Author: Nopmanee

ช่วงหน้าหนาวคนรู้จักหลายคนมักจะขึ้นไปเที่ยวทางภาคเหนือกัน ที่เห็นมากที่สุดเห็นจะเป็นเชียงใหม่ แต่สำหรับเราเคยไปเชียงรายตอนเด็กๆและอยากจะลองกลับไปอีกครั้งมากกว่า จังหวัดที่อยู่เหนือสุดของไทย มีอาณาเขตติดกันกับพม่าและลาวที่สามเหลี่ยมทองคำ ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไป ปัจจุบันนี้เชียงรายมีที่ให้ไปเที่ยวหลายแห่งมากมาย ทั้งไร่ชาฉุยฟง วัดร่องขุ่น พิพิธภัณฑ์บ้านดำ สวนดอกไม้ อีกทั้งคาเฟ่ร้านอาหารอร่อยๆก็น่าไปลองเช่นกัน ในครั้งนี้เป็นการไปเที่ยวกับครอบครัว จอง เลือก หาโปรเองทุกอย่าง และอยากจะนำเรื่องราวมาแชร์กันไว้เพื่อเป็นข้อมูลในการท่องเที่ยวต่อไปค่ะ โดยทริปนี้เราเลือกที่จะขึ้นเครื่องบินไป เชียงรายนี้มีหลายสายการบินให้เลือกบินไปทั้งจากสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ไปถึงเชียงรายช่วงเช้า แล้วเช่ารถพร้อมคนขับท้องถิ่นผู้ชำนาญเส้นทางและแหล่งท่องเที่ยว มาช่วยต่อเติมโปรแกรมในครั้งนี้ให้สมบูรณ์เป็นจำนวน 3 วัน อีก 1 วันสุดท้ายเก็บไว้เดินเที่ยวเล่นและนั่งรถรางแอ่วเมืองกันก่อนที่จะบินกลับในตอนค่ำค่ะ วันที่ 1 ขับรถออกไปเที่ยวทางนอกเมืองทางทิศเหนือ และสถานที่ๆอยู่ใกล้กับสนามบิน พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปี 2544 ผู้มีผลงานแสดงเดี่ยวและกลุ่มมากมายหลายครั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้รับเชิญเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการประชุมสัมนาทางศิลปะนานาชาติอยู่เสมอ ผลงานบางส่วนติดตั้งแสดงถาวรเป็นสมบัติของชาติ ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่และสถานที่สำคัญๆทั้งของรัฐและเอกชนหลายแห่งในประเทศและต่างประเทศแถบเอเชีย ยุโรปและอเมริกา ท่านได้ใช้เวลากว่า 50 ปีในการสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ด้วยเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ณ ที่จังหวัดเชียงรายอันเป็นบ้านเกิด จัดแสดงศิลปะหลากหลายแขนงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ศิลปะที่จัดแสดงของท่านนั้นแฝงไปด้วยปรัชญาพุทธศิลป์ ความเชื่อ การตีความ จัดวาง สเปซและสถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์ สามารถเดินชมได้ตามเรือนที่วางเรียงรายอยู่ในสวน เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9:00-17:00 น. ♦ ค่าเข้าชม 80 บาท หมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว ชมวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงเผ่าต่างๆ ที่จะจัดเป็นโซนหมู่บ้านภายในพื้นที่ให้เราเดินวนดูเป็นวงกลม และเลือกซื้อของ เช่น ผ้าพันคอ หมวก กำไร กระเป๋าแบบชาวเขา และสินค้าอื่นๆได้ ส่วนตัวแล้วอันนี้ถือว่าได้มาเห็นไม่ค่อยเจอ แต่ก็จะไม่แนะนำให้ไปค่ะ ซ้ายไปขวา : การแสดงเคาะไม้ – ส่วนขายของสินค้าท้องถิ่น – ชาวกะเหรี่ยงคอยาวนั่งทอผ้าพันคอ – ผ้าพันคอหลากสีสันต์ ♦ ค่าเข้าชม xxx บาท มื้อกลางวันที่ Hacienda coffee house…

