Author: nutthawat jaruwat

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A Chef : Simon Kin / Cuisine : Chinese Cuisine/Fine dining สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันนี้พวกเราทีมงาน Kinandleisure ก็มีร้านอาหารดี ๆ และโปรโมชั่นดีๆ มาแนะนำกันอีกเช่นเคย สำหรับในวันนี้เป็นคอลัมม์สำหรับคอติ่มซำอย่างเราๆ ครับ โดยต้องขอกระซิบบอกว่า ห้องอาหาร Bai Yun แห่งโรงแรมบันยัน ทรี กรุงเทพฯ ช่วงนี้ได้มีการจัดโปรโมชั่น Dimsum All-You-Can-Eat ซึ่งคุณภาพขอบอกเลยว่าคับแก้วและคุ้มค่า คุ้มราคาเป็นอย่างยิ่ง สำหรับรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น เราได้รับชมกันได้เลยครับ Location Bai Yun at Banyan Tree Bangkok การตกแต่งภายใน: ความเรียบหรูที่แฝงด้วยกลิ่นอายจีนเหนือขอบฟ้าเมืองกรุง ห้องอาหาร Bai Yun ที่ตั้งอยู่บนชั้น 59 ของโรงแรม Banyan Tree Bangkok ได้เผยเสน่ห์แห่งความสง่างามที่ยากจะละสายตา โดยเฉพาะการตกแต่งภายในที่ถ่ายทอดอัตลักษณ์จีนร่วมสมัยได้อย่างมีรสนิยม ก้าวแรกท่านจะพบกับแท่งน้ำที่ประดับด้วยไฟสีน้ำเงิน และงานศิลป์รูปก้อนเมฆสีขาว ตัวห้องอาหารออกแบบโดยคำนึงถึง “มุมมอง” เป็นหลัก — ผนังกระจกใสบานสูงทอดยาวจากพื้นจรดเพดานเปิดรับวิวเมืองอย่างเต็มตา เสริมความรู้สึกโปร่งโล่งและหรูหราราวกับลอยอยู่เหนือมหานคร ดวงไฟในห้องลดแสงลงอย่างพอเหมาะเพื่อเน้นแสงธรรมชาติและทัศนียภาพภายนอกให้เป็นพระเอก โทนสีของห้องเน้นความเรียบขรึม — ผ้าปูโต๊ะสีน้ำเงินกรมเข้มตัดกับจานเซรามิกใสและแก้วไวน์โปร่งใสอย่างสง่างาม เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มผสมผสานรายละเอียดแบบจีนดั้งเดิม เช่น พนักพิงลายเรขาคณิตและเส้นสายตรงแนว ชวนให้นึกถึงความกลมกล่อมระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ผนังด้านในตกแต่งด้วยลวดลายหกเหลี่ยมแบบโมเดิร์น เติมลูกเล่นด้วยการจัดแสง soft amber จากโคมไฟแนวตั้ง ช่วยสร้างมิติและความอบอุ่นให้กับพื้นที่รับประทานอาหารแบบ fine dining โดยไม่ดูทางการจนเกินไป แม้จะอยู่สูงเหนือพื้นดินหลายร้อยฟุต แต่ Bai Yun กลับสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น เป็นกันเอง ด้วยองค์ประกอบเล็กๆ อย่างแจกันดอกไม้สดบนโต๊ะที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน และการจัดโต๊ะที่เว้นระยะอย่างสบาย ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแต่ไม่ปิดกั้นสายตาจากวิวเบื้องล่าง ไม่ว่าจะมากี่ครั้ง ผมก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่ตลอด…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารอย่างมีรสนิยมทุกท่าน วันนี้พวกเราทีมงาน Kinandleisure ก็มีร้านอาหารดีๆ เปี่ยมคุณภาพมาแนะนำอีกเช่นเคย คราวนี้เป็นทางเลือกสำหรับท่านที่กำลังมองหาร้านดินเนอร์บรรยากาศโรแมนติกใจกลางกรุงเทพ พร้อมทัศนียภาพสุดหรูตระการตา ซึ่งต้องขอบอกว่าท่ามกลางตึกระฟ้าและมหานครเมืองไทย ต้องยอมรับเลยว่า ห้องอาหาร CHAR Bangkok (ชาร์ แบงค็อก) คือหนึ่งในตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ทั้งวิวสุดสวยงามเห็นเส้นขอบฟ้าที่หาได้ยากยิ่งในกรุงเทพฯ พร้อมกับอาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมที่ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถัน ในขณะที่ยอมรับเทคนิคสมัยใหม่ที่จะทำให้มื้ออาหารของคุณกลายเป็นมื้ออาหารที่น่าประทับใจอย่างที่สุด สำหรับรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น เราไปรับชมกันเลยครับ Location               ห้องอาหาร CHAR Bangkok ตั้งอยู่บนชั้น 25 ของโรงแรม Hotel Indigo Bangkok ถนนวิทยุ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องทัศนียภาพมุมสูงของกรุงเทพฯ ที่งดงามมาก ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดจากความวุ่นวายมาอยู่เหนือใจกลางเมืองเลยทีเดียว​ สามารถเดินทางมาได้โดยสะดวกทั้งจากรถยนต์หรือระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ ซึ่งโรงแรมนี้มีเสน่ห์และขึ้นชื่อในการหลอมรวมศิลปะวัฒนธรรมแห่งท้องที่ ผนวกเข้ากับดีไซน์ที่ทันสมัยและตอบโจทย์ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ซึ่งของโรงแรมแห่งนี้ที่ตั้งอยู่บนถนนวิทยุ มีการตกแต่งสไตล์วินเทจที่มีความเป็นผู้ดีและเรียบหรู มีของตกแต่งที่ทำให้รู้ได้เลยว่าเรากำลังนั่งอยู่บนถนนวิทยุ ทำให้ทั้งโรงแรมแห่งนี้มีมนต์เสน่ห์เฉพาะตัวที่ยากลืมเลือน ภายในร้าน CHAR Bangkok ตกแต่งอย่างมีสไตล์โมเดิร์นหรูหราแต่แฝงความอบอุ่นเป็นกันเอง ด้วยเพดานสูงและผนังกระจกใสบานใหญ่จากพื้นจรดเพดาน เปิดมุมมองสู่วิวพาโนรามาของกรุงเทพฯ แบบไม่มีสิ่งบดบัง ไม่ว่าจะมองออกไปเห็นตึกสูงระฟ้าแสงไฟระยิบระยับยามค่ำคืน หรือชมพระอาทิตย์ตกดินสีส้มทองลับขอบฟ้าในยามเย็น ก็ชวนประทับใจสุดๆ บรรยากาศในร้านค่อนข้างโรแมนติกและผ่อนคลาย มีเพลงคลอเบาๆ เพิ่มอรรถรสในการดินเนอร์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับโอกาสพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นดินเนอร์คู่รัก ฉลองวันเกิด หรือมื้อค่ำสังสรรค์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง ทุกมุมของร้านได้รับการจัดอย่างพิถีพิถัน มีที่นั่งหลากหลายทั้งโต๊ะริมกระจกสำหรับคู่รักที่อยากชมวิวเต็มที่ ไปจนถึงโซนโต๊ะใหญ่สำหรับกลุ่มเพื่อน ช่วยให้ทุกคนดื่มด่ำกับบรรยากาศและทิวทัศน์เมืองกรุงได้อย่างเต็มที่ Services ในด้านการบริการ ต้องขอบอกว่าประทับใจมากตั้งแต่ก้าวแรกที่ไปถึง โดยพนักงานของ CHAR Bangkok ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและสุภาพ มีความเป็นมืออาชีพ ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตลอดการรับประทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการดึงเก้าอี้ เสิร์ฟน้ำ เติมเครื่องดื่ม หรืออธิบายเมนูต่างๆ ก็ทำได้อย่างคล่องแคล่วและยิ้มแย้ม พนักงานสามารถแนะนำเมนูอาหารและเครื่องดื่มได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้เข้าทานอาหารได้รับประสบการณ์ที่ดีและน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่งครับ Menu เมนูของ CHAR Bangkok ได้รับการรังสรรค์ภายใต้คอนเซ็ปต์ Modern Brasserie โดยเอ็กเซ็กคูทีฟเชฟชาวฝรั่งเศส…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบการรับประทานอาหารอร่อยทุกท่าน วันนี้พวกเรา Kinandleisure ก็มีสุดยอดร้านอาหาร พร้อมประสบการณ์อันยอดเยี่ยมมานำเสนออีกเช่นเคยครับ โดยในคราวนี้มาในธีมยามเย็นที่แสงสุดท้ายทอดผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา โดยพวกเราได้ก้าวบนชานบันไดหินอ่อนของโรงแรม Four Seasons Bangkok เจริญกรุง เข้าสู่ห้องอาหาร Palmier by Guillaume Galliot ด้วยความรู้สึกคล้ายเปิดประตูสู่ริวีเอร่าฝั่งตะวันออก ด้วยบรรยากาศแนวชายฝั่งที่ประดับประดาด้วยโถงสีไม้โอ๊คสีอ่อน ผนังโค้งแต่งปูนปาดเรียบ และหมู่โต๊ะหินอ่อนขาวสะท้อนประกายแสงอันละมุน โดยไม่ว่าจะนั่งกินลมชมวิวริมแม่น้ำ พร้อมรับลมบางๆ พัดกลิ่นเนยจางๆ จากครัวลอยมาต้อนรับ ราวกับบอกใบ้ถึงมื้อฝรั่งเศสคลาสสิกที่กำลังรออยู่ในค่ำคืนนี้ หรือจะนั่งชิลในห้องอาหารพร้อมเฉลิมฉลองค่ำคืนอันสุดยอดก็เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นตาไม่แพ้กันครับ ทำความรู้จักกับ Palmier by Guillaume Galliot แม้จะเพิ่งรีแบรนด์ไปไม่นาน แต่รากเหง้าของ Palmier ยังคงยึดโยงกับเชฟ กิโยม กายโยต์ เจ้าของดาวมิชลินสามดวงจาก Caprice ฮ่องกง ซึ่งเติบโตท่ามกลางทุ่งองุ่นและตลาดสดแห่งลัวร์แวลลีย์ ตามชื่อของห้องอาหารแห่งนี้ โดยเมนูของห้องอาหาร เต็มไปด้วยรอยต่อระหว่างความทรงจำอันน่าคิดถึง กับความประณีตแบบไฟน์ไดนิง ที่พร้อมสรรค์สร้างความน่าตระการตาให้กับทุกท่านได้ยลโฉมกันครับ โดยสามารถเดินทางมาถึงโรงแรมได้อย่างสะดวกด้วยรถยนต์ หรือจะเดินทางผ่านเรือโดยสารมาเทียบท่าที่บริเวณโรงแรมก็เป็นประสบการณ์ที่ดีไปอีกแบบ ซึ่งขอบอกเลยว่า ทุกห้องอาหารของโรงแรมแห่งนี้นั้นเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและบริการอันน่าประทับใจอย่างแน่นอน การออกแบบภายในของร้าน Palmier by Guillaume Galliot ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ถ่ายทอดเสน่ห์ของบรรยากาศฝรั่งเศสเขตร้อน (Tropical Brasserie) ได้อย่างมีเอกลักษณ์ โดยผสานความร่วมสมัยกับกลิ่นอายธรรมชาติไว้อย่างกลมกลืน การออกแบบและการตกแต่งภายใน: Palmier by Guillaume Galliot กลิ่นอายเขตร้อนใต้แสงเทียน เมื่อก้าวเข้าสู่ Palmier สิ่งแรกที่สะดุดตาคือ ภาพวอลเปเปอร์ขนาดใหญ่ที่วาดลวดลายพฤกษานานาพรรณแบบทรอปิคอลตั้งแต่ต้นกล้วย ไปจนถึงเบิร์ดออฟพาราไดซ์ สร้างอารมณ์ร่วมที่เหมือนหลุดเข้าไปในสวนสไตล์ French Riviera กลางกรุงเทพฯ ผนังไม้โทนเข้มให้ความรู้สึกอบอุ่น ขับเน้นความหรูหราแบบสงบผ่านแสงไฟสีทองอำพันจากโคมเทียนที่ประดับบนโต๊ะ การจัดวางพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวที่นั่งแบบ booth ซ่อนตัวอยู่ในซอกมุมไม้ ทำให้แขกแต่ละกลุ่มได้ความเป็นส่วนตัวโดยไม่รู้สึกอึดอัด พื้นที่ถูกจัดสรรอย่างมีจังหวะ จนรู้สึกเหมือนเดินผ่านบทสนทนาในยุโรปใต้ นุ่มนวลแต่มีชีวิตชีวา เคาน์เตอร์บาร์: หัวใจของความร่วมสมัย บาร์ของร้านเน้นเส้นสายเรียบหรู…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับ ท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารทุกท่าน วันนี้พวกเราทีมงาน Kineandleisure ก็มีสุดยอดร้านอาหารมานำเสนอกันอีกแล้ว โดยในวันนี้จะเป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่ตั้งอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งเป็นโรงแรมชั้นนำใจกลางกรุงเทพฯ กลางย่านเจริญกรุงอันครึกครื้น มีห้องอาหาร Riva del Fiume Ristorante ของโรงแรม Four Seasons Bangkok at Chao Phraya River ที่จะพาเราหลุดจากความวุ่นวายเข้าสู่โลกของ “La Dolce Vita” เพียงก้าวข้ามธรณีประตู คุณก็จะได้พบกับประสบการณ์อันน่าประทับใจ จากทั้งการตกแต่งร้านอย่างมีสไตล์ และอาหารสไตล์อิตาเลียนที่การันตีคุณภาพ จากฝีมือของทีมเชฟ ของคุณ Andrea Accordi ผู้คว้ารางวัลเกียรติยศและโลกอาหารมามากมาย มารับหน้าที่เป็น Executive Chef ของห้องอาหารอันเปี่ยมเสน่ห์แห่งนี้ บรรยากาศ & ดีไซน์ บทกวีแห่งเส้นสายและวัสดุ ที่ Riva del Fiume Ristorante การออกแบบไม่ใช่แค่การจัดวางพื้นที่ แต่เป็นการบรรเลงบทกวีผ่านวัสดุ แสง และจังหวะของเส้นโค้ง ทุกองค์ประกอบถูกออกแบบให้ “ไหล” เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นแรงบันดาลใจหลักของโครงการนี้ เส้นโค้ง (Curves as Movement) เส้นโค้งที่ปรากฏในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นขอบเพดาน ช่องโค้งทางเดิน หรือกรอบโครงเหล็กของโคมไฟ — ถูกนำมาใช้เพื่อละลายเส้นตรงและเหลี่ยมมุมของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ทำให้พื้นที่เต็มไปด้วยพลังการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยน ไม่หยุดนิ่ง แต่ไหลเวียนอย่างนุ่มนวลเหมือนสายน้ำ วัสดุและผิวสัมผัส (Material as Emotion) การเลือกใช้วัสดุอย่างไม้โอ๊กธรรมชาติ หินอ่อนครีม และเหล็กพ่นดำ สะท้อนความสมดุลระหว่างธรรมชาติและความประณีต วัสดุเหล่านี้ไม่ได้สื่อสารแค่ทางสายตา แต่ยังเชื้อเชิญให้สัมผัส พื้นไม้ให้ความรู้สึกอุ่นเท้า