Author: Kittin Assavavichai

6/8/15 แมลงในทุกวันนี้มีเยอะจนล้นโลก แต่หลายชนิดนั้นเมื่อเอามากินแล้วอร่อย ราคาถูก แถมมีคุณค่าทางสารอาหารที่สูงอีกด้วย “ปัจจุบันได้มีความสนใจในการทานแมลงในประเทศต่างๆทั่วโลกมากขึ้นและกระตุ้นให้เกิดตลาดอุตสาหกรรมเกษตรใหม่ขึ้นมา” รองศาสตราจารย์เคอร์รี วิลคินสันกล่าว อย่างไรก็ดีทางมหาวิทยาลัยยังหาโอกาสเพื่อใช้แมลงเป็นอาหารท้องถิ่นในออสเตรเลีย ขณะนี้จึงมีการสำรวจและตรวจทานข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มแมลงต่างๆเช่น แมลงสาบ หนอน และจิ้งหรีดเพื่อเป็นแหล่งโปรตีนทดแทน ปัจจุบันมีการผลิตผงแป้งโปรตีนที่ทำจากแมลงกินได้เหล่านี้ ซึ่งประกอบด้วยสารอาหารจำเป็นมากมาย ได้แก่ โปรตีน ไขมันไม่อิ่มตัวต่างๆ ไฟเบอร์ วิตามิน เกลือแร่ และคาร์โบไฮเดรต ประเด็นเรื่องประชากรล้นโลกและแหล่งอาหารควรจะต้องนำมากล่าวถึงและตอนนี้ออสเตรเลียก็กำลังพยายามเป็นผู้นำวิจัยเกี่ยวกับแมลงกินได้นี้ การเลี้ยงแมลงสามารถทำได้ง่ายและราคาถูกจึงมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว “แม้ว่าเรายังไม่มีตลาดสำหรับแมลงกินได้เหล่านี้ในประเทศ แต่ประเทศอื่นๆก็อาจจะมองมาที่ออสเตรเลียในฐานะเป็นแหล่งผลิตแมลงกินได้” รองศาสตราจารย์เคอร์รีกล่าวเสริม ประชากรส่วนอื่นของโลกนี้เกือบสองพันล้านคนทานแมลงเป็นประจำ งานวิจัยชิ้นนี้ก็อาจทำให้ออสเตรเลียกลายเป็นผู้นำการผลิตแมลงกินได้ให้ตลาดขนาดใหญ่นี้ สำหรับฝั่งโลกตะวันตกแล้วอาจต้องใช้เวลาโน้มน้าวในการนำแมลงขึ้นโต๊ะอาหาร แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ในเดือนมกราคม 2014 ที่ผ่านมา เจอโรลด์ โกล์ดินและพี่น้องของเขาอีกสองคนได้ก่อตั้ง Next Millemuim Farms (NMF) ขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรายงานขององค์การสหประชาชาติที่แนะนำการบริโภคแมลง ฟาร์มได้เริ่มต้นโดยเลี้ยงหนอนสำหรับบริโภคในพื้นที่ 5,000 ตารางฟุต และขายผลผลิตได้ทั้งสิ้น 65,000 ดอลลาร์ หลังจากนั้นก็เพิ่มเป็น 60,000 ตารางฟุตและเพิ่มจิ้งหรีดเข้าไป ทำให้พวกเขาขายผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ดอลลาร์ตั้งแต่นั้นมา อาหารในอนาคตอาจไม่ได้เป็นอย่างที่หลายๆคนคาดไว้ แต่การวิจัยจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ทำให้สุดท้ายแล้วแมลงก็อาจเป็นไปได้ที่จะเป็นอาหารสำคัญของมนุษย์เราจริงๆ รูปภาพ : Getty Images ที่มา : The University of Adelaide แปลและเรียบเรียงโดย : Kin News Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A…