Read More

สมัยนี้หันไปทางไหน ก็มีแต่ cafe ร้านกาแฟ “Normal is boring” เป็นหนึ่งในแนวคิดตั้งต้นสู่ร้านชาสุดจี๊ดจ๊าด คุณภาพสูง สมกับชื่อ “Ditto” Modern Tea แฟนๆคอชาทั้งหลาย วันนี้ Kinlakestars.com มีร้านชาร้านใหม่แกะกล่องมาแนะนำกันค่ะ  เป็นการนำเสนอชาในรูปแบบวิถีชาสมัยใหม่ ซึ่งชาของที่นี่ก็ทำสดใหม่ ใส่ใจสุขภาพ มีความแตกต่างและหลากหลายจากร้านอื่นยังไงเรามาลองกันเลยค่ะ ด้วยหัวใจอันดับแรกของส่วนผสมชาของที่นี่ คือ วัตถุดิบค่ะ  ที่นี่ไม่ใช้ชาผง แต่ใช้เป็นชาใบ (loose leaf teas)  ผลไม้สดๆ และส่วนผสมชั้นเยี่ยมอื่นๆที่ถูกคัดมาจากแหล่งกำเนิดเป็นอย่างดีเพื่อให้แน่ใจว่าชามีคุณภาพดีที่สุดพร้อมเสิร์ฟในทุกๆ ถ้วย และทุกๆเวลา มีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าชาทุกถ้วยมีมาตรฐานสูงสุดสำหรับผู้บริโภคอย่างเรา Oolong Lychee (135 บาท) แก้วนี้มาเป็นสีชมพูลูกกวาดน่ารัก  รสชาติของลิ้นจี่นั้นอยู่ครบครันจากการนำชาอู่หลงผสมลิ้นจี่สดและสมุนไพรอื่นๆ สกัดเย็น  แล้วแช่เก็บไว้ในตู้เย็น 24 ชั่วโมง  เสิร์ฟพร้อมเนื้อลิ้นจี่ในแก้วด้วย  ที่สำคัญคือแก้วนี้จะไม่หวานมากด้วยค่ะ Matcha Green Tea (175 บาท) ชาเขียวเข้มข้นฉบับรสชาตินุ่มนวล  ที่ใช้ผงชาเขียวชั้นดีนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น  ผสมวนิลาและนมออกมากำลังดี ไร้ความหวานพุ่งโดด  ฉะนั้นชาเขียวเลิฟเวอร์ต้องห้ามพลาดแก้วนี้ด้วยประการทั้งปวงค่ะ นอกจากนี้ที่สลิปจับแก้วยังมีลูกเล่นเล็กๆน้อยๆ การเสี่ยงทายให้เราได้เล่นกันอีกด้วย  โดยให้ดึงกระดาษออกมาจากตรงที่เขียนว่า Pull  อย่าง 2 แก้วนี้ได้ออกมาว่า Make yourself a priority  ดูสิคะผู้อ่านขา ได้ 2 รอบติดกันแบบนี้  ต้องมีอะไรแน่ๆค่ะ ชาของที่นี่ไม่ได้ใส่น้ำตาล  ความหวานเล็กน้อยในแก้วที่ได้ลิ้มรสกันนั้นมาจากความหวานของผลไม้ทั้งนั้นค่ะ จึงเหมาะกับคนรักสุขภาพที่ไม่อยากทานหวานยิ่งนัก  หรือถ้าหากใครอยากเพิ่มความหวานกันอีกซักหน่อยก็สามารถบอกพนักงานให้ใส่ไซรัปเพิ่มให้ได้ค่ะ Matcha (145 บาท) เห็นชื่อมัทฉะ  แต่แก้วนี้แอบไม่ธรรมดานะคะ  เป็นชาเขียวผสมกับครีมชีสด้วย  ตัวน้ำก็เลยออกจะมีความเข้มข้นและครีมมี่มากขึ้นอีกนิดนึง โดยเค้าจะใส่ฝาที่เจาะรูกว้างๆไว้ให้เพื่อให้ยกดื่มได้เลย  หรือถ้าใครที่คิดว่าแบบนี้เข้มข้นไปละก็  รอซักพักให้น้ำแข็งละลายซักนิดก็จะดื่มได้ง่ายขึ้นค่ะ แก้วต่อไปนี้สำหรับคอกาแฟค่ะ  แต่ช้าก่อน ร้านนี้ขายแต่ชาล้วนๆเท่านั้น  คุณผู้อ่านเชื่อหรือไม่ มีชาที่มีรสชาติเหมือนกาแฟเปี๊ยบเลยค่ะ  ภายใต้ชื่อ The Dark (115 บาท) เป็น…