หินอ่อนเย็นเรียบใต้ฝ่ามือ และเบาะผ้าหวายให้ความนุ่มนวลกับร่างกาย ทั้งหมดนี้เสริมสร้างประสบการณ์ที่สัมผัสได้ทั้งกายและใจ แสง (Light as Atmosphere) การวางแผนแสงสว่างที่ Riva…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สัมผัสรสชาติอิตาเลียนร่วมสมัย วิวเลิศร้านสวย เติมเต็มทุกค่ำคืนของท่านให้ลงตัวด้วยเทคนิคปรุงระดับโลกจากเชฟที่กวาดดาวมิชลินมากว่า 6 ดวง กับ Sartoria by Paulo Airaudo สวัสดีครับท่านผู้รักในการรับประทานอาหารอร่อยทุกท่าน วันนี้พวกเราทีมงาน Kinandleisure ก็มีสุดยอดร้านอาหารที่การันตีได้ว่าจะสร้างความประทับใจให้กับทุกท่านได้อีกเช่นเคยครับ โดยคราวนี้เป็นร้านอาหารที่ต้องขอบอกก่อนว่าจะต้องถูกใจสายอาหารอิตาเลียนที่หลงใหลในรสชาติโดดเด่นและเทคนิคการปรุงอาหารที่พิถีพิถันอย่าง ซึ่งพวกเราขอบอกเลยว่าร้านที่คนรักอาหารสไตล์นี้ไม่ควรพลาดก็คือ Sartoria by Paulo Airaudo ร้านไฟน์ไดนิ่งสุดพรีเมียมที่ตั้งใจจะมอบประสบการณ์ “Modern Italian Dining” ในรูปแบบเฉพาะตัวที่รังสรรค์เชฟ Paulo Airaudo ซึ่งเป็นเชฟระดับโลกที่เคยฝากฝีมือไว้ทั้งในยุโรปและเอเชีย การันตีด้วยประสบการณ์ด้านอาหารอิตาเลียนร่วมสมัยและร้านอาหารที่เคยประดับดาวมิชลินอันทรงคุณมาแล้วหลายดวง โดยพวกเราจะขอเชิญทุกท่านไปเจาะลึกทั้งเมนู บรรยากาศ การบริการ และประสบการณ์อันน่าประทับใจอย่างไร้ที่ติจากร้าน Sartoria by Paulo Airaudo แบบละเอียดยิบ บอกเลยว่าหลังอ่านจบแล้วคุณอาจจะต้องรีบจองโต๊ะกันเลยครับ ! ทำความรู้จักเชฟ Paulo Airaudo ก่อนจะพาทุกคนเข้าสู่โลกของอาหารจากครัวของร้าน Sartoria จะขออนุญาตเกริ่นนำถึงเชฟผู้อยู่เบื้องหลังก่อนสักนิด โดยเชฟ Paulo Airaudo เป็นสุดยอดเชฟสัญชาติอาร์เจนตินา ผู้สร้างชื่อจากการปรุงอาหารในสไตล์อิตาเลียนโมเดิร์น ผสมผสานประสบการณ์ที่ได้สั่งสมจากการรังสรรค์รสชาติในเมืองอาหารชื่อดังของโลกอย่างซาน เซบาสเตียน รวมถึงผ่านการทำงานในร้านระดับมิชลินสตาร์มาแล้วมากมาย อาหารอิตาเลียนของเชฟมีการพัฒนาสู่รูปแบบใหม่ที่แฝงเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ยังคงรากฐานรสชาติอิตาเลียนแท้ๆ ให้คงอยู่ได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งเชฟมีชื่อเสียงในด้านการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุด มาปรุงด้วยเทคนิคระดับไฟน์ไดนิ่ง ผสมผสานเครื่องปรุงตามฤดูกาลให้เกิดเมนูใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นอยู่เสมอ Location ร้าน Sartoria ตั้งอยู่บนชั้น 56 ของตึกเอมไพร์ทาวเวอร์ สาธร เวลาเดินทางมาสามารถเดินทางมาได้ดูสะดวกโดยรถยนต์ รวมถึงระบบขนส่งมวลชนเช่นรถไฟฟ้าก็สะดวกไม่แพ้กัน แต่ขออนุญาตกระซิบบอกนิดนึงว่า ควรเผื่อเวลาและเผื่อใจสำหรับสภาพการจราจรระหว่างการเดินทางด้วยครับ เพราะเป็นย่านเศรษฐกิจที่พลุกพล่านและรถมักจะติดอยู่เสมอในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน แต่ขอบอกเลยว่าคุ้มค่าแน่นอนเมื่อได้มารับประทานอาหารที่สุดยอดห้องอาหารแห่งนี้ เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาในร้าน สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นอายของความโมเดิร์นและหรูหรา แต่ไม่อึดอัดจนเกินไป ห้องอาหาร Satoria มีดีไซน์โดดเด่นตามแรงบันดาลใจของชื่อร้าน ที่แปลเป็นไทยได้ว่า “การตัดเย็บ” เพราะฉะนั้นร้านนี้เลยมีสไตล์การตกแต่งอย่างได้รับแรงบันดาลใจมาจากห้องตัดเย็บห้องแรกที่ฟลอเรน มีการใช้สีคลาสลิก และแฝงไปด้วยความประณีต ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งตลอดไปจนการทำอาหารและบริการ ที่จะต้องประณีตไร้ที่ติไปตั้งแต่จานแรกจนถึงจานสุดท้าย แสงสว่างจากโคมไฟดีไซน์ร่วมสมัยช่วยขับเน้นบรรยากาศ ยิ่งในช่วงกลางวัน…

Read More

