว้ข้างต้นกันดีกว่า ถาดแรก PATATE, PROSCIUTTO CRUDO E RUCOLA (Potatoes, fresh prosciutto and arugula) 420.- พิซซ่าแป้งบางกรอบท็อปด้วยพาร์มาแฮมหอมๆ ผักร็อคเก็ต พาร์เมซานชีส ปิดท้ายด้วยน้ำมันมะกอก แต่ที่มองข้ามไม่ได้คือเชฟได้ใส่ชิ้นมันฝรั่งอบนุ่มๆ มาด้วย เวลากินตัวมันฝรั่งจะช่วยเบรคความเค็มของพาร์มาแฮมได้ดีครับ ต่อถาดที่สอง QUATTRO STAGIONI (Tomatoes, mozzarella, artichokes, ham, mushroom, olives and salami) 420.- พิซซ่า Four Stars พิซซ่าเอาใจคนหลายใจรวมสี่หน้าเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย 4 หน้า ได้แก่ 1.Spicy salamy 2. Ham 3. เห็ด 4. Artichoke และ olives เห็ดส่งกลิ่นหอมเด่น อาติโชคและมะกอกช่วยทำให้ถาดนี้ไม่เลี่ยนจนเกินไป ใครชอบความหลากหลายต้องลองครับ และถาดสุดท้ายที่ผมชอบที่สุด POMODORO, MOZZARELLA, FRUTTI DI MARE (Tomatoes, mozzarella cheese and seafood) 450.- พิซซ่าซีฟู้ด มีหอยเชลล์ กุ้ง Manila clam Black mussel และหมึก ครั้งแรกที่เชฟยกถาดมา กลิ่นหอมของชีสและซีฟู๊ดนั้นโดดเด่นเตะจมูกมาก เครื่องซีฟู๊ดโรยมาเต็มเน้นๆ…

Read More

ไปอินเดียก็หาแบบนี้ไม่ได้ อาหารอินเดียที่เลิศรส ครบเครื่อง และหลากหลาย ไม่อั้น กับ Indian Sunday brunch สไตล์ Fine dining โดยทั่วไปเราอาจคุ้นชินกับ Sunday brunch ที่จัดเต็ม อัดแน่นไปด้วยซีฟู้ด ทั้งล๊อบสเตอร์ ปูอลาสก้า หอยนางรม ฟัวกราส์ คาร์เวียร์ สารพัดเมนู แต่ ในครั้งนี้ เราจะพาทุกคนไปพบกับ Sunday brunch ที่อัดแน่นไปด้วยอาหารอินเดียที่หลากหลายและเลิศรส กับบรรยากาศ Indian Fine dining ถึงแม้ว่าปัญจาบ กริลล์ กรุงเทพฯ จะเป็นร้านอาหารที่ตั้งอย่างเป็นเอกเทศมีทางเข้าหลักเป็นสัดส่วน แต่แขกที่มาพักกับเราก็ยังสามารถใช้บริการภัตตาคารแห่งนี้ได้อย่างสะดวกสบาย และเนื่องจากปัญจาบ กริลล์ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิทซอย 13 ยังสะดวกต่อการเดินทางโดยลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสลงสถานีนานา หรืออโศกก็ได้” มร.ไซมอน แรมซี่ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเรดิสันสวีท กรุงเทพฯ สุขุมวิท กล่าว บรรยากาศห้องอาหารที่จะชวนให้ทุกท่านนึกถึงบรรยากาศแบบอินเดีย ทั้งการตกแต่งภายใน ผ้าม่าน เฟอร์นิเจอร์ การจัดวาง รวมถึงชุดของบรรดาพนักงาน ที่ตัดทอด้วยผ้าและรูปแบบลูกไม้สไตล์อินเดียแท้ๆ เริ่มต้นเข้าสู่ห้องอาหาร ทุกท่านจะพบกับกับ Indian street food live Station สำหรับความพิเศษของซุ้มนี้คือ ทุกท่านจะได้พบกับอาหารอินเดียท้องถิ่นแบบแท้ๆ ดั้งเดิม รสเลิศ และหากินได้ยากในไทย และต่อให้ไปอินเดีย คุณก็ยากจะกินลงเพราะความสะอาดของการทำอาหารริมทางของอินเดียนั้น ขึ้นชื่อลือชายิ่งนัก เราจะเริ่มกันด้วยมุม Chaat Counter มุมที่จะนำเสนอของทานเล่นคล้ายออเดิร์ฟ เมนูแรกเรียกว่า Pani Puri เป็นแป้งทรงกลมกรอบและบาง ด้านในจะบรรจุน้ำซุปที่มีรสเปรี้ยวส่วนผสมหลักๆ จะประกอบไปด้วย Dried mango powder, Cumin, Rock salt, Coriander, Dried Ginger, Salt, Black and Red pepper เป็นต้น เวลารับประทานจะเสิร์ฟบนกระทงใบตอง หยิบ Pani Puri แล้วใส่ปากทั้งคำ และต่อกันด้วย…

