Author: Kittin Assavavichai

พวกเรามักทราบดีว่าการทานผักผลไม้ที่มีสีเหลือง สีแดง สีส้ม ช่วยทำให้ดวงตามีสุขภาพดี เพราะในผักผลไม้เหล่านั้นมีสารที่ชื่อว่าเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ซึ่งเป็นวิตามินเอ (Vitamin A) รูปแบบหนึ่ง สารนี้ทำให้จอประสาทตาของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่นอกจากเบต้าแคโรทีนจากผักผลไม้พวกนี้แล้ว อาหารชนิดอื่นก็เป็นแหล่งของสารที่ช่วยบำรุงดวงตาของเราได้อีกด้วย เพจกินแหลกเราขอเสนออาหาร 5 อย่างที่มีสารสำคัญต่อดวงตาครับ 1) Leafy greens ผักใบเขียวเป็นแหล่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ ว่า ลูทีน (Lutein) และซีแซนทิน (Zeaxanthin) งานวิจัยทางการแพทย์หลายฉบับยืนยันว่าสาร 2 ตัวนี้สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะจอตาเสื่อมและต้อกระจกได้ 2) Eggs นอกจากผักใบเขียวแล้ว ไข่แดงก็ยังเป็นแหล่งของลูทีนและซีแซนทีน รวมไปถึงธาตุสังกะสี (Zinc) ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะจอตาเสื่อมได้เช่นกัน 3) Citrus & Berries ผลไม้เหล่านี้มีปริมาณวิตามินซี (Vitamin C) สูงมาก ซึ่งวิตามินซีสามารถป้องกันภาวะจอตาเสื่อมและต้อกระจกได้ด้วย 4) Almonds ถั่วอัลมอนด์มี วิตามินอี (Vitamin E) ปริมาณมาก งานวิจัยพบว่าวิตามินอีช่วยชะลอภาวะจอตาเสื่อมได้เช่นกัน การทานถั่วอัลมอนด์ปริมาณ 1 กำมือ (ประมาณ 1 ออนซ์) จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่ร่างกายต้องการใน หนึ่งวัน 5) Fatty Fish ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาแอนโชวี ปลาเทร้าท์ ปลาทะเลน้ำลึกเหล่านี้เป็นแหล่งอุดมไปด้วยกรดไขมันที่เรียกว่า DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้ในจอประสาทตาของเราด้วย นอกจากนี้หากร่างกายมีกรดไขมันชนิดนี้น้อยจะทำให้เกิดภาวะตาแห้งอีกด้วย เมื่อทุกท่านทราบดีถึงประโยชน์ของอาหารดีๆเหล่านี้ อย่าลืมลองแวะหามากินกันบ่อยๆนะครับ เรียบเรียงโดย Dr. N.Apirath, Ophthalmologist. KinHealthy Team.