Story : ]Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A I-Sang Bangkok: Fine Dining เกาหลีระดับโลก โดยเชฟ Lee จาก Hansikgoo (1 ดาว) และ Mingle (3 ดาว) สวัสดีครับท่านผู้มีรสนิยมในการรับประทานอาหารทุกท่าน วันที่พวกเรา ทีมงาน Kinandleisure มีร้านอาหารเกาหลีเปิดใหม่มานำเสนอ ซึ่งเชฟของร้านก็ไม่ใช่ธรรมดา แต่เป็นเชฟในระดับมิชลิน ที่พร้อมจะมาเปิดประสบการณ์อาหารเกาหลีในมุมมองใหม่ แต่ยังคงเอกลักษณ์รสชาติและวัฒนธรรมอาหารเกาหลีดั้งเดิมไว้อย่างครบถ้วน มีความร่วมสมัย โดยร้าน I-Sang นำโดยเชฟ Steve Sanggun Lee และทีมผู้มากประสบการณ์ ได้นำประสบการณ์ ทั้งการเติบโตในเกาหลีใต้และการทำงานในซิดนีย์ และที่ฮ่องกง มาสร้างสรรค์เมนูที่ผสานรสชาติตามแบบฉบับ “โคเรียนฟิวชัน” ได้อย่างมีเอกลักษณ์ จนกลายเป็นผลงานที่สะท้อนถึงปรัชญาและอุดมการณ์ในการทำอาหารตามแบบฉบับของทางร้านและสะท้อนตัวตนของเชฟออกมาได้อย่างน่าประทับใจ จะเป็นอย่างไรนั้นเราไปรับชมกันเลยครับ รู้จักกับร้าน I-Sang ก่อนอื่นนั้น คำว่า “I-Sang” แปลได้ว่า “อุดมคติ” ในภาษาเกาหลี และยังสอดคล้องกับชื่อเกาหลีของเชฟ (Lee, Sanggun) ทำให้คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงชื่อร้าน แต่ยังสื่อถึง “ปรัชญาและแนวทาง” ที่เชฟต้องการถ่ายทอดให้ผู้คนลิ้มลอง โดยหลังจากที่เชฟสั่งสมชื่อเสียงในการเป็นหัวหน้าเชฟของ Hansik Goo ในฮ่องกง ซึ่งคว้าดาวมิชลินมาได้สำเร็จ การได้รับรางวัล Young Chef Award จาก Michelin Guide Hong Kong & Macau ในปี 2023 ซึ่งด้วยดีกรีของเชฟที่มากทั้งความสามารถและชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับ การมาเปิดร้านอาหารใหม่ในเมืองไทยที่เป็นไฟน์ไดนิ่งสไตล์เกาหลีที่หาไม่ได้ง่าย ๆ จึงเป็นร้านอาหารที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และเป็นหนึ่งในจุดหมายที่นักชิมควรไปลิ้มลองซักครั้ง Vibes ด้วยการตกแต่งร้านที่เน้นความเรียบหรูแต่สบายๆและอบอุ่นสไตล์โมเดิร์น แต่ยังคงความอบอุ่นแบบเกาหลี โดยเฉพาะจุดเด่นคือการนำเสนออาหารในรูปแบบ “รสชาติแห่งความทรงจำ” ของเชฟ Steve ด้วยเทคนิคสมัยใหม่ ทำให้แต่ละจานเล่าเรื่องราวส่วนตัว ชวนให้ประทับใจทั้งในรสชาติและการจัดวาง พร้อมกับการที่พนักงานทุกคนยังให้บริการอย่างใส่ใจ พร้อมแนะนำแต่ละเมนูอย่างละเอียด…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารอร่อยทุกท่าน สำหรับวันนี้ ทีมงาน Kinandleisure ขออนุญาตมาเล่าสู่กันฟัง กับงานอีเว้นสุดพิเศษที่จัดโดยโรงแรมคอร์ทยาร์ด บาย แมริออท กรุงเทพฯ ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ ร่วมกับทางกรูเมท์ วัน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบการประกอบอาหารคุณภาพเยี่ยม โดยในงานนี้จะเป็นการจับมือกันระหว่างสองเชฟหญิงยอดฝีมือที่มาร่วมสร้างสรรค์เมนูสุดพิเศษในโอกาสวันสตรีสากล ในงานที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและน่าตื่นตาจากการสาธิตการแล่เนื้อด้วยความชำนาญและความตั้งใจ พร้อมกับการนำเสนออาหารคุณภาพสูงแบบ Fine Dining ผสานกับรสชาติที่เข้าถึงง่าย จากฝีมือของเชฟณัฐ คุณณัฐธิดา หนูอินทร์ หรืออีกฉายาคือ Lady Butcher และเชฟจ๋า คุณธนารัตน์ อู่สุวรรณ จากร้าน Big bite burger ที่ร่วมกับสรรค์สร้างประสบการณือันน่าตื่นตาตื่นใจ Event Details โดยงานนี้เป็นการจัดดินเนอร์แบบ “Four Hands” ซึ่งหมายถึงการร่วมมือกันของสองเชฟในการรังสรรค์เมนูต่างๆ ให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์การทานอาหารคอร์สพิเศษ ซึ่งสถานที่จัดคือร้าน Big bite Burger ภายในโรงแรม โดยเป็นร้านเบอร์เกอร์สไตล์อเมริกันยุค 70-80s มีบรรยากาศสบาย ๆ และเป็นกันเอง เหมาะสำหรับทั้งคนที่อยากแวะมารับประทานอาหารแบบด่วนในวันเร่งรีบเพราะตามปกติเมนูที่เสิร์ฟจะเน้นเป็นเบอร์เกอร์ซึ่งเป็นอาหารที่สามารถทำได้ด้วยความเร็ว