Read More

CIAO PIZZA (ชาวว์พิซซ่า) ร้านพิซซ่าสไตล์อิตาเลี่ยนระดับพรีเมี่ยมที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพมาใช้เป็นส่วนประกอบอาหาร และปรุงสดใหม่เพื่อให้ได้รสชาติที่ดี และคงไว้ซึ่งรสชาติของวัตถุดิบ CIAO PIZZA ร้านอาหารอิตาเลี่ยนในสีลมซอย 3 นี้ถูกตกแต่งร้านในสไตล์ Rustic โดยทางร้านได้แรงบันดาลใจมาจาก Subway ในประเทศอิตาลี ที่ให้อารมณ์ดิบๆ หม่นๆ ผนังใช้ความเปลือยของปูนสีอิฐเข้ม ตัดสลับปูนเปลือย เหล็ก สายไฟ โทนสีดำ ให้แสงสว่างด้วยสีส้มจากหลอดไฟที่ฝังอยู่ในผนัง และห้อยลงมาจากเพดาน ส่งให้บรรยากาศในร้านดูอบอุ่นเหมาะแก่การดินเนอร์เป็นอย่างยิ่ง สูตรทำพิซซ่าที่สืบทอดกันมาในครอบครัวของเชฟ Gerardo Calabrese คือวิธีการพักแป้งพิซซ่าที่นวดแล้วไว้ทั้งหมด 2 ครั้ง โดยครั้งแรกพักแป้งไว้ 24-36 ชั่วโมง แล้วนำมานวดอีกครั้งก่อนนำแป้งไปพักไว้เป็นครั้งที่สองอีกประมาณ 10 ชั่วโมง ซึ่งวิธีการนี้ทำให้ทางร้านใช้ยีสต์ในปริมาณที่น้อย และได้เนื้อแป้งที่บางเบาไม่แน่นท้องจนเกินไป นี่คือสาเหตุที่เราได้เกริ่นไปว่า “กินเยอะก็ไม่แน่นท้อง” นั่นเองครับ ในร้านเราจะเห็นเตาถ่านที่ใช้อบพิซซ่าตั้งอยู่โดดเด่นมาก ทำให้ผมนั้นรู้สึกเพลิดเพลินกับการกินอาหารมื้อนี้พร้อมกับดูเชฟปรุงอาหารกับมือแบบสดๆ มากครับ…พูดถึงเรื่องอาหารแล้วเรามาดูเมนูที่ทางร้านแนะนำกันดีกว่า เริ่มที่จานแรกกันเลยกับ RUCOLA E SALSICCIA AL BALSAMICO 280.