สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยยินดีต่อการปล่อยตัวแรงงานไทยห้าคน ที่ถูกกลุ่มก่อการร้ายฮามาสจับตัวไปอย่างทารุณจากที่ซึ่งพวกเขาทำงานอยู่ในอิสราเอล ในระหว่างการโจมตีอย่างโหดเหี้ยมเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๖ ในวันนี้ พวกเขาได้รับการปล่อยตัวแล้วหลังจากถูกจับไปเป็นตัวประกันในฉนวนกาซาเป็นเวลา ๑๕ เดือน ผู้ที่ได้รับการปล่อยตัว ได้แก่ บรรณวัชร แซ่ท้าว วัชระ ศรีอ้วน สุระศักดิ์ ลำเนา เสถียร สุวรรณคำ และพงษ์ศักดิ์ แทนนา โดยอิสราเอลได้รับมอบตัวประกันทั้งหมดแล้ว และกำลังอยู่ในกระบวนการเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย ขอต้อนรับการคืนสู่อิสรภาพของชาวไทยทั้งห้าคน และหวังว่าจะได้พบพวกคุณในเร็วๆ นี้ในประเทศไทย เมื่อทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงและปลอดภัย ทั้งนี้ ตัวประกันชาวไทยที่ได้รับการปล่อยตัวจะได้รับการตรวจสุขภาพและความช่วยเหลือจากทีมแพทย์อิสราเอล ก่อนจะย้ายไปยังศูนย์การแพทย์เพื่อรับการรักษาเบื้องต้นตามความจำเป็นและความประสงค์ของพวกเขา นับตั้งแต่สงครามปะทุขึ้น อิสราเอลได้พยายามทุกวิถีทางเพื่ออิสรภาพของตัวประกัน ทั้งชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติ อิสราเอลยินดีที่มีการปล่อยตัวประกันชาวไทยในครั้งนี้ ทั้งนี้ ระหว่างที่พวกเขาถูกกักขังอยู่ กลุ่มก่อการร้ายฮามาสไม่อนุญาตให้องค์กรอิสระด้านมนุษยธรรมใดๆ รวมถึงสภากาชาด เข้าพบตัวประกัน อีกทั้งข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นอยู่และสุขภาพของพวกเขาก็มีจำกัดและไม่แน่นอน เราจึงยินดีและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นพวกเขาได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ อิสราเอลจะยังคงดำเนินการต่อไปเพื่อปลดปล่อยตัวประกันทั้งหมดที่ยังถูกกักขังอยู่ในฉนวนกาซา และหวังให้ทุกคนกลับบ้านโดยเร็วที่สุด เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นางออร์นา ซากิฟ กล่าวว่า “ดิฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นชาวไทยทั้งห้าคนที่ถูกฮามาสกักขังได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ เราเห็นใจครอบครัวของผู้ที่ยังคงถูกกักขังอยู่ในฉนวนกาซา และขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ที่จะให้พวกเขาได้รับอิสรภาพอย่างปลอดภัย” รัฐบาลอิสราเอลจะยังคงให้ความช่วยเหลือชาวไทยผู้ตกเป็นเหยื่อและครอบครัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสังหารหมู่เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๖ และสงครามที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทั้งจะยังดูแลตัวประกันที่ได้รับการปล่อยตัวในวันนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป
Author: Nopmanee
