Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบการดื่มด่ำบรรยากาศและการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่านครับ วันนี้พวกเรา Kinandleisure ขอนำเสนอประสบการณ์ Afternoon Tea สุดพิเศษ ในช่วงบ่ายที่แสงแดดอ่อนส่องลอดม่านกระจกใหญ่ การที่ได้หยุดพักใจแล้วปล่อยเวลาไหลไปช้า ๆ พร้อมน้ำชายามบ่าย ถือเป็นประสบการณ์ที่ช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจอย่างดียิ่ง สำหรับผู้ที่หลงใหลการดื่มชาและขนมประณีต 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ได้รังสรรค์ประสบการณ์พิเศษภายใต้ชื่อ “Memoirs of Lanna” โดยร่วมกับ SARRAN แบรนด์เครื่องประดับไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องการตีความ “ดอกไม้” เป็นงานศิลป์ ถ่ายทอดออกมาเป็นชุดน้ำชาที่ไม่เพียงงดงามต่อสายตา แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องเล่าและรสชาติแห่งวัฒนธรรมล้านนา ซึ่งเป็นศิลปะที่ทรงคุณค่าและงดงามเป็นอย่างยิ่ง โดยรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้น เราไปชมกันเลยครับ บรรยากาศและสถานที่ เลาจน์ของ 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ที่บ้านบอร์เนียวคลับ ชั้น 26 โอบล้อมด้วยโทนอบอุ่นร่วมสมัย ทุกมุมได้รับการจัดวางอย่างประณีต ตั้งแต่ผืนผ้าโต๊ะ ชุดน้ำชา รวมถึงตัวเครื่องชามจานช้อนที่นำมาเสิร์ฟล้วนเสริมสร้างประสบการณ์ในการทานอาหารไปอีกระดับ พร้อมการบริการที่สุภาพและเอาใจใส่ของทีมงานทำให้การดื่มชายามบ่ายที่นี่ไม่เพียงเป็นการลิ้มรสอาหาร แต่ยังเป็นการพักผ่อนหย่อนใจอย่างสมบูรณ์ โดย โรงแรม 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 39 สามารถเดินทางโดยรถยนต์ได้อย่างสะดวก ซึ่งทางโรงแรมมีที่จอดรถจัดเตรียมให้ผู้ใช้บริการอย่างเพรียบพร้อม หรือสำหรับท่านที่เดินทางโดยระบบขนส่งมวลชน ก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท ลงสถานีพร้อมพงษ์ แล้วเรียกรถต่อเข้ามายังโรงแรมได้ เนื่องจากโรงแรมตั้งอยู่ในใจกลางย่านเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ทำให้ 137 Pillars Suites & Residences Bangkok เหมาะสำหรับท่านที่มาท่องเที่ยวภายในกรุงเทพมหานคร เพราะใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและห้างสรรพสินค้าหลายแห่งอีกด้วยครับ Memoirs of Lanna แรงบันดาลใจจากอาหารเหนือที่คุ้นเคย ถูกนำมาตีความใหม่ให้กลายเป็นของคาวคำเล็กและขนมหวานที่งดงามราวเครื่องประดับ โดยยังคงกลิ่นอายเครื่องเทศและสมุนไพรลานนา อาทิ น้ำพริกอ่อง ข้าวซอย หรือลาบเมือง แต่ละคำเล่าเรื่องราวของภูมิภาคเหนือในมิติร่วมสมัย ถ่ายทอดด้วยงานออกแบบที่ละเอียดละเมียด เสมือนแผนที่ความทรงจำที่ถ่ายทอดผ่านรสชาติได้อย่างลึกซึ้ง…
Author: nutthawat jaruwat
Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A หากกำลังมองหามื้อค่ำที่ไม่เพียงแต่ “อิ่ม” แต่ยัง “ตราตรึง” ทุกประสาทสัมผัส — Dynasty Nights ที่ห้องอาหาร Savio โรงแรม Chatrium Grand Bangkok คือจุดหมายที่ต้องปักหมุดทุกคืนวันศุกร์ บุฟเฟ่ต์ธีมจีน–มองโกเลียสุดหรู ที่รวบรวมทั้งวัฒนธรรมการกินแบบจักรพรรดิและกลิ่นอายการเดินทางบนเส้นทางสายไหม มารวมกันไว้ในมื้อเดียว ด้วยราคาเพียง 1,499 บาท พร้อมเครื่องดื่มฟรีโฟลว์ไม่อั้น แขกผู้มาเยือนจะได้สัมผัสตั้งแต่เป็ดย่างหนังกรอบ หมั่นโถวนุ่ม ไปจนถึงเมนูมองโกเลียสไตล์เร่าร้อนที่หาไม่ได้ง่ายในกรุงเทพฯ งานนี้จึงไม่ใช่แค่บุฟเฟ่ต์ แต่คือ “ค่ำคืนแห่งตำนาน” ที่เปิดประสบการณ์อาหารเอเชียในแบบที่ห้องอาหาร Savio เท่านั้นจะรังสรรค์ได้ สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันนี้พวกเรา ทีมงาน Kinandleisure ขอนำเสนอประสบการณ์ทางอาหารแบบจุใจในรูปแบบบุฟเฟ่ต์ กับห้องอาหาร Savio แห่งโรงแรม Chatrium Grand Bangkok ซึ่งพร้อมนำเสนอแนวคิด East meets West ในรูปแบบที่ไม่ใช่เพียงการจับครัวนานาชาติมารวมกัน แต่เป็นการออกแบบไลน์บุฟเฟ่ต์ ที่มีไฮไลท์ของชาติต่าง ๆ มานำเสนอให้ทุกท่านในลิ้มลองอย่างเต็มรูปแบบในแต่ละวัน แต่ละเวลา ตั้งแต่ช่วงกลางวันจรดเเย็น ซึ่งพร้อมนำเสนอเมนูพิเศษของแต่ละวันอย่างจุใจและเปี่ยมคุณภาพ จากวัตถุดิบที่สด ครัวในรูปแบบเปิดให้เราได้เห็นรูปแบบการทำอาหารแบบจะ ๆ แบบ Live Cooking และเป็นสิ่งยืนยันว่าท่านจะได้รับประทานอาหารแบบสดใหม่จากเตา พร้อมสเตชันต่างๆ ที่พร้อมให้บริการอย่างเปี่ยมคุณภาพ ที่ท่านสามารถเพลิดเพลิน โดยรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นเราไปดูกันเลยครับ Location Savio ตั้งอยู่ที่ชั้น G ของ Chatrium Grand Bangkok (ซอยเพชรบุรี 30 ด้านหลังสยามพารากอน) ตัวห้องอาหารโดดเด่นด้วยเพดานสูง ประตูกระจกเต็มบาน และดีไซน์ไทยโมเดิร์น โปร่งโล่งแต่หรูหรา สะท้อนแสงไฟสีทองนวลตา โต๊ะหินอ่อนขัดเงาสีอ่อนตัดกับเก้าอี้บุผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม ทำให้บรรยากาศหรูแบบร่วมสมัย ภายในแบ่งเป็น โซน Live Cooking ที่เชฟปรุงอาหารกันสด ๆ ต่อหน้าแขก…
Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบการดื่มด่ำบรรยากาศและการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่านครับ วันนี้พวกเรา Kinandleisure ขอนำท่านมาสัมผัสบรรยากาศริมน้ำกันที่โรงแรม Mandarin Oriental Bangkok พร้อมขอเชิญเยื้องย่างผ่านทางเดินบันไดไม้สักนำสู่ห้องบาร์สุดคลาสสิกแห่งกรุงเทพมหานคร กับ The Bamboo Bar ที่เปิดให้โลกในยลโฉมกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1953 ที่ได้เปิดบริการเป็นแจ๊สบาร์แห่งแรกของประเทศ แม้เวลาจะล่วงเลยมากกว่า 70 ปี แต่โรงแรม Mandarin Oriental ยังคงรักษาโทนและอารมณ์ของร้านไว้ได้อย่างครบถ้วน พร้อมมีการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุคสมัยอยู่เสนอเมื่อยามเวลาเปลี่ยนแปลงไป โดยท่านจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดคลาสสิก พร้อมดนตรีแจ๊สสุดตราตรึง แสงไฟสลัวพร้อมบรรยากาศสุดคูลท่ามกลางเสียงแซ็กโซโฟนและเปียโนสดทุกค่ำ สะท้อนค่ำคืนที่นี่มีกลิ่นอายแจ๊สคลับนิวยอร์กยุค 50s อย่างชัดเจน โดยประสบการณ์ทุกอย่างจะทำให้ค่ำคืนนี้ของทุกท่าน กลายเป็นประสบการณ์อันสมบูรณ์แบบ Decoration เพดานต่ำบุหวาย ไฟสลัว และกลิ่นซิการ์จาง ๆ ทันทีที่ประตูกระจกปิดลง คุณจะรู้สึกราวกับถูกย้อนเวลากลับไปกรุงเทพฯ ยุคอดีต โดย The Bamboo Bar ได้รักษามนต์ขลังของแจ๊สบาร์เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ทั้งเคาน์เตอร์ไม้สีเข้มประดับหวายสาน