Read More

 มาดับกระหายคลายร้อนด้วยอาหารรสเลิศ “ข้าวแช่ชาววัง” เมนูไทยสุดคลาสสิคพิถีพิถันทุกขั้นตอน ณ “สยาม ที รูม” กันเถอะ ! Kinlakestars.com และ โรงแรม แบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ต้อนรับฤดูร้อนด้วยเมนูไทยคลาสสิค “ข้าวแช่ชาววัง” สูตรลับที่สืบทอดมาจากครอบครัวของเชฟชื่อดังผู้เชี่ยวชาญตำรับอาหารไทย ลิ้มรสข้าวแช่ที่หุงอย่างพิถีพิถัน หอมกรุ่นกลิ่นน้ำอบดอกไม้หอมไทย รับประทานกับเครื่องเคียงรสเลิศ ปรุงอย่างวิจิตรบรรจง ซึมซับความงดงามของวัฒนธรรมไทยได้ที่ ห้องอาหาร สยาม ที รูม เฉพาะมื้อกลางวันตั้งแต่เวลา 11.00 – 16.30 น. ตลอดเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2561 นี้ Kinlakestars.com ขอพาทุกท่านไปยังแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค (Bangkok Marriott Marquis Queen’s Park) เพื่อมาลิ้มลองเมนูสุดคลาสสิคของไทย “ข้าวแช่ชาววัง” หรือ “ข้าวแช่เสวย” โดย เชฟอ้น – อนุกูล พูลพิพัฒน์ แห่งห้องอาหาร สยาม ที รูม (Siam Tea Room) ผู้เชี่ยวชาญตำรับอาหารไทย เคี่ยวกรำการครัวมาตั้งแต่เล็กด้วยอยู่ในครอบครัวที่รักในการทำอาหารไทยทั้งคาวหวานมาตั้งแต่รุ่นคุณยาย นำข้าวแช่ชาววังสูตรต้นตำรับชาวมอญ ซึ่งเป็นที่นิยมในรั้วในวังมาปรุงอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ทุกคนได้อิ่มเอมกับรสชาติชาววัง มาดับกระหายคลายร้อนไปพร้อมกัน เริ่มต้นมื้ออาหารในช่วงฤดูร้อนๆกันด้วยเครื่องดื่มสุดแสนสดชื่น นั้นก็คือมะนาวโซดาอัญชัน สุดแสนจะหอมจากใบส้มซ่า หวานอมเปรี้ยวไปกับมะนาวเขียว ข้าวแช่เป็นอาหารพื้นบ้านของชาวมอญ โดยแต่เดิมนั้นชาวมอญจะทำข้าวแช่ในช่วงสงกรานต์ เพื่อบวงสรวงเทวดาและถวายพระ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทยต่อมาชาววังได้รับวัฒนธรรมการกินแบบชาวมอญและมีการปรุงแต่งให้วิจิตรบรรจงยิ่งขึ้น ในช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเผยแพร่สูตรลับ “ข้าวแช่ชาววัง” หรือ”ข้าวแช่เสวย” ทำให้เป็นที่นิยมในช่วงรัชสมัยนั้น และยังคงรักษาเอกลักษณ์วิถีข้าวแช่จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการหุงข้าวด้วยกรรมวิธีพิเศษ อีกทั้งน้ำลอยดอกไม้ โดยดอกไม้ที่ใช้ที่นี้นั้นจัดได้ว่าครบเครื่อง ทั้งดอกมะลิ ดอกชมนาด และกุหลาบ และการอบควันเทียน อีกทั้งข้าวที่ใช้ก็เป็นข้าวจากจังหวัดอำนาจเจริญ และมีการทำข้าวเป็นสองสี โดยข้าวสีฟ้านั้นมาจากการหุงด้วยน้ำจากดอกอัญชัน เรามาเริ่มต้นสดชื่นๆกันด้วยแตงโมปลาแห้งกันครับ ซึ่งเมนูนี้เป็นที่ยอดนิยมของสยามในอดีต ที่นิยมกินกันช่วงฤดูร้อน ช่วยให้ดับกระหายคลายร้อน รับประทานกับเครื่องเคียงรสโอชา ได้แก่ “อัญชันห่อกุ้ง”…

Read More

         การทำอาหารนั้นแต่เดิมเราจะคิดว่าเป็นงานของผู้หญิง อยู่กับบ้านทำงานบ้านงานเรือน ทำอาหาร แต่ในปัจจุบันนั้นถ้าเราไปรับประทานอาหารตามร้านอาหารมักจะพบหัวหน้าพ่อครัวหรือเชฟใหญ่เป็นผู้ชายเสียส่วนใหญ่  มีน้อยมากที่จะเป็นผู้หญิง เนื่องในโอกาสวันสตรีสากล วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี ในปีนี้ Kinlakestars.com จะขอพาไปชมฝีมือการทำอาหารจากเชฟผู้หญิง ทั้งเชฟมิชลินสตาร์ เซเลบลิตี้เชฟ เชฟจากห้องอาหารชั้นนำ มาจากทั้งในและต่างประเทศได้มารวมตัวกันที่งาน Women in Gastronomy (Wig) ที่จัดขึ้น ณ​ โรงแรมสุโขทัย เบื้องหลังอาหารสวยๆบนโต๊ะนั้น ผู้หญิงเราก็ทำได้ไม่แพ้ผู้ชายเลยทีเดียว โดยงานนี้มีการนำเชฟผู้หญิงชั้นนำ 15 คนจากต่างประเทศและในประเทศมารวมตัวกัน พูดคุยกัน และมี Luncheon story-telling จากเชฟทุกคนด้วยค่ะ ‘Nam Prik Ban Na’ – Rice paddy field relish จานแรกจากเชฟ Duangporn ‘Bo” Songvisava ผู้ร่วมก่อตั้งร้านอาหารมิชลินสตาร์ 1 ดาว ร้านโบ.ลาน และยังเป็นผู้ครองตำแหน่ง Best Female chef in Asia 2013 จานนี้มาในรูปแบบรสชาติแบบไทยๆมาให้ลิ้มลองกันถึง 4 รส รีวิวร้านอาหารโบ.ลาน อ่านได้ที่นี่ ‘Miang Tuo Thod’ – Crispy peanut chip, dried shrimps and pickled tamarind salad จากเชฟ Rossarin ‘Rin’ Sriprathum แห่งห้องอาหาร Celadon โรงแรมสุโขทัย ผู้ได้รับแรงบันดาลใจในการทำอาหารมาจากคุณย่า อย่างเมี่ยงถั่วทอดนี้ ถั่วทอดเป็นของทานเล่นที่เชฟชอบ นำมาทานคู่กับเมี่ยง ทานกันเพลินๆมากค่ะ รีวิวห้องอาหาร ​Celadon อ่านได้ที่นี่  ‘Risotto alla Mugnaia’  จากเชฟ…