- สลัดร็อคเก็ตคลุกน้ำสลัดน้ำผึ้งบัลซามิคให้รสชาติอมหวานนิดๆ เสิร์ฟมาพร้อมไส้กรอกอิตาเลี่ยนหอมนุ่ม โรยด้วยพาเมซานชีสสไลด์ด้านบนมันๆ ช่วยเรียกน้ำย่อยมื้ออาหารได้ดีมากเลยทีเดียว ต่อกันที่จานที่สอง COLD CUTS BURRATINA 440.- จานเรียกน้ำย่อยอีกจานที่ขาดไม่ได้ในอาหารอิตาลี ชีสบูราต้าสดๆ เสิร์ฟพร้อมพาร์มาแฮมหอมๆ ไส้กรอกมอร์ทาเดลล่านุ่มๆ และมะเขือเทศสดด้านล่าง กินทุกอย่างพร้อมกัน เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ครบรส พร้อมที่จะเข้าสู่จานหลักแล้วครับ จานที่สาม SPAGHETTI  A.O.P. SALSICCIA 320.- สปาเก็ตตี้เส้นหนึบกำลังดีผัดรวมกับไส้กรอกอิตาเลี่ยน และเบคอนกรอบ ใส่น้ำมันมะกอก กระเทียม และพริกแห้งเพิ่มความหอม จานนี้ถูกใจคนไทยที่ชื่นชอบความเข้มข้นแน่นอนครับ จานที่สี่ STROZZAPRETI POLLO E PESTO 260.- โฮมเมดพาสต้าที่ทางร้านทำเส้นเอง สัมผัสเส้นนุ่มเหนียวเคี้ยวเพลิน ผัดกับชิกเก้นบอลหอมๆ กรอบนอกนุ่มใน เคล้าด้วยซอสเพสโต้อมเปรี้ยวนิดๆ ได้กลิ่นโหระพาชัดเจนกินคู่กันลงตัวมากครับ จานที่ห้า FOCACCIA TARTUFO 280.- ขนมปังโฟกาเซียอบกรอบส่งกลิ่นหอมคลุ้ง สอดไส้ครีสชีสเยิ้มๆ หอมเห็ดทรัฟเฟิลอันเป็นเอกลักษณ์ ชิ้นกำลังดีไม่ใหญ่จนเกินไป กรอบนอกนุ่มในอร่อยมากครับ ถ้าไม่ติดว่าต้องชิมพิซซ่าอีกสองถาด ผมคงกินคนเดียวหมดละ…