Read More

12/8/15 อาหารเป็นปัจจัยหลักในการคงความสมบูรณ์ของสุขภาพสำหรับ สตรีวัย 60 ปีขึ้นไป ผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่ออายุเข้าถึง 60 ปีก็จะหมดประจำเดือนอย่างสมบูรณ์ และอาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลายๆอย่าง รวมถึง น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นและเมตาบอลิซึม (การเผาผลาญพลังงานของร่างกาย) ลดลง ดังนั้นการดูแลสุขภาพให้ดีโดยการควบคุมเรื่องอาหารและออกกำลังกายอย่าง สม่ำเสมอจะช่วยป้องกันโรคต่างๆและปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพร่างกาย ที่เสื่อมถอยลง วัยหมดประจำเดือนกับสุขภาพผู้หญิงส่วนใหญ่จะเข้าสู่วัย หมดประจำเดือนตั้งแต่ก่อนอายุ 60 ปี การขาดประจำเดือนติดต่อกันมากกว่า 12 เดือนก็ถือว่าเป็นวัยหมดประจำเดือนอย่างเต็มตัว ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงถึง 40-60 เปอร์เซนต์ ส่วนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนก็จะถูกหยุดสร้างอย่างสมบูรณ์ การลดลงของฮอร์โมนเพศอย่างมากนี้ทำให้ผู้หญิงวัย 60 ปีได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปของร่างกายและมีความเสี่ยงกับการเกิดโรคต่างๆมาก ขึ้น อัตราการเผาผลาญพลังงานลดลงจะทำให้มีแนวโน้มน้ำหนักเพิ่มขึ้น การหมดประจำเดือนก็ยังทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรค กระดูกพรุน ปริมาณพลังงานที่ควรบริโภคสำหรับหญิงวัยหมดประจำเดือนควร เลือกรับประทานอาหารแคลอรีต่ำเนื่องจากอัตราเมตาบอลิซึมของร่างกายลดลง โดยธรรมชาติแล้วอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ความอยากอาหารลดลง บางท่านอาจรู้สึกได้ว่าต้องการแคลอรีให้ร่างกายน้อยกว่าเดิม มีคำแนะนำสำหรับผู้หญิงวัยนี้ว่าควรรับประทานเมื่อรู้สึกหิวเท่านั้นและ บริโภคอาหารให้เพียงพอที่ทำให้ไม่รู้สึกหิว การทานอาหารมื้อเล็กๆหลายๆครั้งในแต่ละวันอาจดีกว่าทานมากๆในมื้อเดียว สารอาหารและอาหารควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีปริมาณไขมัน เกลือโซเดียม และสารกันเสียมากเกินไป ควรทานอาหารหลายๆอย่างให้สมดุล ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ นม ธัญพืช ไขมันดี และน้ำเปล่า โดยเฉพาะผักและผลไม้เป็นสิ่งที่สำคัญมากในผู้หญิงวัยนี้ การบริโภคผักสดที่มีสีสันหลากหลายและน้ำผักผลไม้เป็นประจำเป็นทางที่ดีทาง หนึ่งในการป้องกันร่างกายจากโรคหัวใจและมะเร็ง ผักและผลไม้มีปริมาณสารแอนตีออกซิแดนท์และวิตามินสูงซึ่งสามารถช่วยป้องกัน โรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย การออกกำลังกาย นอกจากอาหารแล้วการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็เป็นสิ่ง จำเป็นในหญิงวัย 60 ปี ในวันหนึ่งๆควรหาโอกาสออกกำลังอย่างน้อยให้ได้ 30 นาที การออกกำลังจะช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึมและเผาผลาญไขมัน ท่านอาจออกกำลังโดยใช้กิจกรรมประจำวันต่างๆเช่น ทำสวน เต้นรำ ขี่จักรยาน เดิน ฯลฯ การออกกำลังโดยแอโรบิคและการฝึกความแข็งแรงจะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เร่งอัตราเมตาบอลิซึม และเพิ่มความแข็งให้กระดูก การออกกำลังกายจึงช่วยป้องกันจากโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ และมะเร็งได้ การขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหากมีข้อสงสัยก็ควรไปปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการ เปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้น รวมถึงความกังวลเรื่องการรับประทานอาหาร หากท่านคิดว่าต้องการเปลี่ยนแปลงเรื่องอาหารการกินอย่างจริงจังก็ควรไปพูด คุยปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้กระจ่าง หญิงวัย 60 ปีขึ้นไปโดยมากแล้วแพทย์จะแนะนำให้ทานแร่ธาตุและวิตามินบางชนิดเสริม เช่น แคลเซียม วิตามินดี สังกะสี วิตามินบี 12 ทั้งนี้ท่านควรสอบถามแพทย์ก่อนว่าตัวท่านมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับสาร อาหารเหล่านี้เสริมจริงหรือไม่ หรือการทานอาหารอย่างเดียวก็เพียงพอสำหรับตัวท่านแล้ว โดย Dr.Apirath N. , Chief…