Read More

ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามา ณ โรงแรมอันสวยงาม เดินผ่านสระบัว ต้นไม้สูงใหญ่ให้ร่มเงา โดยบรรยากาศแล้วช่างแสนสงบต่างกับภายนอกเสียเหลือเกิน เหมือนอยู่ๆก็ได้พบเพชรที่ถูกเจียระไนมาอย่างดี อยู่บนตัวเรือนอย่างเหมาะสม เปรียบเสมือนโรงแรมที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สำคัญยิ่ง อย่างย่านสาธร นั่นคือโรงแรมสุโขทัยนั่นเอง วันนี้ Kinlakestars.com จะพามารับประทานอาหารไทยอันแสนอร่อย New Tasting menu ณ​ ห้องอาหารศิลาดล ที่ตั้งอยู่ในเรือนไทยประยุกต์กลางสระบัว โดยเชฟรินผู้มากฝีมือ จานแรกของอาหารชุดนี้ เป็นผลไม้ตามฤดูกาล  ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่รัชกาลที่ 9 ท่านทรงโปรด โดยทำเป็นชิ้นมะม่วงแกะสลักมาอย่างสวยงาม โรยพริกเกลืออยู่ด้านบน  ชิ้นมะม่วงอมเปรี้ยวชิ้นใหญ่ แอบหอมมันด้วยรสของมะพร้าวคั่วแซมๆมาในพริกเกลือแบบโบราณขนานแท้ วางบนใบมะม่วงใบใหญ่ทับบนผ้าขาวม้าสีสันต์สดใสมาอีกที โดยผลไม้ตามฤดูกาลนี้ จะถูกสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามแต่ละเดือนด้วยค่ะ จานต่อไปที่ยกมา ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่ายกมาทั้งเตากันเลย เป็นขนมครกวางอยู่ในหลุมที่รองด้วยมะพร้าวคั่วสีขาวบริสุทธิ์ บนเตาทองเหลืองขนาดเล็กตั้งไฟมาพออุ่นๆ เป็นขนมครก ที่ใช้ข้าวไรซ์เบอร์รี่มาโม่พักไว้ 1 คืน แล้วจึ่งนำมาหยอดในเตาร้อนๆ โรยด้วยปูเส้นเล็กๆและขมิ้นที่หอมเป็นอันมาก โดยรวมแล้วรสออกหวานเล็กๆ แป้งกรอบๆ อร่อยและหาทานได้ยากยิ่งนัก สะดุดตามาแต่ไกลด้วยแผ่นถั่วทอดที่เชฟแอบกระซิบไว้ว่าได้คัดถั่วมาจากจังหวัดอุตรดิตถ์เลยทีเดียว เพราะลองดูแล้วว่านี่เป็นถั่วที่ดีที่สุดในประเทศไทย! นำมาทำเป็นถั่วทอดของกินเล่นที่เชฟชอบให้พวกเราได้มากินกันบ้าง มันๆกรอบๆทานคู่กับเมี่ยงรสเปรี้ยวสดชื่น เผลอแป๊บเดียวหมดไปทั้ง 2 แผ่นเสียแล้ว เห็นใส่พริกแซมมานิดๆแบบนี้ แต่ไม่เผ็ดนะคะขอบอก หากคุณเคยทานล็อบสเตอร์กันมา ก็คงมักจะเคยเห็นแต่ปรุงแบบอาหารฝรั่งเป็นแน่ มาคราวนี้มาลอง ยำกุ้งล็อบสเตอร์มะขามเทศกันบ้างค่ะ แค่ชื่อก็บ่งบอกถึงพระเอก พระรอง ตัวประกอบกันครบแล้ว  โดยเชฟได้นำเอามะเขือเทศเชอรี่ไปลวก เอาเม็ดและเปลือกออก นำไปปั่น พักไว้แล้วกรองผ้าขาวบางทิ้งไว้ 1 คืน จึ่งได้ส่วนประกอบสำคัญของน้ำยำนี้มา นำเนื้อล็อบสเตอร์ทั้งหมดไปคลุกน้ำยำจนเราทานแล้วรู้สึกได้ถึงรสที่เข้าเนื้อ เปรี้ยวๆหวานๆเผ็ดที่ปลายเล็กน้อย ช่วยกล่อมรสของน้ำยำจานนี้ลงได้ด้วยเนื้อมะขามเทศสีทองในจานใบเล็ก ส่งตรงจากจังหวัดเพชรบูรณ์อันมัน หวาน สดชื่น ชามนี้ยังคงทำให้เราตื่นเต้นได้อยู่ไม่เสื่อมคลาย ด้วยการจับตัวแทนแห่งท้องทะเลที่เราคุ้ยเคยกันดีมาไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะตัวหอยแครงที่เราเห็นนั้นทำมาจากหัวกะทิ เมื่อกาน้ำซุปได้ถูกเทลงไปใส่หอยแครงนี้จะมลายหายไปผสมเป็นต้มยำน้ำข้น ซึ่งมีรสชาติเปรี้ยวหอมเครื่องต้มยำ เผ็ดอ่อนๆเพียงเท่านั้น  ในชามนี้ที่ขาดไม่ได้อีกคือหอยเชลล์ที่หวานมาก เนื้อปลาหมึก หอยแมลงภู่ และกุ้ง จากความชื่นชอบในการเดินทางของเชฟ ที่ชอบไปเที่ยวทางภาคเหนือ จนได้แรงบันดาลใจมาสู่จานนี้ ข้าวซอยคั่ว สิบสองปันนา โดยการนำชิ้นหมูไปทำกับมะเขือเทศ เติมพริกกะเหรี่ยง (ที่ได้ยินชื่อก็แอบหนาวแล้วค่ะ เพราะพริกชนิดนี้ขึ้นชื่อว่า…