Read More

หากจะพูดถึงกระแสร้านอาหารตะวันตกสไตล์เมดิเตอเรเนี่ยนที่กำลังถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ในตอนนี้ผมคงต้องยกให้ HARVEST Restaurant มาเป็นอันดับต้นๆ เพราะสำหรับผมที่นี่คือร้านอาหารที่โดดเด่นทั้งการแต่งร้าน และคุณภาพของวัตถุดิบที่นำมาใช้ ซึ่งแน่นอนครับวันนี้ KinlakeStars จะพาทุกท่านมาชิมอาหารมื้อพิเศษจากทางร้านกัน… HARVEST Restaurant ร้านอาหารตะวันตกที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองในซอยสุขุมวิท 31 ที่ถูกตกแต่งสไตล์ Rustic กึ่งๆ Industrial โชว์ความดิบของปูนเปลือย ไม้ อิฐ เหล็ก และของตกแต่งร้านจากวัสดุแห้ง บรรยากาศเหมือนโรงนาในหนังตะวันตก เพิ่มความนุ่มนวลด้วยแสงจากโคมไฟสีเหลืองนวลที่ประดับประดาตามจุดต่างๆ ในร้าน ดูลึกลับและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ต้องพูดเลยครับว่าก้าวแรกที่ผมเข้ามาในนี้ ผมรู้สึกประทับใจมากราวกับหลุดมาอยู่ที่อีกโลกนึงเลย ไม่ว่าเราจะไปกับคู่รักหรือพบปะเพื่อนฝูง HARVEST ก็มีโซนชั้นลอย พร้อมให้บริการท่านได้อย่างเต็มที่ สิ่งของต่างๆ ที่ทางร้านนำมา Decorate ล้วนดูดิบและช่วยส่งบรรยากาศในร้านให้ดูอบอุ่นเหมาะแก่การนั่งรับประทานอาหารกับคนพิเศษมากครับ ที่สำคัญถ่ายรูปออกมาแล้วบรรยากาศดีงามมาก ดูบรรยากาศสุดจะบรรยายของร้านกันไปแล้วเรามาดูอาหารกันบ้างดีกว่าครับ ซึ่งทางร้านได้ให้คำจำกัดความถึงที่มาของคำว่า HARVEST นั้นมาจากการเก็บเกี่ยววัตถุดิบชั้นยอดจากทั่วทุกมุมโลกมาปรุงพร้อมกับส่วนผสมคุณภาพตามแต่ละฤดูกาล ออกมาเป็นอาหารจานพิเศษให้ลูกค้าทุกคนได้ลิ้มลองกัน จานแรกตามแบบฉบับของอาหารตะวันตกเรามาเริ่มที่ Starter เรียกนำย่อยกันก่อนกับ Heirloom Tomato Salad (490.-) สลัดรวมมะเขือเทศหลากชนิด ทั้งสดและย่าง เพิ่มกลิ่นหอมด้วยน้ำมันมะกอกและพริกไท รับประทานคู่กับ Burrata Cheese รสชาติหอมมันตัดกับความเปรี้ยวหวานของมะเขือเทศได้เป็นอย่างดี ลองใช้มีดผ่า Burrata Cheese ออกมาดู ละลายยิ้มออกมา คอชีสฟินมากครับ จานที่สอง Char-Grilled Octopus (490.-) หนวดหมึกยักษ์ย่างเตาถ่านส่งกลิ่นหอมคลุ้งตั้งแต่พนักงานถือมาเสิร์ฟความสุกกำลังดี นุ่มมากไม่เหนียวเลยหอมถ่านที่กริลมาอย่างดี รับประทานคู่กับ Fennel นุ่มๆ และ Chorizo รสชาติกลมกล่อม เสิร์ฟมา 5 จานผมคนเดียวก็กินไหวครับบอกเลย มาถึง Starter จานที่สามหลังจากรับประทานสลัดกับของย่างมา ลองชิมซุบฟักทองอร่อยๆ กับ  HARVEST Pumpkin Soup (250.-) ออกตัวเลยครับว่าผมแนะนำและรักเมนูนี้มาก เพราะส่วนตัวชอบรับประทานฟักทองเป็นชีวิตจิตใจแต่หาคนทำถูกปากยากมาก ซุปฟักทองของที่นี่ถือเป็น Must try menu ฟักทองคว้านเนื้อนำไปอบนุ่มกำลังดี ตัวเนื้อนำไปทำซุปรสชาติหวานนุ่มกลมกล่อม Topping ด้วยเบคอนและเมล็ดฟักทองอบ ให้ตักเนื้อฟักทองไปพร้อมซุป รับประทานคู่กับขนมปังที่เสิร์ฟมาข้างจานสุดยอดมากครับ  ชิม Starter…