Read More

5/8/15 หุ่นยนต์เก็บผักบร็อคโคลีอัตโนมัติที่ติดตั้งกล้องสามมิติกำลังถูกพัฒนาที่ มหาวิทยาลัยลินคอล์นร่วมกับสถาบันธุรกิจและมหาวิทยาลัยต่างๆ กว่า 70 แห่งร่วมทุนกว่า 70 ล้านปอนด์ผ่าน Agri-Tech Catalyst เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรในสหราชอาณาจักร วัตถุประสงค์ของโครงการนี้เพื่อทดสอบระบบกล้องสามมิติว่าสามารถใช้ประเมินผักบร็อคโคลีเมื่อมันโตพร้อมเก็บแล้วหรือยัง คาดว่าหากประสบความสำเร็จในอนาคตจะสามารถลดค่าใช้จ่ายต้นทุนการผลิตได้อย่างมาก ศาสตราจารย์ทิม ดักเก็ตต์ หัวหน้าโครงการกล่าวว่า บร็อคโคลีเป็นผักที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกและมีค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวค่อนข้างสูง เทคโนโลยีนี้จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาหุ่นยนต์เก็บเกี่ยวพืชผักอัตโนมัติได้ต่อไป ซึ่งอนาคตจะสามารถใช้กับพืชผักอื่นๆได้อีกด้วย “สำหรับการทำงานของเรา เรามีเป้าหมายที่จะพัฒนาแนวทางใหม่ในการแก้ปัญหาสำหรับธุรกิจการผลิตอาหารทางการเกษตร ผลจากงานวิจัยในระยะยาวของเราจะครอบคลุมเรื่องอาหารปลอดภัยมากขึ้น ขยะน้อยลง การผลิตอาหารที่ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น และการใช้แหล่งธรรมชาติได้เหมาะสมกว่าเดิม รวมไปถึงการส่งเสริมสุขภาพมนุษย์และความสุข” ดักเก็ตต์กล่าว มหาวิทยาลัยลินคอล์นยังมีโครงการเกี่ยวกับการตรวจหาโรคในระยะแรกและการคุมโรคโดยธรรมชาติในเห็ดและมันฝรั่ง การมุ่งมั่นพัฒนานี้จะทำให้เกิดทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการใช้สารฆ่าแมลงในเห็ดและมันฝรั่งได้ เพื่อความยั่งยืนในอนาคตต่อไป รูปภาพ : Getty Images ที่มา : BBC News แปลและเรียบเรียงโดย : Kin News Kin News Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A A B A…