เก้าอี้หนังบุหมุดทองเหลือง และโต๊ะกลมขอบมีเทียนไขส่องประกายกับแก้วคริสตัล พร้อมเสียงแซ็กโซโฟนและดนตรีสดยามค่ำคืน ล้วนทำให้ The Bamboo Bar เป็นบาร์ที่มีชีวิตชีวา และทำให้ชีวิตยามค่ำคืนของทุกท่านเปี่ยมไปด้วยสีสัน พร้อมการมี Dress Code ที่หลัง 18.30 น. ขอให้สุภาพบุรุษต้องสวมกางเกงขายาว รองเท้าเต็มข้อ งดเสื้อแขนกุด รองเท้าแตะทุกชนิด สุภาพสตรีเน้นชุดสุภาพเรียบหรู ทำให้รักษาบรรยากาศ และ Theme ของบาร์เอาไว้ได้เป็นอย่างดี The Bamboo Bar ตั้งอยู่ในโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ท่านสามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวกโดยรถยนต์ มีที่จอดรถพร้อมให้บริการ และด้วยบรรยากาศความขลังแห่งย่านเจริญกรุง คุณจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศความศิวิไลซ์แห่งเมืองกรุงเทพฯ ทั้งในยามกลางวันที่คึกคัก จวบจนยามค่ำคืนที่แสงไฟไม่เคยลับลา Drinks เมนูล่าสุดออกแบบโดยบาร์เมเนเจอร์ Chanel Adams ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Evolution”…
Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารทุกท่าน วันนี้พวกเราทีมงาน Kinandleisure ก็มีร้านอาหารดีๆ และเทศกาลอาหารที่น่าประทับใจมานำเสนอและบอกเล่าประสบการณ์อีกเช่นเคย ซึ่งรอบนี้ขอการันตีได้เลยเป็นเทศกาลอาหารที่หาทานไม่ได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน โดยเมื่อขึ้นลิฟต์ไปชั้น 59 ขึ้นบันไดหน้าห้องอาหารไปยุน แล้วเลี้ยวเข้ามาใน Vertigo Too ที่น่าคุ้นเคยและยังรู้สึกเหมือนเดิม คือการได้รับยลโฉมแสงเมืองกรุงเทพฯ ยามอัสดงและยามค่ำคืน พร้อมบรรยากาศสุดคูล โซฟากำมะหยี่สีเข้มสุดเรียบหรูรับหลังได้พอดี และโซนห้องอาหารที่น่าดื่มด่ำไปกับค่ำคืนอันน่าประทับใจ เพียงแต่คืนนี้บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากการตกแต่งที่แตกต่าง จากนิทรรศการทางอาหารที่ทำให้เราได้เข้าถึงรสชาติอันไม่คุ้นเคยที่น่าค้นหา กับคอนเซ็ปต์ “A Taste of Morocco” ที่โรงแรมนำมาเสิร์ฟช่วง 14–25 กรกฎาคม ศกนี้ Location Vertigo Too เป็นห้องอาหารที่เรารู้กันดีว่าเน้นวิวเมืองแบบเต็มตา ด้วยบรรยากาศแบบพาโนรามาให้เห็นท้องฟ้าของกรุงเทพ (ถ้ามาตอนก่อนพระอาทิตย์ตกดิน จะได้บรรยากาศที่สวยงามมากๆ) โดยมีจุดเด่นคือห้องอาหารพร้อมเสิร์ฟค็อกเทลดี ๆ และมีอาหารที่ปรับเปลี่ยนตามธีมอยู่ตลอดเวลา มีการจัดอีเว้นตลอดปีไม่มีเบื่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในโลเคชั่นที่น่ามาเยี่ยมชมและรับประทานอาหารสักครั้ง หรือสำหรับท่านที่ต้องการรับลมชมวิวแบบเต็มตัวเต็มใจ ด้านบนก็ยังเป็นโซนของ Vertigo ซึ่งเป็นหนึ่งในโลเคชั่นยอดฮิต ด้วยวิวสุดตระการตายามค่ำคืนที่พร้อมให้ทุกท่านได้สัมผัส A Taste of Morocco โดยนิทรรศการอาหารในค่ำคืนนี้ นำทีมโดย เชฟ Mohamed Bellote จาก Angsana Heritage Collection, Marrakech Riads ผู้ที่คุ้นเคยกับอาหารโมร็อกโกขนานแท้เป็นอย่างดี และพิสูจน์ความสามารถด้วยการปรับอาหารให้กินง่ายขึ้นและมีความเป็นสากลมากขึ้น โดยเมนูออกแบบเป็น 5 คอร์ส โดยมีลักษณะเป็น Sharing menu ตามสไตล์อาหารโมร็อกโก สุทธิราคาที่ 1,999 บาท/ท่าน โดยจุดที่ชอบคือลักษณะการเสิร์ฟอาหารแบบ Sharing ที่ไม่ใช่แค่คำเก๋ ๆ แต่สอดคล้องกับวัฒนธรรมการกินแบบครอบครัวของที่นั่นจริง ๆ เรียกได้ว่า จานกลางวางลงมา เราตักแบ่งกัน พูดคุย แลกเปลี่ยน (และคุยกันเล่นๆ กันว่าอะไรคือ Ras…
Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันนี้พวกเราทีมงาน Kinandleisure ขอเชิญทุกท่านเข้าไปสำรวจและค้นหาถึงกลิ่นอายความเป็นไทยดั้งเดิม ด้วยอาหารพื้นบ้านแถบอีสาน ที่นำเสนอออกมาในรูปแบบ High Casual ให้เรารู้ได้ว่าเมืองไทย วัตถุดิบไทย และอาหารไทย นั้นดีเยี่ยมและมีเอกลักษณ์ที่น่าหลงใหลไม่แพ้อาหารชาติใดๆ ในโลกเลย ซึ่งสำหรับวันนี้ขอเชิญพบกับร้าน แก่นกรุง (Kaenkrung) ที่จะมาร่ายเวทย์มนต์ให้ทุกท่านหลงไหลไปกับรสชาติอาหารไทยที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ การันตีด้วยดีกรีระดับมิชลิน ไกด์ ที่พร้อมจะมาเจาะถึงแก่น ทั้งรสชาติ สูตรครัวเก่า ด้วยวัตถุดิบท้องถิ่น และฝีมืออันพิถีพิถันแบบคนทำอาหารจริง ๆ สำหรับร้านแก่นกรุง ตั้งอยู่บนถนนอรุณอัมรินทร์ เลยโรงพยายามศิริราชไปเล็กน้อย ท่านที่เดินทางมาด้วยรถยนต์สามารถจอดรถได้ที่จุดจอดรถต่าง ๆ ในย่านใกล้เคียงไม่ไกลได้ หรือจะเดินทางด้วยเรือ ลงที่ท่าวัดระฆังแล้วเดินมาก็สะดวกเช่นกัน โดยผมไปช่วงมื้อกลางวัน แดดกรุงเทพฯ ยังแรงอยู่ แต่พอเปิดประตูเข้าไป กลับได้บรรยากาศเย็นนิ่ง เสียงจราจรด้านนอกถูกตัดออกไป และได้กลิ่นหอมของสมุนไพรที่ลอยมาจากครัวเปิดเล็ก ๆ ด้านหลัง ห้องไม่ใหญ่ โต๊ะเว้นกันพอดีให้คุยได้สบาย มีความเรียบง่าย สบายๆ แต่ทุกอย่างมีความตั้งใจและพร้อมสนับสนุนให้สายตาไปโฟกัสที่จานอาหารมากกว่า โดยมีการบอกเล่าที่มาของวัตถุดิบจากฝาผนังที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ โทนเขียวสบายตา บรรยากาศน่านั่งเป็นอย่างยิ่ง Concept ร้านอาหารแก่นกรุง คือจุดลงตัวของการรับและปรับตำรับไทยเก่าที่บางจานหาทานแทบไม่ได้ และมีบางจานเป็นอาหารที่มีความนิยม โดยทีมเชฟยกมาปรับรสชาติและการนำเสนอใหม่เพื่อให้เข้ากับลักษณะการเสิร์ฟและสไตล์ของร้าน แต่ยังคงความเป็นไทยชัดเจน โดยเฉพาะความสำคัญของ เครื่อง และ พริกแกง ต่างๆ ที่ร้านทำเองทั้งหมด วัตถุดิบถูกเลือกจากแหล่งต่างๆ ทั่วประเทศ และรวมถึงวัตถุดิบที่สามารถหาได้ง่ายใกล้ๆ กับสถานที่ตั้ง ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่แค่เพื่อความยั่งยืน แต่เพื่อให้รสชาติที่ออกมาสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของไทยอย่างแท้จริง จากทีมเชฟคุณภาพคับแก้ว ทั้งเชฟจิ๊บ เชฟไพศาล และเชฟกอล์ฟ กับความตั้งใจที่ไม่ได้ทำให้ร้านนี้เป็นเพียงร้านอาหารไทยร่วมสมัย แต่เป็นพื้นที่ที่เอา “หัวใจอีสาน” มาปรับจังหวะให้เข้ากับเมือง โดยยังคงเรื่องราวของวัตถุดิบ คนปลูก และภูมิปัญญาท้องถิ่นเอาไว้ครบ โดยสะท้อนตั้งแต่การที่ร้านเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นแทบทั้งหมด ทั้งผักพื้นบ้านตามฤดูกาล หมูหมักจากชุมชน เนื้อโคดำเลี้ยงแบบยั่งยืน ฯลฯ สะท้อนแนวคิดที่ว่ารสชาติที่ดีเริ่มจากของที่ถูกเลี้ยงดี และการกินควรสะท้อนกลับไปหาคนปลูกด้วย ด้วยเหตุนี้ ข้าวเหนียวหนึ่งกำที่คุณตักขึ้นมา จึงไม่ใช่แค่ข้าว แต่คือองค์ประกอบที่ผสมผสานทั้งจานหยาดเหงื่อแรงงาน…
Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการผจญภัยทางอาหาร และผู้ที่แสวงหาอาหารอร่อยพร้อมสุดยอดประสบการณ์ทุกท่านครับ สำหรับวันนี้พวกเราทีมงาน Kineandleisure จะขออุนญาตกล่าวคำทักทายด้วยคำว่า “นมัสเต” เพราะวันนี้พวกเราจะพาท่านมาสัมผัสกับอาหารอินเดียแบบไฟน์ไดนิ่งที่หาทานได้ยากยิ่ง โดยวันนี้เป็นเวลาของร้านอาหาร Jhol ร้านอาหารอินเดียสไตล์ไฟน์ไดนิ่งชื่อดังบนย่านถนนสุขุมวิท ซึ่งจากการได้มาสัมผัสกับอาหารร้านนี้ เรียกได้ว่าเป็นการทำให้รู้ได้เลยว่า อาหารอินเดีย เป็นอาหารที่มีศักยภาพสูงมาก และลบภาพจำเก่า ๆ เกี่ยวกับอาหารอินเดียที่เคยเห็นได้เลย ซึ่งสำหรับท่านที่ริเริ่มทดลองทานอาหารอินเดีย ที่นี่ ขอบอกได้เลยว่าเป็น Entry Point ที่ดีมากๆ เลยครับ มนเสนห์แห่งแดนภารตะย่านชายฝั่งบนโต๊ะอาหาร คำว่า “Jhol” ในภาษาพูดชาวมุมไบแปลว่า ความซุกซน ซึ่งคำนี้สามารถสื่อถึงอารมณ์ตั้งต้นและคาแรคเตอร์ของร้านไฟน์ไดนิ่งสัญชาติอินเดียในกรุงเทพฯ แห่งนี้ ที่กล้าทำลายภาพจำเกี่ยวกับอาหารอินเดียแบบเดิม เรียกได้ว่าลืมไปเลยกับแกงสีเข้มๆ และแผ่นโรตีหนา ๆ แล้วแทนที่ด้วยรสทะเลเคล้ากลิ่นเครื่องเทศจาก 9 รัฐริมชายฝั่งยาว 7,516 กิโลเมตรของอินเดีย โดยห้องอาหารที่น่าสนใจนี้ มีผู้อยู่เบื้องหลังคือ เชฟ Hari Nayak ผู้คร่ำหวอดอาหารอินเดียที่เคยทำอาหารในนิวยอร์ก โดยได้ขนเทคนิคล้ำยุคกลับมาร้อยเรียงเข้ากับความทรงจำริมมหาสมุทรอาหรับและเบงกอลจนได้รางวัลติดมิชลินไกด์ต่อเนื่องหลายปี รวมถึงได้รางวัลของสื่อชื่อดังอื่น ๆ เช่น Tatler อีกด้วย โดยร้านนี้ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 18 ใกล้ BTS อโศก/ MRT สุขุมวิท โดยถ้านำรถมาเองสามารถนำรถได้จอดได้ที่โรงแรมที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล โดยทางร้านสามารถแสกนบัตรจอดรถให้ได้ครับ 1. การจัดสรรพื้นที่ (Spatial Planning): การแบ่งพื้นที่เป็นส่วนๆ อย่างชัดเจนแต่ลื่นไหล คือจุดเด่นที่น่ากล่าวถึง เริ่มตั้งแต่ส่วนแรกที่เปิดรับ (Reception/Bar Area) ที่มีเพดานสูงและพื้นกระเบื้องลวดลายกราฟิกที่ดึงดูดสายตา เป็นการสร้างความประทับใจแรกที่เต็มไปด้วยพลังงาน ถัดมาคือส่วนรับประทานอาหารที่ถูกแบ่งด้วยโครงสร้างซุ้มประตู (Archway) ที่เป็นจังหวะต่อเนื่องกัน การใช้ซุ้มประตูนี้ไม่เพียงแต่เป็นองค์ประกอบตกแต่ง แต่ยังทำหน้าที่ลดทอนสเกลของพื้นที่ให้ดูอบอุ่นและเป็นส่วนตัวมากขึ้น เป็นการสร้างลำดับการรับรู้ (Spatial Sequence) ที่น่าสนใจจากพื้นที่กึ่งสาธารณะเข้าสู่พื้นที่ที่ใกล้ชิดมากขึ้น 2. องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม (Architectural Elements): การหยิบยืมรูปแบบสถาปัตยกรรมอินเดียยุคโบราณและ Colonial มาใช้เป็นแกนหลักนั้นเห็นได้ชัดเจน การใช้ซุ้มโค้ง…
Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันนี้พวกเรา ทีมงาน Kinandleisure ก็มีร้านอาหารดี ๆ มาแนะนำกันอีกเช่นเคยครับ โดยสำหรับคิวในวันนี้นั้น เป็นร้านอาหารจีนที่ขอบอกเลยว่า มีวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยงามอย่างไม่มีใครเหมือนเลยทีเดียว ใช่แล้วครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงร้านอาหารของโรงแรม Chatrium Hotel Riverside Bangkok โดยตั้งตระหง่านอยู่ในบนชั้น 36 