สัมผัสความโดดเด่นในบรรยากาศสุดเก๋ของห้องอาหารเอกลักษณ์ วันนี้ Kinandleisure ขอพาทุกท่านมาสำรวจหนึ่งในโรงแรมที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ ตั้งอยู่ใจกลางย่านสุขุมวิท ที่ถึงแม้ไม่ได้ติดถนนใหญ่ แต่ก็สะดวกสบายสำหรับการเดินทาง ด้วยทำเลที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยไม่ลึกมาก แถมยังสามารถเชื่อมต่อไปยังย่านทองหล่อได้อย่างง่ายดาย โรงแรมแห่งนี้มีชื่อสุดเก๋ว่า “มาดี ไปดี กรุงเทพ ออโตกราฟ คอลเลคชั่น” สื่อถึงการเดินทางอันรื่นรมย์ทั้งการมาถึงและการจากไป เมื่อก้าวเข้าสู่บริเวณโรงแรม ความประทับใจแรกเริ่มตั้งแต่โถงต้อนรับที่อบอุ่นและเป็นมิตร ห้องอาหารที่เราจะพาทุกท่านมาชมในวันนี้ ตั้งอยู่ทางด้านขวามือของทางเข้า และถูกออกแบบมาเพื่อให้เข้าถึงง่าย มีความตั้งใจให้รู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง ซึ่งพอได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบรรยากาศของโรงแรมหลายแห่งในยุโรปที่มักจัดวางพื้นที่ในลักษณะนี้ ห้องอาหารเอกลักษณ์ เป็นดั่งหัวใจของโรงแรมที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ โดดเด่นตั้งแต่พื้นจรดเพดาน โทนสีและลวดลายถูกออกแบบมาอย่างประณีต พื้นไม้สีอ่อนที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยรายละเอียด เข้ากันอย่างลงตัวกับเพดานลายตารางทรงโค้งที่ให้ความรู้สึกสง่างามในแบบร่วมสมัย โคมไฟห้อยเพดานทรงกลมสีขาวเปล่งแสงอบอุ่น เพิ่มความสบายตาและเสริมให้บรรยากาศโดยรวมดูโปร่งโล่งยิ่งขึ้น ใจกลางห้องอาหารคือ เคาน์เตอร์บาร์ขนาดใหญ่ ที่นอกจากจะสะดุดตา ยังเป็นพื้นที่ที่ลูกค้าสามารถเลือกนั่งชิลล์พลางชมการทำเครื่องดื่มสุดพิเศษจากบาร์เทนเดอร์ได้อย่างใกล้ชิด หรือจะเลือกนั่งในบริเวณ ซุ้มที่จัดไว้อย่างมีสไตล์ และชุดโต๊ะเก้าอี้โทนสีน้ำเงินและครีมที่แฝงความหรูหราแบบไม่โอ้อวด ทำให้ห้องอาหารแห่งนี้เหมาะสำหรับทุกโอกาส ตั้งแต่มื้อกลางวันแสนสบายไปจนถึงดินเนอร์สุดพิเศษในยามค่ำคืน ด้วยการออกแบบที่ลงตัวและบรรยากาศอันน่าประทับใจ ห้องอาหารเอกลักษณ์ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความพิถีพิถันในทุกรายละเอียดของโรงแรม มาดี ไปดี กรุงเทพ ออโตกราฟ คอลเลคชั่น แต่ยังมอบประสบการณ์ที่ทำให้ทุกมื้ออาหารเต็มไปด้วยความสุขและความทรงจำที่น่าประทับใจ ประเดิมมื้อเย็นด้วย Welcome Bread ที่ทั้งสร้างสรรค์และอร่อยจนประทับใจ สำหรับมื้ออาหารเย็นนี้ เริ่มต้นด้วย Welcome Bread ที่ไม่เพียงแต่เป็นการเตรียมพร้อมลิ้นสำหรับรสชาติอันหลากหลายในมื้อถัดไป แต่ยังสร้างความประทับใจแรกได้อย่างดีเยี่ยม ที่เสิร์ฟในวันนี้คือ Pumpkin Bread & Pumpkin Purée ซึ่งแค่เพียงได้เห็นก็สัมผัสถึงความใส่ใจในรายละเอียด ขนมปัง Pumpkin Bread มีกลิ่นหอมหวานจากฟักทองอบ และยังโดดเด่นด้วยความกรุบกรอบจากเมล็ดฟักทองที่โรยท็อปด้านบน ช่วยเพิ่มมิติของรสสัมผัสให้หลากหลายยิ่งขึ้น เสิร์ฟคู่กับ Pumpkin Purée ที่เนียนนุ่มละมุน มีความมันนัวที่คล้ายกลิ่นอายไข่เค็ม