Read More

จากการศึกษาและงานวิจัยล่าสุดพบว่า ที่ผู้คนสามารถต่อสู้กับความอยากช็อกโกแลตของพวกเขาโดยเพียงแค่จินตนาการการว่าพวกเขากำลังกินช็อกโกแลตในปริมาณมากๆ ในบางประเทศผู้คนกินช็อคโกแลตถึง 11 กิโลต่อปี ! ผลการวิจัยชี้ให้เห็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อต้านการอยากของหวานดังต่อไปนี้ สำนักข่าว BBC รายงานผลการวิจัยของกลุ่ม “Trust Me, I’m a Doctor “เกี่ยวกับการกินช๊อกโกแล๊ตโดยรวบรวมกลุ่มตัวอย่างจากคนรักช็อคโกแลต 200 คนที่ลาน Merchant Adventurers ในนิวยอร์ก สำหรับการเก็บข้อมูลและทดลองซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ Carry Morewedge จากมหาวิทยาลัยบอสตัน ผู้ตอบแบบสอบถามที่ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกก็ขอให้นึกว่าตนเองกำลังกินช็อคโกแลตที่ 30 ชิ้น ให้นึกถึงการกินสัมผัสรสชาติในปากการเคี้ยวและลิ้มรส ส่วนกลุ่มที่สองก็ขอให้ทำเช่นเดียวกัน แต่นึกและจินตนาการว่ากินช็อกโกแลตเพียงสามชิ้น หลักจากที่เราได้ให้กลุ่มตัวอย่างลองจินตนาการว่าตนกำลังกินช็อกโกแลตและใช้เวลาอยู่กับห้วงแห่งจินตนาการแล้ว ก็ได้ให้ลองกินช็อกโกแลตต่อจริงๆพบว่ากลุ่มแรกซึ่งตั้งโจทย์ให้จินตนาการว่ากินช็อกโกแล๊ต 30 ชิ้น กินช็อกโกแลตน้อยกว่ากลุ่มที่สองถึง 37% !!! “เมื่อผมเสร็จสิ้นการจินตนาการว่าได้กินช็อกโกแลตไป 30 ชิ้น ผมเริ่มเบื่อและเฉยชากับการที่จะกินงช็อคโกแลตจริงๆเข้าไปอีก ซึ่งปกติผมเองจะไม่เฉยชาต่อช็อกโกแลตต่อหน้าแน่ๆ หลังจากนี้ผมคงจะต้องลดนำ้หนักและใช้วิธีนี้ดู ดังนั้นผมวางแผนที่จะลองใช้วิธีนี้กับอาหารอื่นๆ เพราะมันให้ผมกินน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด!” หนึ่งกล่าวหาที่ใช้ร่วมกัน หนึ่งในกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมการวิจัยในครั้งนี้ได้กล่สวไว้ “มันตรงกับสิ่งที่ผมตั้งสมมุติฐานไว้เลย” ศาสตราจารย์ Morewedge กล่าวไว้ “แต่เมื่อเราพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการบางสิ่งบางอย่างหรือพยายามที่จะหยุดคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง เรากลับจะยิ่งคิดถึงสิ่งนั้นเช่น ผมบอกกับคุณว่า ‘อย่าคิดเกี่ยวกับหมีขาว’ แต่ผลลัพท์คือ คุณจะเริ่มคิดเกี่ยวกับหมีสีขาว’  ” “ดังนั้นการที่จะเลิกคิดถึงช็อกโกแลตและของหวานรวมถึงอหารที่อยากกินนั้นไม่ได้ช่วยลดความอยากเลยแถมยังเกิดกระแสกลับกันคือยิ่งไปเพิ่มความอยาก ดังนั้นจึงไม่ควรพยายามสั่งตัวเองให้เลิกคิดหรือห้ามคิด” ศาสตราจารย์ Morewedge กล่าวเสริม วิธีนี้อาจดูคุ้นเคย  เพราะเป็นวิธีการที่ใช้ต่อสู้กับความสุขในการเสพติดอื่นๆ เช่นยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทางการแพทย์ก็มีการแนะนำให้ใช้วิธีเช่นนี้มาแล้ว ที่มา : BBC News แปลและเรียบเรียงโดย : Kin News Kin News Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B…