Read More

ทุกวันนี้อาหารนั้นถูกผลิตขึ้นมาอย่างหลากหลายและมีการผลิตขึ้นมาจำนวนมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า  ทั้งยังใช้วัตถุดิบเป็นจำนวนมากเช่นกัน วัตถุดิบบางตัวนำเข้ามาจากอีกซีกหนึ่งของโลก วัตถุดิบบางตัวมีอยู่ในท้องถิ่นอยู่แล้ว ซึ่งวัตถุดิบสำหรับอาหารบางจานขึ้นอยู่กับความนิยมของคนกินเช่นกัน เทรนด์ในช่วงนั้น สิ่งเหล่านี้ทำให้มีอาหารมากขึ้นก็จริง แต่ก็ทำให้วัตถุดิบพันธุ์พื้นถิ่นบางตัวพลอยสูญหายไปตามกาลเวลาด้วยเช่นกัน ยังไม่นับถึงว่าวัตถุดิบนั้นมีตำหนิก็คัดออก ทิ้งลงถังขยะไปเลยก็มี นอกจากนั้นยังมีบรรจุภัณฑ์ที่ใช้สำหรับห่อหุ้มอาหาร วัตถุดิบที่ย่อยสลายยาก ซึ่งถูกใช้ห่อหุ้มเพื่อความสะอาด ห่อไว้หลายชั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดขยะ มลภาวะให้แก่โลกโดยที่เราอาจไม่ได้ตระหนักถึงกันมาก่อน ทีนี้ทำอย่างไรล่ะ ถึงจะเรียกว่าการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบเพื่อความยั่งยืน ที่เรา ลูกหลานของเราในอนาคตก็มีความสุข และโลกก็มีความสุขอย่างยั่งยืนเช่นกัน จากซ้ายไปขวา คุณแชมป์ ศิรเดช โทณวณิก, เซฟ โบ-ดวงพร ทรงวิศวะ, คุณลิซ่า ไทเลอร์, คุณกิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา {Re} Food Forum เป็นงานเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับการคุยถกเถียงและแบ่งปันเรื่องราวของอาหารจากมุมมองที่มีความหลากหลาย ไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่การทำและการกินอาหาร  แต่มองย้อนไปถึงระบบการผลิตอาหารของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จัดขึ้นในวันที่ ๑๙ – ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ นำโดยเชฟโบ ดวงพร ทรงวิศวะ และเชฟดิลลัน โจนส์ (Dylan Jones) สองเชฟจากร้านอาหารไทยโบลาน และ ลิซ่า ไทเลอร์ (Leisa Tyler) นักเขียนและเกษตรกรที่จับมือร่วมกันจัดงาน {Re} เพื่อพูดคุยภายใต้หัวข้อสนทนาหลักในงานคือ “เรื่องการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบเพื่อความยั่งยืนในเอเชีย” “ความตั้งใจแรกที่อยากจะจัดงาน {Re} Food Forum นั้น เพราะเราอยากสร้างความตระหนักรู้ให้คนกลับมาฉุกคิดและหันมาใส่ใจกระบวนการบริโภคอย่างรับผิดชอบ” เชฟโบ ดวงพรกล่าว  “งานนี้จึงเป็นการพูดคุยที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของการบริโภค ตั้งแต่สิ่งแวดล้อมของวัตถุดิบและเทคนิคการเกษตรกรรมและการประมงแบบยั่งยืน  การใช้วัตถุดิบและผลิตผลท้องถิ่น ไปจนถึงการจัดการกับขยะจากทุกกิจกรรมภายในงาน เพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์ของทรัพยากรนั้นอย่างสูงสุด” {Re} ชวนพูดคุยร่วมกับนักเล่าเรื่องในวงการที่เกี่ยวข้องกับอาหารจากไทยและต่างประเทศ ทั้งนักวิทยาศาสตร์ เชฟ เกษตรกรนักประวัติศาสตร์อาหารและนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม คุยกันถึงถึงเรื่องความยั่งยืนที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับอาหารและวิถีชีวิตของผู้คนตลอดห่วงโซ่  จะเล่า พูดคุย ถกเถียง อภิปรายและร่วมกันค้นหาคำตอบในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์พื้นถิ่นที่เริ่มเลือนลางจางหายไปจากสังคมบริโภคยุคนี้ ทั้งเรื่องของขยะที่เกิดขึ้นทุกห้วงขณะของการบริโภคจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมไปถึงการส่งผ่านภูมิปัญญาด้านศาสตร์และศิลป์ของการบริโภคอย่างยั่งยืน โดยใช้เวลาประมาณ ๑๐ –…