Read More

ด้วยไลฟ์สไตล์สมัยนี้ ทำให้หลายคนต้องพึ่งพาอาหารขยะที่มีไขมันสูงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย แต่รู้หรือไม่ว่า อาหารประเภทนี้ไม่ดีต่อสุขภาพสมองด้วยทุกคนทราบดีว่าอาหารขยะ หรือ Junk food เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และยังทำให้อ้วนด้วย แต่ทราบหรือไม่ว่าเมื่อเราบริโภค Junk food เหล่านี้ต่อเนื่องไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง จะทำให้สมองในส่วนระบบความรับรู้เราถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน โดยผลการวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์แสดงให้ เห็นว่า หนูทดลองที่ได้รับการป้อน Junk food อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีปริมาณไขมันและน้ำตาลสูง เป็นระยะเวลาราว 1 สัปดาห์ จะแสดงอาการหลงๆ ลืมๆ เริ่มจดจำสถานที่ไม่ค่อยได้ และไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบข้างได้ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ หนูทดลองยังมีอาการสมองอักเสบ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเรื่องความทรงจำ โดยหนึ่งในทีมวิจัยได้เปิดเผยว่า เธอรู้สึกทึ่งมากกับผลการทดลองที่ออกมา เพราะผู้คนมักจะเพ่งเล่งเรื่องไขมันกับความอ้วนเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าคือผลกระทบต่อสมอง และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ เริ่มต้นขึ้นก่อนที่หนูทดลองจะอ้วนเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อลองเปลี่ยนอาหารของหนูทดลองกลับมาเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพอีกครั้ง พบว่า การทำงานของสมองก็ไม่ได้ดีขึ้น ซึ่งหากเชื่อมโยงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนูทดลองสามารถเกิดขึ้นกับคนเราได้ เช่นกันแล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองควรจำกัดการบริโภคของลูกน้อยตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะเกิดปัญหาสุขภาพตามมา เมื่อทุกท่านทราบดีถึงประโยชน์ของอาหารเช้าแล้ว กินมันกันเถอะเพื่อสุขภาพและชีวิตของพวกเรา แปลและเรียบเรียงโดย Kinlake Stars Team ——————————————————————————————————————————————– AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB AA BB…

Read More

12/8/15 การกินวิตามินกำลังกลายเป็นเทรนด์ฮิตทั้งในไทยและในต่างประเทศ เดี๋ยวนี้ไปทางไหนก็มีแต่คนกินวิตามินกันเป็นกำๆ โดยไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาด มีทั้งวิตามินช่วยเรื่องสุขภาพแข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ป้องกันโรคมะเร็ง ไขมัน ความดันต่างๆ ไปจนถึงวิตามินประเภทสวยๆงามๆ ที่ไม่รู้ว่าได้ผลจริงหรือไม่ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการกินวิตามินมากเกินไป นอกจากจะเปลืองเงิน และไม่ได้ช่วยให้คุณสุขภาพดีขึ้นตามที่โฆษณา ยังทำให้คนตายเร็วขึ้นอีกด้วย สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ ตีแผ่วัฒนธรรมการกินวิตามินพร่ำเพรื่อที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเปิดเผยผลวิจัยของนักวิทยาศาสตร์หลายคน ที่พบว่าการกินวิตามินเอ เบตาแคโรทีน และวิตามินอี รวมถึงสารแอนติออกซิแดนท์ต่างๆ มากเกินไปในระยะเวลานานๆ นอกจากจะไม่ได้ส่งผลให้สุขภาพแข็งแรงและป้องกันโรคแล้ว ยังส่งผลให้เกิดโรคหลายอย่าง และทำให้คนเราตายเร็วขึ้น  วิตามินเอที่มากเกินไป หรือเกิน 3,000 ไมโครกรัมต่อวันในผู้ใหญ่ เคยทำให้คนตายมาแล้ว ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เคยมีนักสำรวจขั้วโลกที่เสียชีวิตจากการกินตับสุนัขลากเลื่อน ทำให้มีการค้นพบว่าตับสุนัขมีวิตามินเอสูงมาก และการกินตับสุนัข 100 กรัม ก็สามารถฆ่าคนได้ หรือถ้าได้รับวิตามินเอมากเกินไป แต่ยังไม่ได้ถึงขั้นเสียชีวิต ก็จะเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ผมร่วง ปากแห้งผิวแห้ง ผิวลอกเป็นชั้นๆ ได้ และสำหรับนักสูบบุหรี่ วิตามินเอก็ทำให้คุณเป็นมะเร็งปอดได้ง่ายขึ้น ส่วนซิงก์ ที่หนุ่มๆสาวๆ ชอบกินเพื่อแก้อาหารผมร่วง หรือช่วยรักษาสิว หากกินมากเกินไป คือตั้งแต่ 100-150 มิลลิกรัม และกินติดต่อกันนานๆ จะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้มีภูมิต้านทานต่ำลง และถ้ากินมากถึง 200 มิลลิกรัมขึ้นไป อาจทำให้ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย และเป็นโรคโลหิตจางได้ วิตามินรวมหลายๆ ชนิดแบบเบ็ดเสร็จในเม็ดเดียว ที่มักมาแบบสูตรสำเร็จ ในรูปของวิตามินบำรุงผม บำรุงสมอง หรือบำรุงสายตา ก็อันตรายมากเช่นเดียวกัน เพราะนอกจากคุณจะคำนวณได้ยากว่าตกแล้วกินวิตามินอะไรเข้าไปเท่าไหร่กันแน่ และที่กินเข้าไปนั้นมากเกินขนาดหรือไม่ วิตามินหลายชนิดยังขัดขวางการดูดซึมของกันและกัน เช่นแคลเซียม จะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก ธาตุเหล็กขัดขวางการดูดซึมทองแดง ทำให้การโด๊ปวิตามินตัวหนึ่ง อาจทำให้คุณขาดวิตามินอีกชนิดอย่างแรงได้ ทั้งหมดนี้ไม่ได้ความว่าวิตามินเป็นสิ่งชั่วร้ายหรือไม่จำเป็น แต่เรียกว่าต้องยึดหลักทางสายกลาง และกินเท่าที่จำเป็น แพทย์แนะนำว่าผู้ที่ควรได้รับวิตามินเสริม คือหญิงตั้งครรภ์ ที่ต้องได้รับโฟลิกและวิตามินดีเพิ่ม คนอายุ 65 ปี และเด็กวัย 6 เดือน- 5 ปี และคนที่ไม่ค่อยได้โดนแดด ควรได้รับวิตามินดี และสุดท้าย เด็ก 6…