ซึ่งเป็นมุมพอดิบพอดีที่จะได้รับชมธรรมชาติแห่งสายน้ำ ไปพร้อมกับแสงไฟยามค่ำคืน โดยเราขอนำเสนอ ห้องอาหาร Silver Waves by Boon ซึ่งเป็นร้านอาหารจีนร่วมสมัย ซึ่งขอบอกว่ารสชาติคุ้มค่าคุ้มราคาอย่างแน่นอนครับ ก่อนอื่น ขอบอกว่าร้านนี้ ที่จริงได้โลดแล่นมานานกว่าทศวรรษแล้ว แต่กลับมาทำการพลิกโฉมครั้งใหญ่ให้ไฉไลกว่าเดิม ภายใต้ฝีมือ เชฟ Ho Chee Boon เซฟผู้เป็นอดีตหัวเรือใหญ่ของห้องอาหารเครือ Hakkasan ผู้คว้าดาวมิชลินมาแล้ว ประกอบกับประสบการณ์ในครัวกว่า 35 ปีในวงการ ทำให้เชฟเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าต้องยกระดับอาหารกวางตุ้งอย่างไรให้ร่วมสมัยแต่ไม่ทิ้งรากฐานดั้งเดิม ด้วยเหตุนี้ ร้านจึงถูกตั้งชื่อเติมท้ายว่า by Boon เพื่อการันตีลายเซ็นของเชฟ โดยสำหรับอาหารทุกจาน สำรับทุกอย่าง มีความใส่ใจและพิถีพิถันตั้งแต่เทคนิคผัดไฟแรงกระตุ้นไอกระทะร้อน ๆ ไปจนถึงการใช้วัตถุดิบคุณภาพทั้งจากแหล่งดั้งเดิมและท้องถิ่นเพื่อรังสรรค์อาหารจานใหม่อย่างกลมเกลียว ทิวทัศน์สีครามยามอัสดง เมื่อก้าวออกจากลิฟต์สู่ชั้น 36 ของ Chatrium Hotel Riverside Bangkok ความประทับใจแรกเริ่มขึ้นทันทีจาก “โถงต้อนรับ” ที่ไม่ได้มาแบบธรรมดา — ประตูโค้งเคลือบเงาสะท้อนแสงราวกับผิวน้ำยามพลิ้วไหว ช่วยพาผู้มาเยือนก้าวเข้าสู่มิติใหม่ของห้องอาหารจีนในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน คอนเซ็ปต์ของ Silver Waves by Boon ในครั้งนี้คือ “การนิยามร้านอาหารจีนใหม่” โดยหยิบเอากลิ่นอายความคลาสสิกของร้านอาหารจีนดั้งเดิมมาผสานกับเส้นสายและแสงไฟที่ถูกจัดวางอย่างตั้งใจ เส้นโค้งนุ่มนวลในทุกมุมของร้านถูกเน้นย้ำด้วยไฟสีอ่อนอุ่น ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ทันสมัย และมีชั้นเชิง ภายในร้านแบ่งเป็นหลายโซนอย่างชัดเจน — มีห้องส่วนตัวขนาดใหญ่สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง เหมาะแก่การจัด Working Dinner หรือสังสรรค์ครอบครัวแบบไม่ขาดความสง่างาม ขณะที่โซนห้องอาหารหลักก็ให้ความสำคัญกับระยะห่างของโต๊ะอาหาร ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแม้ในพื้นที่เปิดโล่ง และที่ถือเป็นไฮไลต์ที่สุดคือ วิวแม่น้ำเจ้าพระยา…
Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A “Do Androids Dream of Electric Sheep?” – Philip K. Dick สวัสดีผู้อ่านสายชิมและผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันนี้พวกเราทีมงาน Kinandleisure ก็มีร้านอาหารลับๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ มาเอาใจนักสำรวจแห่งวัฒนธรรมอาหารทุกท่านอีกเช่นเคย โดยในค่ำคืนนี้เราจะพาท่านไปสัมผัสกับอาหารที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอาหารแถบเมดิเตอร์เรเนียน ควบคู่ไปกับการใช้วัตถุดิบต่าง ๆ จากท้องถิ่น ที่ร่วมกันสร้างสรรค์อาหารสุดเลิศรสให้ประจักษ์แก่สายตาและชิวหาของทุกท่าน โดยวันนี้เราจะพาทุกท่านขึ้นลิฟต์เหล็กสุดคลาสสิค ขึ้นสสู่ชั้นสี่ของอาคาร The Warehouse กลางตลาดน้อย เพื่อเปิดประตูสู่ร้านอาหาร “Electric Sheep” ห้องแลบอาหารลูกผสมที่จุดประกายให้เราตั้งคำถามว่า มนุษย์จะฝันถึงอาหารที่ยั่งยืนได้จริงหรือไม่? โดยจะเป็นอย่างไรนั้น เราไปรับชมกันเลยครับ Location เมื่อเท้าสัมผัสพื้นคอนกรีตดิบ ๆ และแสงนีออนสีอ่อนและแสงนีออนที่สะท้อนอยู่เหนือศรีษะ คุณจะรู้สึกราวกับหลุดเข้าไปในฉากในหนังเรื่อง Blade Runner สไตล์แนวไซเบอร์พังก์ที่ให้ความสวยงามแบบมีสไตล์และแปลกตา จนแวบแรกแทบจะไม่เชื่อว่าร้านนี้นั้นขายอาหาร ตามด้วยห้องเก็บของหมัก ที่เก็บกักสุดยอดวัตถุดิบที่ทางร้านทำการหมักขึ้นเองอย่างใส่ใจในทุกรายละเอียด ตลอดจนถึงได้พบกับสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ที่ปลูกเองบนดาดฟ้าชั้นลอยลอย เกิดเป็นบรรยากาศที่น่าอัศจรรย์ ว่าเรากำลังเข้าสู่ห้องอาหารสไตล์แลปกลางเมือง ที่ให้ทั้งบรรยากาศใหม่ๆ ในวงการไฟน์ไดนิ่ง และสร้างโรแมนติกและเป็นกันเองได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้งนี้ ท่านสามารถเดินทางมาถึงตึกได้อย่างสะดวกด้วยรถยนต์ สามารถจอดรถยนต์บริเวณข้างทาง หรือตรงไปอีกนิด จะเจอจุดจอดรถแบบเสียค่าบริการ ทำให้การเดินทางมาเยือนร้านอาหารลับ ๆ ที่น่าพิศวงนี้ทำได้โดยสะดวก Nature – Culture – Future สองเชฟคู่หู Amerigo Tito Sesti และ Yoan Martin (อดีตหัวเรือใหญ่ของร้าน J’aime Bangkok ซึ่งเป็นร้านอาหารระดับมิชลิน) ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้เกิดขยะอาหารขึ้นจากการทำอาหารใด ๆ จึงเป็นเหตุให้นำมาสู่การคิดค้นเมนูอาหารสไตล์ “ยั่งยืน” ผ่านเมนูสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยส่วนที่เป็นรสชาติลับที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านอาหาร ทางพนักงานผู้เชี่ยวชาญจะทำทั้งการ หมัก ดอง วัตถุดิบต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งของหมักดองจะทำให้เกิดรสชาติใหม่ที่หาลิ้มลองที่ใดได้ยากยิ่ง…
Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารอร่อยทุกท่าน วันนี้พวกเรา ทีมงาน Kinandleisure ขอแจ้งข่าวดีกับทุกท่านว่า ร้าน Hei Yin ซึ่งเป็นร้านอาหารจีนสุดเลิศรสขวัญใจคออาหารจีนอย่างเรา ๆ ได้มีการดึงตัวเชฟใหม่มาเพิ่มเติมเสริมทัพกันอีกถึงสองท่าน ได้แก่ เชฟนราพงษ์ กองคำ (Executive Sous Chef) ผู้มากประสบการณ์กว่า 20 ปีในครัวอาหารจีนทั้งในและต่างประเทศ และเชฟชิงเฉียง เติ้ง (Executive Sous Chef – Dim Sum) ผู้เชี่ยวชาญด้านติ่มซำจากฮ่องกง โดยทั้งสองมาร่วมสร้างสรรค์เมนูใหม่ร่วมกับเชฟใหญ่ของร้าน เชฟ แจ็คกี้ ชาน มาร่วมกันรังสรรค์สุดยอดเมนูอาหารจีนหลากรสหลายสไตล์ ทั้งจีนดั้งเดิม จีนประยุกต์ หรือแม้กระทั่งติ่มซำสุดสวยงามในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น เราไปรับชมกันเลยครับ Location ร้าน Hei Yin ตั้งอยู่บนศูนย์การค้าเกษรวิลเลจ ด้วยการตกแต่งภายนอกโทนสีเขียวเข้ม (เขียวไข่กา) ตัดกับสีทองและน้ำตาล ทำให้บรรยากาศดูหรูหราแต่ไม่อึดอัด พร้อมกับแสงไฟอุ่นๆ และโครงสร้างสถาปัตยกรรมตกแต่งภายในที่บ่งบอกได้ถึงความพิถีพิถันและใส่ใจ ทั้งโครงแบบโค้งสบายตา ไฟที่ประดับด้วยขนห่าน รวมถึงห้องอาหารที่มีหลายขนาด ทำให้สามารถสังสรรค์ได้แบบเป็นส่วนตัว นห้องอาหารตกแต่งร่วมสมัย บรรยากาศอบอุ่นหรูหรา เหมาะกับงานฉลองพิเศษและครอบครัว ด้วยผนังไม้และเฟอร์นิเจอร์สีเอิร์ธโทนเข้ากับโคมไฟดีไซน์จีนทันสมัย พร้อมชูจุดเด่นในการนำเสนอ อาหารจีนกวางตุ้งดั้งเดิมในมุมมองแบบร่วมสมัย