Read More

สำหรับสาวกนักดื่ม สายชิล สายแข็ง สายปาร์ตี้ไม่ควรพลาด เพราะวันนี้ผมจะพาทุกๆคนไป พบกับ Cocktail สูตรพิเศษจากบาร์เทนเดอร์ที่ import มาจาก Italy โดยคุณ Mr.Roberto Cuda ที่จะมารังสรรค์เครื่องดื่มให้กับเราที่ Zuk Bar ของโรงแรมกลางเมืองที่มีเอกลักษณ์ความโดดเด่นของความเป็นไทยอยู่มาก และที่นี่ก็คือโรงแรมสุโขทัยนั่นเองครับ ซึ่งบาร์แห่งนี้ก็เปิดให้บริการทุกวัน จันทร์ถึงเสาร์ ห้าโมงเย็นถึงตีหนึ่ง ส่วนวันอาทิตย์เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน ซึ่งที่Zuk Bar เครื่องดื่มหลายๆตัวก็ถูกคิดขึ้นเองโดยคุณ Roberto อย่างเช่นแก้วต่อไปนี้ นี่คือ Americano with foam เครื่องดื่มตัวนี้ใช้ส่วนประกอบน้อยอยู่พอตัว แต่รสชาติถือว่าดีงามมาก นี่ขนาดผมไม่ค่อยชอบดื่มยังรู้สึกเลยว่า เออมันอร่อย ตัวเครื่องดื่มรสชาติจะออก วานิลลา กาแฟ ตัดกับโฟมด้านบนที่มีกลิ่นส้มอ่อนๆ แก้วนี้ถ้ามา Zuk Bar จะบอกว่าเป็น recommended เลยก็ว่าได้ แก้วต่อมาจะเป็น Grandma feet ชื่อและสูตรก็มาจากคุณ Roberto จะบอกว่าแก้วนี้ หอมมาก หอมน้ำผึ้ง หอมมะนาว เพราะเค้าใช้ น้ำผึ้ง มะนาว ดอกคาโมมายด้วยวิธีการละเหย แก้วนี้ก็ใส่ Ice ball กลิ่นหอมเหมาะแก่คนคออ่อนเพราะแอลกอฮอล์ไม่แรงครับ มาที่แก้วเกือบสุดท้าย Basic but famous Gin tonic คือถ้าพูดถึงจินมันก็สามารถเอามาทำเครื่องดื่มได้หลายอย่างเลยอะ แล้วก็ง่ายมากๆด้วย ใส่หวาน เปรี้ยว เค็ม ตามใจทำง่าย และเป็นที่นิยม โดยสูตรของที่ Zuk bar คือ การนำจินไประเหยกับโสม หรืออะไรก็ได้ เราสามารถสั่งได้ตามใจชอบเรา และเค้าก็จะพักให้มันเย็นลงสักนิด ตามด้วย sparking water และมะนาว หรือเลม่อน ตามความถนัดของเราเลยครับ แต่ที่พีคคือแก้วสุดท้าย เพราะทาง Zuk bar กำลังจะเปิดคอร์สสอนทำ Cocktail แบบละเอียดเรียนทั้งทฤษฎีเรียนทั้งปฏิบัติ โดยวันนี้ เราก็จะทำเมนูแบบมั่วๆ ตามใจทำคนทำ…