Read More

11/8/15 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา  เตือนภัย ‘วิตามินมหัศจรรย์’ หน้าเรียว ลดน่อง ลดแขน ลดทุกสัดส่วน   ไม่มีจริง  รับประทานมั่ว อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา  เตือนภัยผู้บริโภค  ผ่านเพจ Fda Thai  ระบุ วิตามินมหัศจรรย์’ หน้าเรียว ลดน่อง ลดแขน ลดทุกสัดส่วน   ไม่มีจริง  รับประทานมั่ว อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้    มีข้อความดังนี้ อันตราย วิตามินมหัศจรรย์!!! หน้าเรียว ลดน่อง ลดแขน ลดทุกส่วน (ยกเว้นหน้าอก) ไม่มีจริง กินมั่วถึง “ตาย” ‪#‎fdathai‬ ‪#‎คำคม‬ ‪#‎วิตามินมหัศจรรย์‬ ‪#‎หน้าเรียว‬ ‪#‎ลดน่อง‬ ‪#‎ลดแขน‬ ‪#‎อันตราย‬ ‪#‎ตาย‬ เรื่อง … วิตามินลดเฉพาะส่วน ได้ผลจริงหรอ? ตอนนี้กระแสของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินลดเฉพาะส่วน ลดต้นขาและน่องที่ช่วยให้แขนขาเรียว ลดพุง ลดหน้าท้อง เพื่อให้ได้รูปร่างที่ได้สัดส่วนแบบเร็วทันใจโดยไม่ต้องออกกำลังกาย ดูจะเป็นที่นิยมของบรรดาสาวๆที่ไม่พอใจในรูปร่างของตัวเอง หลงเชื่อไปกับคำโฆษณาชวนเชื่อ เกินจริง ทั้งรีวิวก่อนกินหลังกิน ที่ดึงดูดให้บรรดาผู้หญิงอยากทดลองใช้ และบางผลิตภัณฑ์ยังมีราคาที่ถูก หาซื้อได้ง่ายอีกด้วย โดยส่วนใหญ่วิตามินลดเฉพาะส่วนมักจะมีส่วนประกอบที่มีการกล่าวอ้างสรรพคุณไปในทางเดียวกันเช่น เพื่อลดน้ำหนัก ลดไขมัน และคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดการบวมน้ำ ฯลฯ การลดน้ำหนักเฉพาะส่วน ไม่ว่าจะเป็นขา สะโพก แขน นั้นทำไม่ได้อย่างแน่นอน(ยกเว้นการดูดไขมันออกเฉพาะส่วน) นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากธรรมชาติก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความปลอดภัย เพราะอาจมีสารพิษและสิ่งปนเปื้อน ดังนั้นการที่จะลดเฉพาะส่วนโดยการเลือกกินวิตามินลดเฉพาะส่วนจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี โดยปกติของร่างกายจะค่อยๆลดทุกส่วนไปทีละนิด ไม่สามารถกินเพื่อให้ลดบางจุดได้ ซึ่งก็แล้วแต่ว่ากรรมพันธุ์ของใครสะสมไว้ส่วนไหนมากกว่า ส่วนไหนน้อยกว่า การลดน้ำหนักที่ดีสุดคือการควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย มิใช่การอดอาหาร จะทำให้ได้รูปร่างที่ดีสมส่วนไม่ต้องไปเสียเงินกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเฉพาะส่วนที่อาจเกิดอันตรายและเสียชีวิตได้ Kin News ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B…