เพื่อเชื่อมโยงรสชาติแบบดั้งเดิมกับการสร้างสรรค์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความหรรษาในมื้ออาหารอันล้ำค่านี้ โดยทางร้าน มีบริการห้องจัดเลี้ยงแบบส่วนตัวให้บริการทั้งสิ้น 4 ห้อง ซึ่งมีขนาด การตกแต่ง และธีมของห้องที่แตกต่างกันไป ประกอบด้วย ห้อง Mountain (รองรับ 16 ท่าน) ห้อง Sea (รองรับ 10 ท่าน) สีน้ำเงินสวยงามประดุจมานั่งทานอาหารใต้ท้องทะเล ด้วยการตกแต่งด้วยสีน้ำเงินและลวดลายคลื่น ที่มาพร้อมกับโคมไฟฟองน้ำแห่งท้องทะเล ห้อง Earth (รองรับ 8 ท่าน) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธาตุดินและไม้ ที่ให้สีในเอิร์ทโทน…
Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A Chef : Simon Kin / Cuisine : Chinese Cuisine/Fine dining สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันนี้พวกเราทีมงาน Kinandleisure ก็มีร้านอาหารดี ๆ และโปรโมชั่นดีๆ มาแนะนำกันอีกเช่นเคย สำหรับในวันนี้เป็นคอลัมม์สำหรับคอติ่มซำอย่างเราๆ ครับ โดยต้องขอกระซิบบอกว่า ห้องอาหาร Bai Yun แห่งโรงแรมบันยัน ทรี กรุงเทพฯ ช่วงนี้ได้มีการจัดโปรโมชั่น Dimsum All-You-Can-Eat ซึ่งคุณภาพขอบอกเลยว่าคับแก้วและคุ้มค่า คุ้มราคาเป็นอย่างยิ่ง สำหรับรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น เราได้รับชมกันได้เลยครับ Location Bai Yun at Banyan Tree Bangkok การตกแต่งภายใน: ความเรียบหรูที่แฝงด้วยกลิ่นอายจีนเหนือขอบฟ้าเมืองกรุง ห้องอาหาร Bai Yun ที่ตั้งอยู่บนชั้น 59 ของโรงแรม Banyan Tree Bangkok ได้เผยเสน่ห์แห่งความสง่างามที่ยากจะละสายตา โดยเฉพาะการตกแต่งภายในที่ถ่ายทอดอัตลักษณ์จีนร่วมสมัยได้อย่างมีรสนิยม ก้าวแรกท่านจะพบกับแท่งน้ำที่ประดับด้วยไฟสีน้ำเงิน และงานศิลป์รูปก้อนเมฆสีขาว ตัวห้องอาหารออกแบบโดยคำนึงถึง “มุมมอง” เป็นหลัก — ผนังกระจกใสบานสูงทอดยาวจากพื้นจรดเพดานเปิดรับวิวเมืองอย่างเต็มตา เสริมความรู้สึกโปร่งโล่งและหรูหราราวกับลอยอยู่เหนือมหานคร ดวงไฟในห้องลดแสงลงอย่างพอเหมาะเพื่อเน้นแสงธรรมชาติและทัศนียภาพภายนอกให้เป็นพระเอก โทนสีของห้องเน้นความเรียบขรึม — ผ้าปูโต๊ะสีน้ำเงินกรมเข้มตัดกับจานเซรามิกใสและแก้วไวน์โปร่งใสอย่างสง่างาม เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มผสมผสานรายละเอียดแบบจีนดั้งเดิม เช่น พนักพิงลายเรขาคณิตและเส้นสายตรงแนว ชวนให้นึกถึงความกลมกล่อมระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ผนังด้านในตกแต่งด้วยลวดลายหกเหลี่ยมแบบโมเดิร์น เติมลูกเล่นด้วยการจัดแสง soft amber จากโคมไฟแนวตั้ง ช่วยสร้างมิติและความอบอุ่นให้กับพื้นที่รับประทานอาหารแบบ fine dining โดยไม่ดูทางการจนเกินไป แม้จะอยู่สูงเหนือพื้นดินหลายร้อยฟุต แต่ Bai Yun กลับสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น เป็นกันเอง ด้วยองค์ประกอบเล็กๆ อย่างแจกันดอกไม้สดบนโต๊ะที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน และการจัดโต๊ะที่เว้นระยะอย่างสบาย ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแต่ไม่ปิดกั้นสายตาจากวิวเบื้องล่าง ไม่ว่าจะมากี่ครั้ง ผมก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่ตลอด…