Read More

มีอยู่หลายครั้งหลายคราที่เราจะเลือกรับประทานอาหารซักมื้อหนึ่งจากประเภท เช่น อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารไทย อาหารฝรั่ง ซึ่งใช้วัตถุดิบและขั้นตอนกรรมวิธีในการทำ การพรีเซนต์ที่แตกต่างกันออกไป มีวัตถุดิบหลักๆอยู่บางอย่างที่มักจะปรากฏอยู่ในอาหารประเภทนึงอยู่อย่างเป็นเอกลักษณ์ แล้วเราก็มักจะไม่เห็นปรากฏอยู่ในประเภทอื่นอีก อาทิเช่น ปลาหิมะ ที่ส่วนใหญ่เราจะพบเจอในอาหารจีน  มีน้อยครั้งนักที่จะถูกนำมาปรุง นำเสนอในรูปแบบอาหารฝรั่ง  จนเป็นความท้าทายของเชฟอย่างหนึ่งที่จะนำวัตถุดิบหลักตัวเดียวกันแล้วนำมาปรุงด้วยกรรมวิธีที่แตกต่างกัน ซึ่งคราวนี้เราจะแยกเป็นแบบ Asian และ Non-Asian กันค่ะ วันนี้ Kinlakestars.com จะขอพามาลองทานอาหารเมนูใหม่ สัมผัสความเป็น Asian และ Non-Asian ภายใต้การรังสรรค์ของเชฟคาร์โล  วาเลนเซียโน Executive Sous Chef ผู้มากประสบการณ์ ที่ห้องอาหาร Niche ชั้น G โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ ในบรรยากาศสบายๆที่ชานระเบียงล้อมรอบไปด้วยสวนสวยและสระน้ำ Gin Mare Tonic ที่ถูกเสิร์ฟมาในแก้วมีก้านทรงสูงเย็นๆ ช่วยคลายอารมณ์ได้ดีจาก Gin Mare, blueberries, lemon, rosemary, crispy orange และ premium tonic water ขนมปังเนื้อแน่นและนิ่มมากจากการใช้แป้งตัวเดียวกันกับหมั่นโถว มีความชุ่มชื่นอยู่ในตัวของขนมปังเอง ทานคู่กับคาร์จูนบัตเตอร์ถ้วยนี้เพลินๆดีค่ะ มาถึงจาน Appetizer กันบ้าง Foie Gras / Asian  ฟัวกราส์เกรดพรีเมียมเนื้อนิ่ม ถูกทอดมาอย่างดีจนเราจะไม่รู้สึกถึงความมันเลย ผลที่ได้คือรสของฟัวกราส์แท้ๆ แอบซ่อนความเปรี้ยวอยู่จางๆจากซอสน้ำมะขามที่ราดมาให้  เติมเปรี้ยวหวานอีกนิดด้วย roasted pineapple compote สีเหลืองส้มในถ้วยพร้อมฝาปิดข้างๆได้  และยังมี peanut brittle แผ่นบางที่ช่วยเติมเทกซเจอร์ความกรุบกรอบขนาดเล็กให้จานนี้อีกด้วย Hamachi / Asian  จานนี้น่าจะมีรสถูกปากคนไทยดี เพราะเป็นรสที่เราคุ้นเคยกันดี ที่มีทั้งรสหวาน รสเปรี้ยว รสมันหน่อยๆ คลุกเคล้ากันมากับปลาฮามาจิหั่นเป็นชิ้นเล็กๆให้สัมผัสที่เป็นชิ้น รสนุ่มนวลกว่าหมูสับเป็นไหนๆ King Prawn / Non-Asian  ชิ้นผักเซเลอรีชุ่มฉ่ำกรอบๆ …