ซึ่งเป็นความสร้างสรรค์ที่น่าตื่นเต้นและทำให้นึกถึงกลิ่นอายความเป็นเอเชียนได้อย่างชัดเจน Pumpkin Purée นี้ถูกปรุงแต่งอย่างพิถีพิถัน รสชาติหวานธรรมชาติของฟักทองผสานกับรสเค็มละมุนของส่วนผสมที่คล้ายไข่เค็ม สร้างสมดุลที่ลงตัวเมื่อทานคู่กับขนมปัง ช่วยให้ทุกคำที่กัดเป็นการเริ่มต้นมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น แนะนำให้ใช้มือหยิบขนมปังอย่างสบายๆ แล้วปาด Pumpkin Purée ลงบนขนมปังกรอบๆ ในแบบที่คุณต้องการ การสัมผัสกับเนื้อขนมปังและความรู้สึกจากการใช้มือทาน ช่วยเสริมบรรยากาศให้สนุกสนานและเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น เป็นประสบการณ์เล็กๆ ที่ทั้งอร่อยและสร้างความประทับใจตั้งแต่เริ่มต้นมื้ออาหาร! Amuse Bouche: เมื่อรสชาติไทยแท้ผสานความอินเตอร์ในคำเดียว เริ่มต้นด้วยจาน Amuse Bouche ที่เชฟได้รังสรรค์ขึ้นมาอย่างสร้างสรรค์และน่าตื่นตา…
กลับมาอีกครั้งกับ Bangkok Uncovered & Beyond Vol. 5 – Christmas Market ที่เริ่มต้นแล้ววันนี้ เสาร์ที่ 14 และวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2567 เวลา 14:00 – 21:00 น. ณ บริเวณสวนโรงแรมสุโขทัย กรุงเทพ (ไม่มีค่าเข้างาน) ภายในงานจะมี ร้านอาหารนานาชาติ การแสดงดนตรี สินค้าให้เลือกซื้อ ในตีมคริสมาสต์มาร์เก็ต กว่า 50 ซุ้ม มีการแสดงทางวัฒนธรรม เวิร์คชอป มีศิลปะวัฒนธรรมวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนที่เป็นเอกลักษณ์และหาดูได้ยากของชาวชุมชนกรุงเทพมาร่วมด้วย จัดในสวนอย่างสวยงาม มาชมภาพบรรยากาศของปีที่แล้วที่เราเก็บมาฝากกันค่ะ หน้างาน ไอศกรีมมมมม บรรยากาศงานในสวน มุมเล่นเกม มุมเล่นเกม การสาธิตทำเรือจากชุมชน ทำว่าว อีกมุมก่อนมืด บรรยากาศบนเวที ร้านขนมไทย ขนมไทย บรรยากาศร้านค้าในสวน มาแยกขยะเพื่อโลกของเรากันค่ะ ต้นคริสมาสต์ปี 2023 ที่นี่มักจะเป็นต้นสนสดด้วยนะ! ส่งท้ายด้วยมุมนี้ก่อนมืด ในเทศกาลคริสมาสต์นี้เป็นโอกาสอันดีที่จะร่วมเฉลิมฉลองและแบ่งปันความสุข ทำการกุศลนี้ก็เป็นหนึ่งในงานการกุศลเช่นกัน โดยรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะนำไปสนับสนุนกิจกรรมด้านการพัฒนาการท่องเที่ยว สืบสานศิลปวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ให้กับชุมชนพันธมิตรต่อไป
งานเลี้ยงแห่งประสาทสัมผัส: เวทมนตร์แห่งทรัฟเฟิลขาวกำลังรอคุณอยู่!เข้าร่วมงานเลี้ยงสุดพิเศษกับทรัฟเฟิลขาว เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับค่ำคืนอันน่าประทับใจที่เราจะร่วมเฉลิมฉลองรสชาติอันยอดเยี่ยมของทรัฟเฟิลขาวและดำ ในวันที่ 20 พฤศจิกายน เราขอเชิญคุณร่วมดื่มด่ำไปกับการเดินทางแห่งการรับประทานอาหารด้วยเมนูคอร์สที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันและตัวเลือกตามสั่งในราคาโปรโมชั่น ซึ่งทั้งหมดจะนำเสนอทรัฟเฟิลชั้นเลิศ โดยร่วมมือกับ Geofoods ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัฟเฟิลที่มีชื่อเสียงของอิตาลี เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับคุณ Vania Ulivieri เจ้าของ Geofoods ที่จะมาแบ่งปันความหลงใหลและความเชี่ยวชาญของเธอ พร้อมกับของขวัญอำลาอันแสนสุข นั่นคือถุงผลิตภัณฑ์ทรัฟเฟิลคุณภาพเยี่ยมที่คัดสรรมาเป็นพิเศษให้กับแขกทุกท่าน งานอีเวนต์ที่จัดขึ้นเพียงคืนเดียวนี้เป็นการยกย่องศิลปะการรับประทานอาหารชั้นเลิศที่เน้นที่เสน่ห์ของทรัฟเฟิล อย่าพลาดโอกาสที่จะได้ลิ้มรสประสบการณ์อันพิเศษนี้ สำรองที่นั่งของคุณตอนนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองอันพิเศษนี้! วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน สำรองที่นั่ง โทร. 0639429669 ไลน์ @enotecabangkok Kin News Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ รูปและเนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของทาง Kinandleisure.com ไม่อนุญาตให้นำไปใช้จนกว่าจะได้รับการอนุญาตจากทางผู้บริหาร หากฝ่าฝืนผู้บริหารพร้อมดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด
Story : Nopmanee P. / Photo : Pol.Capt. Kittin วันนี้ Kinandleisure.com จะพาทุกท่านลัดเลาะเข้ามาในถนนจันทน์เก่า หมุดหมายของเราในวันนี้คือร้าน Keller Bangkok ที่ได้ย้ายที่ตั้งจากซอยสวนพลูมาอยู่ที่นี่ และเพิ่งเปิดใหม่อย่างเป็นทางการมาราวๆ 2 เดือนนี้นี่เอง ซึ่งก่อนอื่นเลยข้อดีของโลเคชั่นใหม่นี้ มีซอยแขนงจากหลากหลายทิศทางที่จะพาคุณมาถึงร้านได้อย่างสะดวกสบาย สำหรับคนที่ไม่ค่อยชินทางแถวนี้อย่างดิฉัน กูเกิลเองก็พามาไม่มีหลง (ลองมาแล้วค่ะ) มีลานจอดรถอันร่มรื่นอยู่ในบริเวณที่ของร้าน เพียงพอหายห่วงเรื่องที่จอดรถได้ เมื่อเปิดประตูก้าวเดินเข้ามาในร้าน จะสัมผัสได้กับการต้อนรับด้วยบรรยากาศ การตกแต่งด้วยไม้โทนสีครีมอ่อนละมุนชวนอบอุ่นสบายใจ ตัดกับการใช้หินอ่อนสีเทาแซมเป็นระยะ ประดับด้วย Accessories สีทองแชมเปญเสริมความเรียบหรูอยู่ในที ภายในกลางร้านยังมีหลังคากระจกที่รูปทรงแอบเลียนแบบสไตล์ Half-Timbered (การสร้างบ้านด้วยคอนกรีตในโครงสร้างไม้) ของเยอรมันอันเป็นบ้านเกิดของเชฟ ที่จะช่วยนำพาแสงธรรมชาติเข้ามาและยังทำให้ร้านดูโปร่งโล่งมากขึ้นด้วย หรือแม้แต่เครื่องดูดควันในครัวโชว์ที่เป็นทรงแบบเยอรมันโบราณแต่ก็ถูกประดับให้ดูเข้ากับสมัย ส่วนสำหรับรับประทานอาหารนั้นถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ที่แนะนำคือส่วนที่หน้าเคาเตอร์ที่เรานั่งอยู่นี้ มีเพียง 7 ที่นั่งเท่านั้น นั่งอยู่หน้า Show kitchen เห็นเชฟ Mirco Keller และทีมกำลังเตรียมอาหารอยู่ตรงหน้าเลย แต่ละที่นั่งตรงนี้จะมีลิ้นชักส่วนตัวเก็บอุปกรณ์การรับประทานอาหารที่ให้หยิบออกมาใช้ระหว่างมื้อตลอดๆอีกด้วย แถมด้านข้างลิ้นชักตรงกลางท๊อปโต๊ะนี้ยังมีที่แขวนกระเป๋าสำหรับทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี เรียกได้ว่าเป็นกิมมิคเล็กๆที่น่ารักและใส่ใจดี พออ่านถึงตรงนี้บางท่านอาจนึกถึงการไปทานโอมากาเสะแบบญี่ปุ่นก็เรียกว่าจัดโต๊ะได้คล้ายกันได้ หรือแม้แต่วิธีการเสิร์ฟ เชฟยังวางจานที่ด้านบนของเคาเตอร์แล้วพนักงานจะมาหยิบเสิร์ฟให้ที่ตรงหน้าเราเลย (2 steps) ที่นั่งรับประทานอาหารอีกส่วนหนึ่งจะอยู่ทางปีกซ้ายของร้าน เหมาะกับกลุ่มเพื่อนฝูง ครอบครัว มาทานด้วยกันแบบเน้นพูดคุย 4-6 คน “สำหรับผมนั้น การทำอาหารไม่ใช่การแข่งขัน ผมทำอาหารเพื่อที่จะได้สร้างความสุขให้กับผู้คนและเชื่อมต่อกับพวกเขา ท้ายที่สุดแล้ว ผมแค่อยากถูกมองว่าเป็นคนทำอาหารเก่ง”– Mirco Keller – ก่อนมาเริ่มทานอาหาร เราขอกล่าวถึงเชฟ Mirco Keller กันอีกซักเล็กน้อย คนในวงการอาหาร Fine Dining มักจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เป็นหนึ่งในเชฟที่ปฏิวัติ European technic style ผสมกับการใช้วัตถุดิบแบบเอเชียนเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ที่ทั้งเบาและสนุกสนาน เข้าใจง่าย วันนี้เชฟและทีมปรากฏตัวมาในลุคสบายๆ สวมเสื้อยืดผ้ากันเปื้อนอยู่ตรงหน้า ที่ฝีมือการรังสรรค์ไม่ได้ลดลงจากที่ทุกคนได้มาทานอาหารของเชฟในคราวก่อนๆแน่นอน วันนี้ Tasting menu ที่เราได้ลองทานกันเป็น เมนูมื้อเย็น 9-คอร์ส…
Story : Nopmanee P. / Photo : Pol.Capt. Kittin ครั้งนี้ Kinandleisure.com จะพาทุกท่านกลับมาที่ Lobby Salons โรงแรมสุโขทัยอีกครั้ง เพื่อลิ้มลอง Afternoon tea ชุดใหม่ทั้ง 2 ชุด 2 สไตล์ Western & Thai ปี 2024 รังสรรค์โดยเชฟขนมหวานคนใหม่ ในบรรยากาศอันสุขสงบ ชวนผ่อนคลาย มีวิวเจดีย์อิฐมอญกลางสระน้ำเป็นฉากหลังที่หาไม่ได้ที่ไหนในกรุงเทพฯอีกแล้ว จิบ Complimentary กันก่อนสักนิด น้ำชามา แน่นอนว่ามาที่นี่ต้องดื่มชา The Sukhothai tea ชาจากกลีบดอกบัว เบรนด์โดย Saro เพื่อที่นี่เท่านั้น ชาชนิดนี้มีความหอมเฉพาะตัว ดีงามมากค่ะ และไม่มีคาเฟอีนอีกด้วย หรือเพื่อนๆที่มาด้วยอยากลองรสอื่น ที่นี่ก็มี Green Tea, Black Tea จาก Saro ให้เลือกเช่นกัน (ขอกระซิบเพิ่มว่าแนะนำเป็นชาร้อน ไม่มีผิดหวัง) สำหรับชาบัวของซาโรทีที่เบลนขึ้นมาเพื่อที่นี่โดยเฉพาะขอบอกเลยเจ้าค่ะว่าเลิศมาก ตั้งแต่สีชาที่เขียวเดียวกับสีเขียวของโรงแรมสุโขทัยซึ่งสีเขียวนี้ได้จากใบบัวที่นำมาตากแห้งและคั่ว อันนี้เจ้าหน้าที่รินน้ำชาบอกมาค่ะ อีกทั้งกลิ่นที่หอมเป็นเอกลักษณ์จากเกสรบัว หอมตั้งแต่ก่อนดื่ม ไปจนกระทั่งดื่มเข้าไปกลิ่นหอมก็ยังอบอวลในปากขึ้นโพรงจมูกเจ้าค่ะ และรสที่ละมุนและมีความเฉพาะตัวอบอวลเหมือนอยู่กลางสวนบัว เข้าถึงความเป็นไทยโดยแท้ค่ะ นอกจากดื่มแบบร้อนก็ยังสามารถให้เจ้าหน้าที่จัดเตรียมออกมาเป็นแบบเย็นได้เช่นกันค่ะ เป็นที่น่าตื่นตะลึงพรึงเพริดว่าแม้ชงเย็นแต่กลิ่นและรสก็ยังคงชัดเจนอยู่ ซึ่งดีมากค่ะ ต่างจากชาหลายตัวที่พอทำเป็นเครื่องดื่มเย็นกลิ่นและรสจะดรอปจนแทบไม่ทราบได้ อ่อ ก่อนจะเข้าสู่มื้อที่นี่เขายังมีเวลคัมดริ้งให้เป็นสปาร์คกลิ่งไวน์แบบเก๋ๆด้วย พอให้สดชื่นเป็นการเริ่มต้นที่สดชื่นหรูเลิศ แล้วมาเริ่ม Afternoon tea กันด้วยชุดแรก Western Classics