Read More

สวัสดีครับทุกท่านวันนี้ KinlakeStars มีโอกาสหนีเมืองกรุงมาเที่ยวชลบุรี ด้วยการเชื้อเชิญจากทาง Silverlake ไร่องุ่นบรรยากาศเยี่ยมที่ซ่อนตัวกลางหุบเขาเมืองพัทยา ผมเชื่อว่าทุกท่านคงเคยเห็นไร่องุ่นแห่งนี้ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์คกันมาบ้างแล้ว แต่หลายๆ ท่านคงยังไม่รู้กันใช่ไหมครับว่าไวน์และอาหารของที่นี่ก็สุดยอดไม่แพ้กัน… Silverlake เป็นไร่องุ่นที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ถ่ายรูป และรับประทานอาหาร ได้รับความนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตกแต่งด้วยต้นไม้นานาพันธุ์คุมโทนอาคารต่างๆ ด้วยสีอิฐ แซมด้วยสีเขียวจากต้นไม้ ให้บรรยากาศราวกับเหมือนอยู่ในอิตาลียังไงยังงั้นเลยละครับ สวยงามดั่งอยู่อิตาลี ไร่องุ่นที่งดงามสุดลูกหูลูกตามีพื้นหลังเป็นทะเลสาบและเนินเขาอันงดงาม มองเห็นได้เด่นชัดจากร้านอาหาร เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ เชฟทอม วิทยสาธิต เรืองบุญ เชฟหัวเรือใหญ่ประจำ Silverlake ที่ผ่านประสบการณ์การทำงานมาแล้วทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นห้องอาหารที่ อิตาลี ยุโรป และไทย โดยเชฟทอมจะมีความเชี่ยวชาญเรื่องการปรุงอาหารแนวเมดิเตอร์เรเนียนเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเคยได้รับเกียรติอันสูงสุดในการทำกาลาดินเนอร์ถวายสมเด็จพระเทพฯ อีกด้วยครับ หลังจากพูดคุยกับเชฟทอมแล้ว ทาง Silverlake ก็ได้พาเราไปชมบรรยากาศโดยรอบของไร่ พร้อมกับชมห้องอาหารและห้องเก็บไวน์ที่เราจะมาชิมอาหารกับด้วยครับ บรรยากาศจะสวยงามแค่ไหนลองดูกันเลย เดินชมไร่และห้องอาหารโดยรอบกันแล้วถึงเวลาพวกเราจะมาลองรับประทานอาหารจากฝีมือเชฟทอมและจิบไวน์คุณภาพที่ทาง Silverlake ซึ่งได้บ่มด้วยวิธีเฉพาะในโรงบ่มของทางไร่เองด้วยครับ วันนี้เชฟทอมได้จัดเสิร์ฟอาหารคาวหลายรูปแบบถึง 7 จาน ของหวาน 1 จาน พร้อมกับจิบไวน์ ในบรรยากาศวิวภูเขาและทะเลสาบสีเงินสะท้อนผิวน้ำสุดลูกหูลูกตา ฟินมากๆ เลยครับ ว่าแล้วก็มาเริ่มที่จานแรกกันเลยดีกว่ากับ Burrata Mozzarella Caprese’ with Mesculum Salad and Roasted Cherry Tomato (490.-) มอสซาเลร่าบลูราต้าเสิร์ฟกับสลัดผักรวม มะเขือเทศ ราดซอสโหระพา ใครเป็นสายชีสต้องไม่พลาดจานนี้ครับ ผ่าออกมานี่มอสซาเลร่าบลูราต้าชีส ที่มีรสมันสด จากนมควาย เยิ้มไหลออกมา ทานคู่กับผักสลัดและมะเขือเทศ เบรคกลิ่นชีสด้วยซอสโหระพา เคี้ยวเพลินมากครับ ไวน์ขาวที่จับคู่ได้ดีกับบูราต้าชีสตัวนี้ได้แก่ ไวน์ขาวจากองุ่นพันธุ์ Sauvignon Blanc ซึ่งปลูก โต และเก็บเกี่ยวที่ Langhorne Creek ประเทศ ออสเตรเลีย และบ่มหมักใน ไร่องุ่น  Silverlake ให้สีใสๆ ออกฟางข้าวอ่อน ให้กลิ่น ตะไคร้ และมะนาว และกลิ่นหอมอ่อนๆจากดอกไม้ที่ซ่อนตัว รสสัมผัสที่ให้ความรู้สึกเบาๆสดชื่นสนุกๆเหมือนสาวๆกำลังระบำฮาวายกับสายลมอ่อนๆ จานที่สอง Smoked Salmon…