Read More

ขึ้นชื่อว่าเทศกาลตรุษจีนแล้ว ก็ต้องหาอาหารตามเทศกาลทานกันสิครับ วันนี้ดิฉันจะพาทุกท่านไปดูเมนูตรุษจีนจากห้องอาหารไชน่าเฮ้าส์ โรงแรม Mandarin oriental เริ่มต้นด้วยการเชิดสิงโตอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อความเป็นสิริมงคล ที่ห้องอาหาร เดอะ ไชน่า เฮ้าส์ และทุกห้องอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาของโรงแรม พร้อมรับอั่งเปาแห่งความโชคดี ห้องอาหารจีนกวางตุ้ง เดอะ ไชน่า เฮ้าส์ (The China House) ขอเชิญทุกท่านมาสัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหาร       แบบชุด “Yu Sheng” (หยูซาง) หรือเมนูสลัดปลาดิบ ตามตำนานความเชื่อเป็นเมนูมงคลสำคัญฉลองเเฉพาะในช่วงเทศกาลนี้ อาทิ เมนูสลัดปลาแซลมอนและปลาทอดกรอบ (Golden DOG ‘Yu Sheng’) สลัดกุ้งลายเสือและแมงกระพรุน (Ha-ha-ha ‘Loh Hey’) สลัดกุ้งมังกร ปลาแซลมอนและเป๋าฮื้อ (Superior Prosperity’ Yu Sheng) สลัดเป๋าฮื้อและแมงกระพรุน (Superior Abalone and Jelly Fish) ราคาเริ่มต้นที่ 1,838 ++ บาท (ราคา 2,164 บาทสุทธิ) สำหรับ 2-4 ท่าน หรือ ราคา 1,988++ บาท (ราคา 2,340                    บาทสุทธิ) สำหรับ 5-8 ท่าน พร้อมบริการเมนูอาหารตามสั่ง และติ่มซำเลิศรสมากมาย ตั้งแต่วันที่ 15 – 18 กุมภาพันธ์ 2561 และภาพที่ทุกท่านเห็นนี่คือ เมนูหยูซาง หรือเรียกว่าเมนูสลัดปลาดิบนั่นเองครับ โดยกรรมวิธีในการรับประทานเมนูนี้คือการโยน อาหารขึ้นสูงเหนืออากาศและตะโกนว่า “โละเฮ้” ซ้ำๆไปเรื่อยๆ ซึ่งหมายถึงความเจริญก้าวหน้า โดยเมนูหยูซาง นี่สำหรับแฟนๆปลาดิบห้ามเลยครับ รสชาติจะจัดจ้าน เ็ดนิดๆ ออกแนวอาหารฟิวชั่น เมนูนี่ก็จะเป็นกุ้งชุบักโขมทอด ถือว่าอร่อยเลยดีครับ เมนูซาลาเปาก็จะมีสองไส้ด้วยกันคือ ไส้หมูแดงอบ และ ไส้เห็ดกับผักรวม…

Read More

ในบรรดาผู้ที่ชื่นชอบนิยมการกิน ดื่ม เที่ยว ทำอาหาร หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงของโรงเรียนสอนการประกอบอาหาร LE CORDON BLEU กันมานาน ขึ้นชื่อว่าเป็นสถาบันสอนการทำอาหารที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีต้นกำเนิดมาจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี 1895 จนกระทั่งเมื่อปี 2007 Le Cordon Bleu Dusit Culinary School ก็ได้เปิดทำการเรียนการสอนที่กรุงเทพฯภายใต้การสอนของเชฟผู้เชี่ยวชาญและมีชื่อเสียง โดยวิธีดั้งเดิมของสถาบัน ที่สามารถเข้าใจได้ด้วยคำ 3 คำ  ” Watch – Learn – Do ” จัดสอนเป็นภาษาอังกฤษ แปลเป็นภาษาไทย ซึ่งจะมีคลาสแบ่งเป็นระดับต่างๆให้กับนักเรียนได้เรียนตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นสูงสุดต่อไป ในวันนี้ Kinlakestars.com ได้มีโอกาสไปลองเรียนทำเค้ก กับเชฟ Marc Razurel – Pâtissier Chef Instructor ผู้คิดค้นเค้กที่เราจะเรียนในวันนี้เอง ซึ่งใช้เวลาคิดค้นร่วม 3 เดือน จึงลงตัวเป็นเค้ก Nuage de fraise ที่เรากำลังจะเรียนกัน นับเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เราจะนำมาแบ่งปันกันค่ะ ในคลาสนี้เชฟจะสาธิตให้ดูและอธิบายถึงวัตถุดิบ ขั้นตอน เทคนิคต่างๆไปทีละขั้น แล้วให้เราทำตาม เสร็จแล้วเชฟจะอธิบายขั้นตอนต่อไป เราทำตาม วนไปแบบนี้จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นเค้กนี้ วัตถุดิบที่เราจะใช้กันคร่าวๆในวันนี้ จุดเด่นของเค้กตัวนี้คือด้านในเค้ก ที่เราต้องทำทีละเลเยอร์แล้วนำมาประกอบกัน ผสมผสานกันด้วยเทคนิคชั้นสูงอันหลากหลาย 1 สูตรสามารถทำเค้กได้ขนาด 2 ปอนด์​ 2 ก้อน โดยเราจะเร่ิมทำ Chocolate strawberry crisp กันก่อน Dark chocolate 64%   20 g Cocoa butter              10 g Rice crispy       …

Read More