หรือสำหรับผู้ที่ต้องการนั่งชิลล์ดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ คู่กับเมนูเบอร์เกอร์จานโปรดหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางท่องเที่ยวหรือทำงาน ที่นั่งมีทั้งแบบโซฟานุ่มและโต๊ะเก้าอี้สบาย ๆ จึงสามารถเลือกรูปแบบการนั่งได้ตามต้องการ บริเวณภายในร้านโปร่งและเป็นกันเอง เหมาะสำหรับการพูดคุยกันเพลิน ๆ หรือจะนั่งอ่านหนังสือหรือนั่งฟังเพลงในร้านก็ดีเช่นกัน โดยจุดเด่นของงานนี้ คือเชฟณัฐ ได้ทำการสาธิตการ Trim หรือการตกแต่งเนื้อก่อนทำอาหารให้เห็นกันอย่างเต็มที่ พร้อมกับบรรยายลักษณะของเนื้อประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อประเภท Prime Cut ที่จะเสิร์ฟในงานนี้ ซึ่งจุดหมายของการสาธิตนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นเนื่องในวันสตรีสากลด้วยว่า ผู้หญิงก็สามารถทำงานได้ทุกประเภทโดยที่มีความสามารถไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชายเลย Food ก่อนข้ามื้ออาหารหลักกันเราขอพาทุกท่านมาชมจานกินเล่นอย่า หอยนารมโดย Gourmet one ที่ปรุงทั้งแบบรอคกี้เฟลเลอร์และแบบสดๆ Beef Tartare เป็นทาร์ทาร์จากเนื้อวัวสดคุณภาพสูง สับละเอียด ปรุงรสแบบคลาสสิก เสิร์ฟคู่กับไข่นกกระทาและลูกแพร์ตุ๋นวางข้างๆ โดยเนื้อมีความสดและหวานตามธรรมชาติ ผสานกับรสเปรี้ยวเบาๆ จากเครื่องปรุงตาตาร์…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันที่พวกเราทีมงาน Kinandleisure ขอนำเสนอประสบการณ์ทางอาหารที่น่าประทับใจ จากร้านอาหารชื่อดังใจกลางกรุง ที่จะทำให้วันนี้ทั้งวันของคุณเปี่ยมไปด้วยความสุข โดยในวันนี้ขอนำเสนอ ห้องอาหาร North ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่ง ที่ได้รับการยกย่องจากมิชลินไกด์ และสร้างชื่อเสียงให้กับอาหารไทยด้วยการเป็นร้านอาหารเหนือแท้ๆ ที่ได้รับการยกย่องจากสื่ออาหารชั้นนำระดับโลก นำเสนอความมหัศจรรย์ทางอาหารด้วยบรรยากาศสวยงามหรูหรา ผสานไปด้วยกลิ่นอายของศิลปวัฒนธรรมสไตล์ล้านนาเข้าไว้กับการปรุงอาหารอย่างประณีต โดยในวันนี้ทาง Kinandleisure จะขออนุญาตนำพาทุกท่านไปสัมผัสกับอาหารภาคเหนือ ด้วยเมนูชวนลิ้นลองที่ผสมผสานทั้งความเป็นดั้งเดิมและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ที่แต่งเติมลงบนจานอาหารได้อย่างลงตัว Vibes & Decorations ร้าน North Restaurant ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 33 สามารถเข้ามาได้ง่ายและทางร้านมีพื้นที่จอดรถภายในบริเวณ ทำให้สะดวกสบายสำหรับผู้ที่ขับรถมาเอง หรือสามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีพร้อมพงษ์ เดินผ่านสวนเบญจสิริรับอากาศบริสุทธิ์สักครู่ จากนั้นข้ามมายังฝั่งซอยสุขุมวิท 33 แล้วเดินต่ออีกไม่ไกลก็จะพบร้าน North ซึ่งเป็นลักษณะบ้านหลังสวย โดยเป็นบ้านไม้สักเก่าของครอบครัวพานิชพัฒน์ ซึ่งแต่เดิมเป็นบ้านที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมล้านนา การปรับเปลี่ยนนี้ไม่ใช่เพียงแค่รีโนเวตโครงสร้างอย่างเดียว แต่ยังคงใส่ใจและเคารพในรายละเอียดดั้งเดิมของบ้าน เช่น การโชว์ โครงสร้างไม้สัก ที่คงความงดงามแบบไม้เก่าไว้อย่างชัดเจน บางมุมยังมีการนำ ภาพเขียนหรือภาพวาด แนวศิลปะเหนือมาประดับเพิ่มเสน่ห์ ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงเรื่องราวและกลิ่นอายล้านนาแบบแท้จริง โดยโทนสีหลักที่ถูกเลือกใช้ในการตกแต่งคือ สีเขียว ซึ่งโดดเด่นตั้งแต่ภายนอกร้านจวบจนภายใน ชวนให้นึกถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าภาคเหนือ ประกอบกับรายละเอียดการเลือกวัสดุที่มีผิวสัมผัสของไม้หรือโครงสร้างไม้ ทำให้เกิดความรู้สึก อบอุ่น อนุรักษ์ และหรูหรา ไปพร้อมกัน ยิ่งเมื่อผนวกกับแสงไฟสลัวแบบซ่อนตามกำแพงหรือแสงโคมไฟสีอ่อน ๆ ก็สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและโรแมนติกอย่างน่าประทับใจ ทันทีที่ก้าวผ่านประตูร้าน คุณจะได้สัมผัสถึงความพิถีพิถันในการตกแต่งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอาณาจักรล้านนาในอดีต อุดมไปด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างโคมไฟไม้สลัก เส้นสายลวดลายผ้าทอมือ และกลิ่นหอมของเครื่องเทศอ่อน ๆ ที่อบอวล ช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายแต่ทรงคุณค่า ให้ความรู้สึกเหมือนได้เดินทางข้ามกาลเวลาไปสู่ดินแดนทางภาคเหนืออันที่เปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมอันมีมนต์ขลังและเปี่ยมเสน่ห์ ซึ่งสร้างบรรยากาศที่แตกต่างทั้งในช่วงการรับประทานอาหารในช่วงเย็น หรือช่วงค่ำ ล้วนให้บรรยากาศอันสุขสบาย อีกหนึ่งไฮไลต์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของร้าน คือ พื้นที่เรือนกระจก ที่ต่อเติมขึ้นมาใหม่ โดยมีโครงสร้างไม้เชื่อมกับตัวบ้านหลังเก่าได้อย่างกลมกลืน ด้านบนประดับ โคมไฟยี่เป็ง ให้แสงนวลตา ชวนให้นึกถึงเทศกาลโคมลอยอันเป็นประเพณีที่โด่งดังของภาคเหนือ…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับ ท่านผู้ชื่นชอบการรับประทานอาหารอย่างมีรสนิยมทุกท่าน วันนี้พวกเราทางทีมงาน Kinandleisure มีร้านอาหารที่ดี ๆ มานำเสนอกันอีกเช่นเคย โดยในคราวนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่เป็นโอมากาเสะแบบฟิวชั่นที่เสิร์ฟในลักษณะของไคเซกิ โดยคาดว่าทุกท่านน่าจะรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อห้องอาหาร Hashiri Bangkok มาแล้ว ซึ่งห้องอาหารนี้ตั้งอยู่ในโรงแรม The Athenee Hotel ย่านถนนวิทยุ ทำเลใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวกและเปี่ยมไปด้วยความหรูหรา ซึ่งเมื่อแรกก้าวเข้ามาในร้าน จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศการต้อนรับแบบญี่ปุ่นซึ่งผสานกับความทันสมัยได้อย่างแนบเนียน ใครที่กำลังมองหาประสบการณ์โอมากาเสะแบบพรีเมียม หรือคอร์สญี่ปุ่นฟิวชั่นที่ปรุงด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วโลก ร้านนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งและห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงจริงๆ ครับ รู้จักกับ Hashiri แบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่น Hashiri เป็นแบรนด์ร้านอาหารระดับไฮเอนด์ที่มีชื่อเสียงและเติบโตในต่างประเทศ มีจุดเด่นคือมุ่งเน้นการนำเสนอวัตถุดิบสดใหม่ตามฤดูกาล ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นเอง “Hashiri” สื่อถึง “การเริ่มต้นของฤดูกาล” หรือช่วงแรกที่วัตถุดิบประจำฤดูกำลังมีรสชาติยอดเยี่ยมที่สุด ทีมเชฟของร้านจึงทุ่มเทในการคัดสรรวัตถุดิบตามฤดูกาลจากแหล่งที่ดีที่สุด ซึ่งรวมถึงการคัดสรรวัตถุดิบในประเทศไทยเช่นกัน ตลอดจนการนำเข้าส่วนประกอบหลัก ๆ จากญี่ปุ่นหรือประเทศอื่น ๆ ที่โดดเด่น เพื่อให้แขกได้สัมผัสรสชาติอาหารที่สดใหม่และคุณภาพสูงสุด สำหรับ “Hashiri Bangkok” ในโรงแรม The Athenee Hotel นั้น ออกแบบบรรยากาศให้นั่งสบาย มีความหรูหรา โมเดิร์น และมีความเป็นส่วนตัว จุดเด่นของร้านคือการผสมผสานเทคนิคการปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น เช่น การแล่ปลา การทำดาชิ หรือซอสสูตรดั้งเดิม มาประยุกต์กับทักษะการทำอาหารยุคใหม่ ร่วมกับการนำเสนอแบบโมเดิร์น เน้นความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบจนถึงการจัดจานบนโต๊ะ รังสรรประสบการณ์แปลกใหม่สุดประทับใจมิลืมเลือน Decorations and Service ทันทีที่มาถึง คุณจะพบกับการตกแต่งที่ประณีตในโทนสีเรียบหรู