Read More

Ladurée มีร้านอาหารในไทยแล้วหรอ นึกว่าจะมีแค่ร้านขนมเสียอีก!! เสียงเพื่อนผมอุทานเมื่อผมบอกเค้าว่าจะมารีวิวร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสแห่งนี้ … ใช่ครับ วันนี้ KinlakeStars ได้มีโอกาสมากินอาหาร French Cuisine จากทาง Ladurée หลายคนที่ชื่นชอบมาการองคงต้องรู้จัก Ladurée แบรนด์ขนมหวานฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงและประวัติอันยาวนานมาตั้งแต่ปี คศ.1862 เป็นอย่างดี แต่ยังไม่ทราบว่า Ladurée เค้าก็มี French Cuisine ไว้บริการลูกค้าเช่นเดียวกัน ซึ่งต้องบอกเลยครับว่าอาหารคาวก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้ของหวานเลยละครับ และนั่นแหละครับวันนี้เราจะมาลองชิมกัน… กลางศูนย์การค้าสยามพารากอนชั้น M มีร้านอาหารตกแต่งสไตล์น่ารักเน้นสีพาสเทลตั้งอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ Ladurée นั่นเอง ซึ่งสุภาพสตรีคงชื่นชอบกันแน่นอน เนื่องจากทั้งร้านตกเต่งด้วยฟอร์นิเจอร์สไตล์ฝรั่งเศส ใช้สีพาสเทล ถ่ายรูปออกมามุ้งมิ้งน่ารักแน่นอนครับ 🙂 ชมบรรยากาศของร้านไปแล้วงั้นเราลองมาดูอาหารคาวที่นี่กันบ้างดีกว่าว่ามีจานไหนโดดเด่นดีงามกันบ้าง เราไปเริ่มที่เครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นก่อนเริ่มรับประทานอาหารกันดีกว่าครับ Mojito Litchi (420.-) โมฮีโต้ที่มีความหอมแตกต่างจากเจ้าอื่น เพราะโมฮีโต้ของที่นี่ผสมลิ้นจี่ลงไปด้วย จึงทำให้มีรสชาติเปรี้ยวหวาน และมีเนื้อของลิ้นจี่ให้ทานเพิ่มความอร่อยให้เครื่องดื่มแก้วนี้ได้เป็นอย่างดี Jardin Bleu Royal (220.-) ด้วยส่วนผสมจากชาดำจากจีน และชาศรีลังกาที่ให้ความหอมเตะจมูก และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ กลิ่นของผลไม้เช่นสตรอว์เบอร์รี่และเชอร์รี่อโรมาช่วยให้ชาดำแก้วนี้หอมหวานยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งหากใครไม่ชอบรสชาติขมก็สามารถใส่น้ำเชื่อมเพิ่มเข้าไปได้ ให้รสชาติหวานหอม อร่อยไปอีกแบบ Mélang Spécial Ladureé (220.-) เครื่องดื่มสูตรพิเศษแก้วหนึ่งที่ผมชื่นชอบ เพราะว่ามีรสชาติที่เปรี้ยวหวานจากเบอร์รี่ และผลไม้ชนิดต่างๆ ผสมกับ Citrus มอบความเปรี้ยวและเพิ่มความหอมด้วยชาดำจากจีนและศรีลังกา ไม่ว่าจะดื่มคู่กับอาหารหรือขนมก็อร่อยไม่แพ้กันครับ Darjeeling Namring (280.-) ชาร้อนแก้วนี้ส่งกลิ่นความหอมจากชาที่ถูกปลูกจากตีนเขาหิมาลัย บวกกับกลิ่นสัมผัสจากอัลมอนและดอกไม้ เหมาะสำหรับดื่มปิดท้ายมื้ออาหารเพื่อล้างปากได้เป็นอย่างดีครับ ถึงเวลาของของคาวกันบ้าง…ตามที่ทราบกันดีครับว่า French Cuisine นั้นจะโดดเด่นเรื่องการจัดแต่งจานอาหารที่น่าสนใจ ความสวยงามของ Presentation ขององค์ประกอบนั้นเรียกได้ว่าอลังการมากครับ รองท้องระหว่างมื้ออาหารด้วยขนมปังกรอบนอกนุ่มใน อบใหม่ร้อนๆทาด้วยเนยชั้นเยี่ยมอิมพอร์ตมาจากฝรั่งเศสโดยตรงกันก่อนครับ หลังจากรองท้องกันแล้วเราก็มาเริ่มที่จานแรก Salade Ladurée (320.-) สลัดผักที่สดมากหอมกลิ่น Mozzarella Cheese โรยบน Mizuna, Artichoke, Snap Pea, Green Asparagus และ Tomato โรยอีกชั้นด้วยขนมปังกรอบ เป็นจานเบาๆ ที่เปิดตัวมื้อนี้ได้ดีมาก จานที่ 2 Tartare…

Read More