Read More

8/8/15 ในยุคนี้ย่อมไม่มีใครไม่รู้จักบะหมีถ้วยกึ่งสำเร็จ และไอศกรีม แต่หากพูดว่าไอศกรีมรสราเมงในภาชนะบะหมีถ้วยกึ่งสำเร็จรสโชยุและมิโซะคงทำให้หลายคนแปลกใจ แต่มันมีจริงๆและวางขายแล้วแถมได้รับความนิยมด้วย จะเป็ยอย่างไรมาติดตามในรายงานข่าวนี้กันเลยครับ พิพิธภัณฑ์ก๋วยเตี๋ยวกระป๋องโยโกฮาม่าในประเทศญี่ปุ่นได้ยอดผู้เข้าชม 4 ล้านและมีการเฉลิมฉลองเหตุการณ์นี้ด้วยการออกสินค้าพิเศษนั้นคือไอศครีมถ้วยรสก๋วยเตี๋ยวหรือไอศกรีมราเม็งซึ่งมีสองรสชาติให้เลือกคือ รสมิโซะและโชยุ มันจะถูกเสิร์ฟบนถ้วยโฟมเหมือนถ้วยก๋วยเตี๋ยวสำเร็จรูปและมีเครื่องปรุงท๊อปปิ้งให้เลือกสำหรับรสชาติต่างๆได้แก่ หัวหอมสีเขียว, มันฝรั่งและแครอท   ราคาจำหน่ายที่พิพิธภัณฑ์บริเวณ’ราเมนบาซ่า’ แต่ละถ้วยอยู่ที่ 300 ¥ หรือประมาณ 100 บาท ไอศครีมราเม็งเป็นสินค้าของนิชชิน บริษัทที่มีชื่อเสียงในด้านการทำบะหมี่ราเมนกระป๋อง มีสองพิพิธภัณฑ์บะหมี่ในญี่ปุ่น พิพิธภัณฑ์บะหมี่ถ้วยเป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ มันส่งเสริให้ผู้เข้าชมเกิดความคิดสร้างสรรค์ จุดประกายทางความคิดและอยากรู้อยากเห็น Momofuku Ando เป็นผู้คิดค้นราเม็งกึ่งสำเร็จรูป ภายใต้ผลิตภัณฑ์อาหาร บริษัท นิชชิน ครั้งแรกที่เขาพยายามที่จะคิดค้นราเมนไก่ในปี 1958 เขาต้องการที่จะทำก๋วยเตี๋ยวที่จะกินได้ทันที โดยเพียงแค่เติมน้ำ ในปี 1971 เขาคิดค้นบะหมี่ถ้วยหลังจากการเดินทางไปอเมริกา วิสัยทัศน์ของเขาคือการทำก๋วยเตี๋ยวราเมงของเขาที่มีอยู่ทั่วโลก ในปี 2005 เขาได้ทำนวัตกรรมบะหมีกึ่งสำเร็จรูปนี้ก้าวกระโดด และเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตโดยการทำราเม็งรสชาติประจำของแต่ละพื้นที่ทั่วโลกให้มีอัตตลักษณ์รสขงตนเอง ข้อมูลจาก : Rocket News, Yokohama’s Cup Noodles Museum แปลและเรียบเรียงโดย Kin News, KinlakeStars. ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A…