ที่โดดเด่นมาแต่ไกลด้วยแสตนตั้งขนมที่จะตัดดอกบัวสดอันเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของโรงแรมนี้มาประดับไว้ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยใบบัวที่วางขนมอยู่เต็มทั้ง 3 ใบเหนือไอควันคละคลุ้งสีขาวอยู่ เป็นชุดนึงที่ถ่ายรูปได้ขึ้นและไม่เหมือนที่ไหน The Sukhothai’s smoked Atlantic salmon roll ก็สมชื่อของเค้า Smoked salmon ของที่นี่นั้นดีงามไม่เคยเปลี่ยน จัดวางมาบนขนมปังบาแก๊ต ด้านในมีครีมชีสซ่อนอยู่เล็กน้อย แล้วท๊อปบนสุดด้วยคาเวียร์สีดำขลับตัดกันกับสีส้มนัก ชิ้นต่อมานี้มีฐานเป็น Vol-au-vent แป้งพายชิ้นกลม…
The Water Library ภูมิใจนำเสนอประสบการณ์แห่งรสชาติ Oliver & Company : Flavor of Friendship การร่วมงานกันของกลุ่มเพื่อนเชฟที่ออกเดินทางตามหาเส้นทางของตัวเอง ก่อนกลับมาเจออีกครั้งที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย นำทีมโดยเชฟโอลิเวอร์ ดรูก (Oliver Drug) Executive Chef จาก The Water Library และเชฟเดวิด ฮาร์ตวิก (David Hartwig) Head Chef จากห้องอาหาร IGNIV Bangkok by Andreas Caminada โรงแรมเดอะ เซนส์ จิ๊ดริด ที่ได้ชวนเพื่อนร่วมงานอย่าง เชฟอาเน่ รีน (Arne Riehn) Sous Chef และ Pastry Chef มาร่วมรังสรรค์ความอร่อยในเมนูขนมหวาน Oliver & Company : Flavor of Friendship นับเป็นการประเดิมซีรีส์ความอร่อยซีรีส์แรก โดยได้แรงบัลดาลใจจากแอนิเมชั่นสุดคลาสสิคเรื่องดัง Oliver & Company ในปี 1988 เรื่องราวการผจญภัยในเมืองใหญ่ของแมวส้มชื่อโอลิเวอร์ (เหมือนกับเชฟ) ที่ได้พบเจอกับมิตรภาพดีๆ ระหว่างทาง ไม่ต่างกับอีเวนต์ความอร่อยในครั้งนี้ที่ The Water Library ได้รับเกียรติจากเชฟทั้ง 2 ท่าน จากร้านอาหารมิชลินสตาร์ 1 ดาวจาก IGNIV Bangkok มาร่วมเสิร์ฟความอร่อย พร้อมเรื่องราวอันอบอุ่นหัวใจ สำหรับสไตล์อาหารครั้งนี้ เกิดจากการผสมผสานสไตล์เฟรนช์-โมเดิร์นคลาสสิคของเชฟโอลิเวอร์ และอาหารที่ได้อินสไปเรชันจากอาหารสวิสบ้านเกิดของเชฟเดวิดควบคู่ไปกับการใช้วัตถุดิบคุณภาพตามฤดูกาลที่จะช่วยเพิ่มสีสัน และรสชาติให้กับการร่วมมือกันในครั้งนี้ ร่วมสัมผัสความอร่อยอันน่าประทับใจได้ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ที่ The Water Library ชั้น 5 Central Embassy เปิดให้จองเฉพาะมื้อค่ำ ในราคาท่านละ 7,990++…
จากความสวยงามของท้องทะเล และบรรยากาศริมหาดสู่ชุดน้ำชายามบ่ายพร้อมเสิร์ฟที่ พีค็อก อัลลีย์ ภาพจากซ้าย: แมงโก้ โคโคนัท ซันไชน์ หรือซอร์เบต์มะม่วง, ชุดน้ำชายามบ่าย Sea to Table และโคโคนัท เอสเปรสโซ่ คลาวด์ มูสครีมมะพร้าวผสมกาแฟ กรุงเทพฯ – 31 พฤษภาคม 2567 – โรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ เปิดตัว SEA TO TABLE อาฟเตอร์นูน ที เซตใหม่ นำความสวยงาม และความทรงจำสุดประทับใจจากทริปเที่ยวทะเลมาถ่ายทอดผ่านเซตของคาว และขนมหวานขนาดพอดีคำ โดยทุกคำล้วนชวนให้คิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขริมหาดทราย พร้อมเสิร์ฟที่ พีค็อก อัลลีย์ (ตั้งอยู่บนล็อบบี้ ชั้นบน) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึง 31 สิงหาคม 2567 ระหว่างเวลา 13.00 น. – 17.00 น. ด้วยแรงบันดาลใจจากบรรยากาศที่สวยงามของท้องทะเล หาดทราย และแสงแดดอันแสนอบอุ่น ทีมเชฟตั้งใจรังสรรค์อาฟเตอร์นูน ที เซตนี้ เพื่อนำทุกท่านกลับไปเที่ยวทะเล โดยได้คัดสรรวัตถุดิบที่เน้นอาหารทะเลสุดพรีเมียม ผลไม้เมืองร้อน อาทิ มะม่วง และมะพร้าว ผ่านขั้นตอนการทำอาหารที่เน้นเทคนิคร่วมสมัยอย่างพิถีพิถัน คำเด่นจากเมนูของคาว อาทิ ครัสตาเชี่ยน โรล โรล ครีมกุ้งล็อบเตอร์สไตล์ฝรั่งเศส ซิตัส ซี เทรเชอร์ส หอยเชลล์เสิร์ฟพร้อมส้มยูสุในแผ่นแป้งรูปหอยมุก โอเชียนิค อูมามิ หอยนางรมจีราโด เสิร์ฟพร้อมซอสเมนไทโกะผสมวาซาบิ และสาหร่าย เป็นต้น สำหรับขนมหวานนั้น เชฟแอนเดรอา โนลิ หัวหน้าเชฟขนมหวานนำผลไม้เมืองร้อนมาเป็นส่วนผสมสำคัญในการออกแบบรสชาติ และรูปลักษณ์ให้แต่ละคำล้วนนำทุกท่านกลับไปที่ทะเล พลาดไม่ได้กับโคโคนัท เอสเปรสโซ่ คลาวด์ มูสครีมมะพร้าวผสมกาแฟตกแต่งลายต้นมะพร้าว ซันไรส์ สปริท เค้กครีมรสส้มผสมเหล้าหวานอเปรอล (เหล้าบิทเทอร์จากประเทศอิตาลี) แมงโก้ โคโคนัท…
Chef : เลสลี่ ดูว์ Story : Nopmanee P. Photo : Pol.Capt. Kittin A วันนี้ Kinandleisure.com จะพาไปทานอาหารจีนชิลๆที่ร้านเปิดใหม่แกะกล่อง แต่ฝีมือไม่ใหม่ ด้วยเชฟระดับเทพอันโด่งดังจากห้อง Man Ho, JW Marriott Bangkok ที่ต้องขอบอกว่าเดินทางมาได้ง่ายมาก อยู่ใจกลางย่านราชประสงค์เลย นั่นก็คือร้านอยู่ศูนย์การค้าเอราวัณ แบงค็อกที่เพิ่งรีโนเวทมาใหม่สดๆร้อนๆ เดินมาจากทางเชื่อม BTS คือชั้นนั้นเลย ไม่ต้องเดินขึ้น-ลงใดๆแล้ว จะเจอป้าย Man Ho Bistro อยู่ เมื่อเดินเข้าร้านมาจะพบกับบรรยากาศสบายๆด้วยบาร์เครื่องดื่มอันละลานตาทางด้านขวา ท่านสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี และแขกทุกท่านสามารถเลือกนั่งแบบชิลๆสไตล์บาร์ตรง ณ จุดๆนี้ได้เลยหากอยากชื่นชมความงดงามและท่วงท่าการชงเครื่องดื่ม ถัดมาทางด้านซ้ายเป็นโซนนั่งรับประทานอาหาร 2-4 คน ที่มีที่นั่งหลากหลายรูปแบบในสไตล์ร่วมสมัย แต่ก็แอบทำให้นึกถึงยุคโมเดิร์นไปด้วย ด้วยความเก๋ของการตัดกันของเส้นสายลายบนพื้น ผนังสีอ่อน ไปจนถึงโคมไฟบนฝ้าเพดาน และโต๊ะทานข้าวไม้ที่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นให้กับห้องนี้ แถมมีครัวแบบเปิดโล่งให้ดูเหล่าเชฟเตรียมอาหารได้ด้วย (ครัวร้อน) ส่วนครัวด้านหน้าร้านที่เห็นจะเป็นครัวเย็น หากมากันมากกว่า 4 คน ครอบครัวเพื่อนฝูงกลุ่มใหญ่ ก็ไม่ต้องเดือดร้อนใจไป ที่นี่ยังมีห้องส่วนตัวอยู่อีก 5 ห้อง บางห้องสามารถเปิดประตูกลาง เพื่อเชื่อม 2 ห้องให้กลายเป็นขนาด 20 คนได้ ซึ่งห้องเหล่านี้จัดเป็นโซนอยู่ลึกเข้าไปในสุดของห้องอาหาร รับประกันความเป็นส่วนตัวได้ดี ตกแต่งด้วยสไตล์ร่วมสมัยเช่นกันแต่ถูกขับด้วยผนังสีส้มแดงมากขึ้น