เฟอร์นิเจอร์เน้นวัสดุคุณภาพดี ทั้ง ไม้ หนัง และแสงไฟที่สะท้อนถึงความเป็นอัตลักษณ์ญี่ปุ่นร่วมสมัย พื้นที่ของร้านออกแบบให้มีที่นั่งหลายรูปแบบ ทั้งเคาน์เตอร์บาร์สำหรับผู้ที่ต้องการชมเชฟปรุงอย่างใกล้ชิด และโต๊ะส่วนตัวสำหรับการมาเป็นคู่หรือกลุ่มเล็ก ๆ ตลอดจนมีพื้นที่ห้องส่วนตัวให้บริการเพื่อประสบการณ์อาหารอย่างเป็นส่วนตัว ในขณะที่พนักงานบริการเป็นกันเอง มีความรู้ลึกเกี่ยวกับเมนูและวัตถุดิบ เชฟเองก็มักจะออกมาแนะนำจานต่าง ๆ พร้อมตอบคำถามเกี่ยวกับแหล่งที่มาและกระบวนการปรุงอย่างเป็นกันเอง จุดนี้สร้างความประทับใจให้ผู้ที่มาเยือน เพราะได้รู้ที่มาที่ไปของอาหารแต่ละคำ ช่วยให้ดื่มด่ำกับมื้ออาหารมากขึ้น Menu หนึ่งในหัวใจหลักของ…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้รักในการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันนี้พวกเรา ทีมงาน Kinandleisure มีประสบการณ์การรับประทานอาหารอันสุดวิเศษจะมานำเสนออีกเช่นกันครับ คราวนี้จะมาในธีมของอาหารจีนสุดเลิศรส ซึ่งอาหารของที่นี่นั้น พวกเราทีมงานที่ได้โอกาสไปรับประทานต่างล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า “เดอะเบส” กลายเป็นร้านที่ประทับอยู่ใจของพวกเราไปตราบนานเท่านาน โดยเมื่อเอ่ยถึงร้านอาหารจีนสุดหรูในกรุงเทพฯ ที่โดดเด่นทั้งด้านรสชาติ ตำแหน่งที่ตั้ง และบรรยากาศ ทางเราขอภูมิใจนำเสนอร้าน Yu Ting Yuan ในโรงแรม Four Seasons Bangkok ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าผสมผสานประสบการณ์อาหารจีนสไตล์กวางตุ้งดั้งเดิมเข้ากับการนำเสนออันร่วมสมัย จนได้รับทั้งชื่อเสียงและรางวัลระดับสูงมาแล้ว ในรีวิวครั้งนี้ พวกเรา Kinandleisure ขอชวนทุกท่านท่องเข้าสู่โลกของอาหารจีนไฟน์ไดนิ่งที่มากกว่าคำว่า “อร่อย” แต่ยังมีทั้งความละเมียดละไม ความประณีต และความใส่ใจในรายละเอียดอย่างเต็มเปี่ยม บรรยากาศและการตกแต่ง ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ Yu Ting Yuan เราจะสัมผัสได้ถึงความโอ่อ่าของพื้นที่ที่มีเพดานสูง โปร่ง และผนังกระจกที่เปิดรับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ พร้อมวิวจากกระจกใสที่เปิดให้เห็นบริเวณบ่อน้ำด้านหน้าล็อบบี้ของโรงแรม พร้อมต้นไม้ประดับสีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในห้องอาหาร ทำให้ได้รับความรู้สึกเหมือนเราได้เดินเข้าสู่ “หอละครแดนมังกรแห่งความฝัน” ที่พร้อมสะกดทุกสายตาด้วยทิวทัศน์อันงดงาม การตกแต่งในร้านสะท้อนรายละเอียดสไตล์จีนร่วมสมัย ที่ให้ความรู้สึกหรูหราแบบ “Less is more” ไม่ได้จัดวางลวดลายจีนดั้งเดิมหนาแน่น แต่เลือกใช้เฉพาะส่วนที่เป็นเอกลักษณ์และสื่อถึงความงดงามของศิลปะจีนโบราณ องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ Yu Ting Yuan มีทั้งความเป็นทางการแต่ก็เป็นมิตร เหมาะกับการมาดินเนอร์พิเศษหรือโอกาสเฉลิมฉลองต่าง ๆ การออกแบบทางสถาปัตยกรรมและการจัดสรรพื้นที่ของห้องอาหาร Yu Ting Yuan, Four Seasons Bangkok Yu Ting Yuan ไม่ใช่เพียงห้องอาหารจีนกวางตุ้งระดับมิชลินสตาร์ แต่ยังเป็นงานออกแบบที่สะท้อนปรัชญาทางสถาปัตยกรรมและศิลปะจีนในบริบทของโรงแรมระดับลักชัวรีริมแม่น้ำเจ้าพระยา แนวคิดการออกแบบ: บทสนทนาระหว่างประเพณีและความร่วมสมัย พื้นที่ของ Yu Ting Yuan ถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบสถาปัตยกรรมของ Four Seasons Bangkok แต่ยังคงอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่สะท้อนความงามแบบจีนร่วมสมัย นักออกแบบเลือกใช้แนวคิด “Chinese Pavilion” หรือศาลาริมน้ำ มาสร้างลำดับของพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกสงบและหรูหราไปพร้อมกัน ความสมดุลระหว่างสัดส่วนของพื้นที่ ภาษาของวัสดุ…

Read More