Read More

7/8/15 เมื่อสภาพเศรษฐกิจที่แย่ลงนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปของคนไทย ซึ่งสาเหตุและความเปลี่ยนแปลงจะเป็นอย่างไรติดตามได้จากรายงานข่าวนี้กันเลย  ม.หอการค้าไทย แถลงตัวเลขดัชนีผู้บริโภคลดลง 7 เดือนติด ส่วนใหญ่มองศก.ไทยแย่สุดในรอบ 43 เดือนนับจากม.ค.55 ที่ไทยเจอภัยน้ำท่วมใหญ่ ขณะที่เอสเอ็มอีลงทุนต่ำสุดในรอบ 10 ปี แม้แต่ภัตตาคารในไทย ก็สาหัสยอดขายอาหารรูด 30-40% นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ว่าอยู่ที่ระดับ 73.4 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และต่ำสุดในรอบ 14 เดือน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจไทยแย่สุดในรอบ 43 เดือนนับตั้งแต่เดือน ม.ค.55 รวมถึงราคาพืชผลทางการเกษตรทรงตัวในระดับต่ำทำให้รายได้เกษตรกรลดลง, ความไม่แน่นอนทางการเมือง, การส่งออกครึ่งปีแรกติดลบ 4.84% และเศรษฐกิจโลกยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว เป็นต้น ดัชนีความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีความเหมาะสมในการลงทุนทำธุรกิจของเอสเอ็มอีต่ำสุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยมากนัก ผู้จำหน่ายสินค้าต้องจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม เช่น การลดราคาสินค้า 70-80% เพื่อจูงใจผู้บริโภค นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเหมาะสมในการซื้อรถยนต์คันใหม่ อยู่ในระดับ 87.8 ต่ำสุดในรอบ 61 เดือน นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 53 เป็นต้นมา, ดัชนีความเหมาะสมในการซื้อบ้านหลังใหม่อยู่ในระดับ 61.7 ต่ำสุดในรอบ 14 เดือน นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารครึ่งแรกปี 2558 มีรายได้ลดลงประมาณ 30-40% เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคคนไทยโดยเฉลี่ยลดลงจาก 300 บาท/มื้อ เหลือประมาณ 150-200 บาท/มื้อ ขณะที่จำนวนครั้งในการกินอาหารนอกบ้านเหลือราว 2 ครั้ง/สัปดาห์ จากง 4 ครั้ง/สัปดาห์ เพราะคนลดการสังสรรค์ช่วงเย็นหลังเลิกงานลงไป ส่วนการกินอาหารกับครอบครัวช่วงสุดสัปดาห์ ลดลงเหลือราว 2 ครั้ง/เดือน ขณะเดียวกัน ร้านอาหารก็ต้องมุ่งกลยุทธ์เพิ่มรายได้ต่อหัว…