เชฟผู้รังสรรค์อาหารจีนสไตล์โมเดิร์นในร้านนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเชฟเลสลี่ ดูว์ หัวหน้าเชฟอาหารจีนมือฉมังประจำห้องอาหารจีน Man Ho โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ แรงบันดาลใจความอร่อยครั้งนี้มาจากอาหารประจำมณฑลเสฉวนและซานตง ซึ่งเชฟเคยเดินทางไปท่องเที่ยวและได้ลิ้มลองรสชาติแบบท้องถิ่น จนนำมาสู่การรังสรรค์เป็นเมนูอาหารจีนสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด เชิดชูการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและจัดเสิร์ฟในรูปแบบจานต่อจาน แล้วก็ถึงเวลาของเหล่าอาหารกันแล้ว ที่นี่มีตะเกียบให้คนละ 2 คู่ คู่ขวาสุดเอาไว้เป็นตะเกียบกลาง เราขอนำมาคีบที่จานเรียกน้ำย่อยกันด้วยเมนูเด่นแนะนำ ขาหมูตุ๋นซอสกระเทียม (360 บาท) ขอบอกก่อนว่าจานนี้เป็นเมนูเย็น คนไม่คุ้นเคยกับเมนูนี้อย่างดิฉันก็ได้ลองเป็นครั้งแรก เปิดโลกดีค่ะ ส่วนเพื่อนอีกคนนึงคือบอก นี่แหละรสชาติแบบที่เค้าคุ้นเคยตอนเด็ก เสิร์ฟจัดเรียงมาสวยงามเป็นชิ้น คีบง่ายทานง่าย ขาหมูเย็นตุ๋นซอสกระเทียมแบบจีน”…
Chef : Jimmy X Alanbeezhoung : 11 2023 Story ์: Nopmanee P. Photo : Pol.Capt. Kittin A ท่านผู้อ่านของ Kinandleisure.com คงสงสัยตั้งแต่หัวเรื่องแล้ว ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาค่อยๆไขคำตอบไปด้วยกันต่อไป ขณะนี้ขอกดลิฟต์ไปที่ชั้น 25 ของ Hotel Indigo Bangkok ริมถนนวิทยุ มีห้องอาหาร Char และวิวตึกสูงอันสวยงามของใจกลางกรุงเทพรออยู่ เป็นที่ๆเหมาะมากที่จะมาในช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกแบบนี้นะเจ้าคะ ปกติแล้วห้องอาหารนี้รังสรรค์โดยเชฟ Jimmy ซึ่งโดดเด่นในด้านการทำอาหารย่าง แต่คราวนี้เป็นโปรเจคพิเศษ 4 Hands Dinner ร่วมกับ เชฟอลัน บีฉวง เอ็กเซคคูทีฟจากห้องอาหารยู่ เหย เป่า ที่กำลังจะเปิดในอีกไม่กี่วันนี้หละค่ะ พบกับรสชาติอันแปลกใหม่ที่ไม่คาดคิดแต่ลงตัวจากวัตถุดิบที่คุ้นเคย ระหว่างการผสมผสานอาหารจีนสไตล์โมเดิร์น เข้าถึงง่ายของเชฟอลัน บีฉวง และอาหารละตินสุดครีเอทีฟในสไตล์ของเชฟจิมมี่ พร้อมกับการถ่ายทอดเรื่องราว และประสบการณ์เดินทางรอบโลกของเชฟทั้ง 2 ท่านที่จะแฝงอยู่ในอาหาร 5-คอร์สนี้ ภายใต้คอนเซป “Borderless Flavours” ว่าแล้วจะรอช้าอยู่ไย เรามาค่อยๆไขคำตอบของความลงตัวนี้กันดีกว่านะเจ้าคะ Salmon Tiradito อาหารสัญชาติเปรู จานนี้ของเชฟจิมมี่นั้นไม่มีวิธีกินที่แน่นอน จะเอาแป้ง Tortillas กรอบมาทานกับปลาแซลม่อนสดสไลด์บาง หรือทานปลาคู่กับเหล่าซอสแล้วมีรสเผ็ดของพริกเจลาปิโนแซมขึ้นมาเล็กน้อยก็อร่อยเช่นกัน จานนี้จับคู่กับแชมเปญ Ernest Rapeneau Brut เป็นจานเรียกน้ำย่อยที่ดีมากจานนึงเพคะ แล้วมา Cold Starter ต่อกันที่ Chino-Latino Duck Salad จานนี้ของเชฟจิมมี่ ใช้วัตถุดิบแห้ง 4 อย่าง ผัก 4 อย่าง ผลไม้ 4 อย่าง Top ด้วย Dark choc 70% sauce ซึ่งจะให้รสที่เข้ากันกับ hoisin sauce ของจีน…