Read More

6/8/15 แมลงในทุกวันนี้มีเยอะจนล้นโลก แต่หลายชนิดนั้นเมื่อเอามากินแล้วอร่อย ราคาถูก แถมมีคุณค่าทางสารอาหารที่สูงอีกด้วย “ปัจจุบันได้มีความสนใจในการทานแมลงในประเทศต่างๆทั่วโลกมากขึ้นและกระตุ้นให้เกิดตลาดอุตสาหกรรมเกษตรใหม่ขึ้นมา” รองศาสตราจารย์เคอร์รี วิลคินสันกล่าว อย่างไรก็ดีทางมหาวิทยาลัยยังหาโอกาสเพื่อใช้แมลงเป็นอาหารท้องถิ่นในออสเตรเลีย ขณะนี้จึงมีการสำรวจและตรวจทานข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มแมลงต่างๆเช่น แมลงสาบ หนอน และจิ้งหรีดเพื่อเป็นแหล่งโปรตีนทดแทน ปัจจุบันมีการผลิตผงแป้งโปรตีนที่ทำจากแมลงกินได้เหล่านี้ ซึ่งประกอบด้วยสารอาหารจำเป็นมากมาย ได้แก่ โปรตีน ไขมันไม่อิ่มตัวต่างๆ ไฟเบอร์ วิตามิน เกลือแร่ และคาร์โบไฮเดรต ประเด็นเรื่องประชากรล้นโลกและแหล่งอาหารควรจะต้องนำมากล่าวถึงและตอนนี้ออสเตรเลียก็กำลังพยายามเป็นผู้นำวิจัยเกี่ยวกับแมลงกินได้นี้ การเลี้ยงแมลงสามารถทำได้ง่ายและราคาถูกจึงมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว “แม้ว่าเรายังไม่มีตลาดสำหรับแมลงกินได้เหล่านี้ในประเทศ แต่ประเทศอื่นๆก็อาจจะมองมาที่ออสเตรเลียในฐานะเป็นแหล่งผลิตแมลงกินได้” รองศาสตราจารย์เคอร์รีกล่าวเสริม ประชากรส่วนอื่นของโลกนี้เกือบสองพันล้านคนทานแมลงเป็นประจำ งานวิจัยชิ้นนี้ก็อาจทำให้ออสเตรเลียกลายเป็นผู้นำการผลิตแมลงกินได้ให้ตลาดขนาดใหญ่นี้ สำหรับฝั่งโลกตะวันตกแล้วอาจต้องใช้เวลาโน้มน้าวในการนำแมลงขึ้นโต๊ะอาหาร แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ในเดือนมกราคม 2014 ที่ผ่านมา เจอโรลด์ โกล์ดินและพี่น้องของเขาอีกสองคนได้ก่อตั้ง Next Millemuim Farms (NMF) ขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรายงานขององค์การสหประชาชาติที่แนะนำการบริโภคแมลง ฟาร์มได้เริ่มต้นโดยเลี้ยงหนอนสำหรับบริโภคในพื้นที่ 5,000 ตารางฟุต และขายผลผลิตได้ทั้งสิ้น 65,000 ดอลลาร์ หลังจากนั้นก็เพิ่มเป็น 60,000 ตารางฟุตและเพิ่มจิ้งหรีดเข้าไป ทำให้พวกเขาขายผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ดอลลาร์ตั้งแต่นั้นมา อาหารในอนาคตอาจไม่ได้เป็นอย่างที่หลายๆคนคาดไว้ แต่การวิจัยจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ทำให้สุดท้ายแล้วแมลงก็อาจเป็นไปได้ที่จะเป็นอาหารสำคัญของมนุษย์เราจริงๆ รูปภาพ : Getty Images ที่มา : The University of Adelaide แปลและเรียบเรียงโดย : Kin News Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A…

Read More

5/8/15 หุ่นยนต์เก็บผักบร็อคโคลีอัตโนมัติที่ติดตั้งกล้องสามมิติกำลังถูกพัฒนาที่ มหาวิทยาลัยลินคอล์นร่วมกับสถาบันธุรกิจและมหาวิทยาลัยต่างๆ กว่า 70 แห่งร่วมทุนกว่า 70 ล้านปอนด์ผ่าน Agri-Tech Catalyst เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรในสหราชอาณาจักร วัตถุประสงค์ของโครงการนี้เพื่อทดสอบระบบกล้องสามมิติว่าสามารถใช้ประเมินผักบร็อคโคลีเมื่อมันโตพร้อมเก็บแล้วหรือยัง คาดว่าหากประสบความสำเร็จในอนาคตจะสามารถลดค่าใช้จ่ายต้นทุนการผลิตได้อย่างมาก ศาสตราจารย์ทิม ดักเก็ตต์ หัวหน้าโครงการกล่าวว่า บร็อคโคลีเป็นผักที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกและมีค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวค่อนข้างสูง เทคโนโลยีนี้จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาหุ่นยนต์เก็บเกี่ยวพืชผักอัตโนมัติได้ต่อไป ซึ่งอนาคตจะสามารถใช้กับพืชผักอื่นๆได้อีกด้วย “สำหรับการทำงานของเรา เรามีเป้าหมายที่จะพัฒนาแนวทางใหม่ในการแก้ปัญหาสำหรับธุรกิจการผลิตอาหารทางการเกษตร ผลจากงานวิจัยในระยะยาวของเราจะครอบคลุมเรื่องอาหารปลอดภัยมากขึ้น ขยะน้อยลง การผลิตอาหารที่ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น และการใช้แหล่งธรรมชาติได้เหมาะสมกว่าเดิม รวมไปถึงการส่งเสริมสุขภาพมนุษย์และความสุข” ดักเก็ตต์กล่าว มหาวิทยาลัยลินคอล์นยังมีโครงการเกี่ยวกับการตรวจหาโรคในระยะแรกและการคุมโรคโดยธรรมชาติในเห็ดและมันฝรั่ง การมุ่งมั่นพัฒนานี้จะทำให้เกิดทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการใช้สารฆ่าแมลงในเห็ดและมันฝรั่งได้ เพื่อความยั่งยืนในอนาคตต่อไป รูปภาพ : Getty Images ที่มา : BBC News แปลและเรียบเรียงโดย : Kin News Kin News Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A A B A…

Read More

จากการศึกษาและงานวิจัยล่าสุดพบว่า ที่ผู้คนสามารถต่อสู้กับความอยากช็อกโกแลตของพวกเขาโดยเพียงแค่จินตนาการการว่าพวกเขากำลังกินช็อกโกแลตในปริมาณมากๆ ในบางประเทศผู้คนกินช็อคโกแลตถึง 11 กิโลต่อปี ! ผลการวิจัยชี้ให้เห็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อต้านการอยากของหวานดังต่อไปนี้ สำนักข่าว BBC รายงานผลการวิจัยของกลุ่ม “Trust Me, I’m a Doctor “เกี่ยวกับการกินช๊อกโกแล๊ตโดยรวบรวมกลุ่มตัวอย่างจากคนรักช็อคโกแลต 200 คนที่ลาน Merchant Adventurers ในนิวยอร์ก สำหรับการเก็บข้อมูลและทดลองซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ Carry Morewedge จากมหาวิทยาลัยบอสตัน ผู้ตอบแบบสอบถามที่ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกก็ขอให้นึกว่าตนเองกำลังกินช็อคโกแลตที่ 30 ชิ้น ให้นึกถึงการกินสัมผัสรสชาติในปากการเคี้ยวและลิ้มรส ส่วนกลุ่มที่สองก็ขอให้ทำเช่นเดียวกัน แต่นึกและจินตนาการว่ากินช็อกโกแลตเพียงสามชิ้น หลักจากที่เราได้ให้กลุ่มตัวอย่างลองจินตนาการว่าตนกำลังกินช็อกโกแลตและใช้เวลาอยู่กับห้วงแห่งจินตนาการแล้ว ก็ได้ให้ลองกินช็อกโกแลตต่อจริงๆพบว่ากลุ่มแรกซึ่งตั้งโจทย์ให้จินตนาการว่ากินช็อกโกแล๊ต 30 ชิ้น กินช็อกโกแลตน้อยกว่ากลุ่มที่สองถึง 37% !!! “เมื่อผมเสร็จสิ้นการจินตนาการว่าได้กินช็อกโกแลตไป 30 ชิ้น ผมเริ่มเบื่อและเฉยชากับการที่จะกินงช็อคโกแลตจริงๆเข้าไปอีก ซึ่งปกติผมเองจะไม่เฉยชาต่อช็อกโกแลตต่อหน้าแน่ๆ หลังจากนี้ผมคงจะต้องลดนำ้หนักและใช้วิธีนี้ดู ดังนั้นผมวางแผนที่จะลองใช้วิธีนี้กับอาหารอื่นๆ เพราะมันให้ผมกินน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด!” หนึ่งกล่าวหาที่ใช้ร่วมกัน หนึ่งในกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมการวิจัยในครั้งนี้ได้กล่สวไว้ “มันตรงกับสิ่งที่ผมตั้งสมมุติฐานไว้เลย” ศาสตราจารย์ Morewedge กล่าวไว้ “แต่เมื่อเราพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการบางสิ่งบางอย่างหรือพยายามที่จะหยุดคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง เรากลับจะยิ่งคิดถึงสิ่งนั้นเช่น ผมบอกกับคุณว่า ‘อย่าคิดเกี่ยวกับหมีขาว’ แต่ผลลัพท์คือ คุณจะเริ่มคิดเกี่ยวกับหมีสีขาว’  ” “ดังนั้นการที่จะเลิกคิดถึงช็อกโกแลตและของหวานรวมถึงอหารที่อยากกินนั้นไม่ได้ช่วยลดความอยากเลยแถมยังเกิดกระแสกลับกันคือยิ่งไปเพิ่มความอยาก ดังนั้นจึงไม่ควรพยายามสั่งตัวเองให้เลิกคิดหรือห้ามคิด” ศาสตราจารย์ Morewedge กล่าวเสริม วิธีนี้อาจดูคุ้นเคย  เพราะเป็นวิธีการที่ใช้ต่อสู้กับความสุขในการเสพติดอื่นๆ เช่นยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทางการแพทย์ก็มีการแนะนำให้ใช้วิธีเช่นนี้มาแล้ว ที่มา : BBC News แปลและเรียบเรียงโดย : Kin News Kin News Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B…

Read More