Read More

28/7/15 คุณเชื่อหรือไม่ว่ากุ้งจะมีอายุได้ถึงร้อยปี และขนาดของมันอาจทำให้คุณนึกว่าเป็นภาพตัดต่อ ล่าสุดชาวประมงค์แถวลองไอส์แลนด์ได้จับเจ้าล็อบสเตอร์ยักษ์ขนาด 23 ปอนด์ อายุกว่า 95 ปี และส่งให้รัานอาหาร ! ใหม่ล่าสุดนั้นคือร้านอาหาร New York  ซึ่งเป็นที่อยู่ของล็อบสเตอร์ยักษ์หนัก 23 ปอนด์ และมันจะไม่ถูกเสิร์ฟบนจานในเร็วๆนี้ เพราะมันจะใหญ่และแก่เกินกว่าจะเอาไปกิน! สัปดาห์ที่ผ่านมา ฟาร์มกุ้งจอร์แดนในลองไอส์แลนด์ได้จับกุ้งยักษ์หนัก 95 ปี และมันได้กลายเป็นสิ่งที่คนไม่ต้องการที่จะกิน แต่เป็นของที่ต้องการจะถ่ายภาพกับมัน “ผมเคยได้ยินว่าล็อบสเตอร์ยักษ์ใหญ่ แต่ผมไม่เคยเห็นเลยจนกระทั่งได้เจอเจ้าตัวนี้”  Brittney Beigel คนท้องถิ่นในลองบีชได้กล่าว   แม้พนักงานก็มีความตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน “มันมหึมามาก !”  โจแอน พนักงานในร้านกล่าว สำนักจข่าวซีบีเอสกรายงานว่าเจ้าของฟาร์มกุ้งจอร์แดน สตีเฟ่น จอร์แดน เป็นคนนำล็อบสเตอร์ตัวมาให้เจ้าของร้านอาหาร ซึ่งเขาส่ล็อบสเตอร์ให้ร้านนี้เป็นประจำมาโดยตลอด ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกของฟาร์มกุ้งนี้ตั้งแต่ได้ดำเนินกิจการมาก็จะได้ลอฟเตอร์ใหญ่ 5, 7 และบางครั้งก็ได้ถึง 10 ปอนด์ แต่สำหรับเจ้ายักษ์ใหญ่นี่หนักถึง 23 ปอนด์  จอร์แดนกล่าวว่าจะเจ้านี่หน้าจะใหญ่ที่สุดที่ค้นพบในทศวรรษที่ผ่านมา “เราได้รับมันเมื่อเช้าวานนี้จากหนึ่ในชาวประมงที่อยู่ในอ่าว เขาส่งให้เราแต่บอกเราว่าบอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันใหญ่ขนาดไหน  เขากล่าวว่า ‘มองในลัง เราเปิดมันขึ้นมาและเราก็อุทานว่า ‘ว้าว!’ “จอร์แดนกล่าวว่า เนื่องจากขนาดและน้ำหนักของมันใหญ่มากและแก่มากถึง 95 ปี  สำนักข่าวซีบีเอสรายงานว่าผู้เชี่ยวชาญด้านล็อบสเตอร์กล่าวว่าแม้คนมักจะไม่ได้เห็นล็อบสเตอร์ยักษ์เช่นตัวนี้ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่ล็อบสเตอร์ยักษ์เหล่านี้จะอาศัยในส่วนที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรมักจะอาศัยอยู่ได้เป็น 100 ปี ที่มาเนื้อหาและภาพ : CBSNews แปลและเรียบเรียงโดยทีมงานกินแหลกแจกดาว Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B…

Read More

23/7/15 หลังจากมีการแชร์ภาพเมนูลูกหมูตัวน้อยนำมาทำอาหารทั้งถูกทอดถูกต้ม ก็มีบางกระแสออกมาต่อต้านบ้างก็บอกน่ารักแต่อันที่จริงแล้วลูกหมูตามภาพที่แชร์ๆกันเป็นเพียงของจำลองทานไม่ได้ และไม่ได้มีการทารุณสัตว์แต่อย่างใด เท็จจริงแล้วหมูในภาพเป็นเพียงของจำลองที่ทำเพื่อประกอบโมเดลอาหารจำลองที่ใช้ตั้งตามหน้าร้านอาหารเท่านั้น โดยผู้ใช้งานทวิตเตอร์ @nagaosample ได้โพสภาพเมนูหมูน้อยนี้มากมายหลายภาพหลายเมนูทั้งทงคัตซึลูกหมู ซุปหมูน้อย ซึ่งภาพเหล่านี้เป็นผลงานทางศิลปะของเขาที่ได้ทำโมเดลหมูน้อยขึ้นมามากมายสำหรับการตกแต่งโมเดิลอาหารจำลองเท่านั้น แต่ก็มีกระแสตอบรับไปในทำนองว่า “น่ากลัว”  มากกว่า “น่ารัก” เพราะทำออกมาได้เก่งเหมือนจริงมากเกินไปจนเหมือนศพลูกหมู ที่มาภาพ : ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ @nagaosample เรียบเรียงโดยทีมงานกินแหลกแจกดาว Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A…

Read More

19/7/15 ปัจจุบันกาแฟและร้านกาเแฟเป็นสิ่งที่แพร่หลายไปทั่วโลกและเกิดขึ้นผุเดขึ้นเต็มไปหมดทั่วบ้านทั่วเมือง แน่นอนว่าการแข่งขันที่สูงขึ้นย่อมต้องมีการคิดการตลาดที่ต่างไปเพื่อให้มีจุดขาย เนสท์เล่จึงนำเสนอ บาริสต้านู้ด พนักงานชายหญิงเปลือยกายชงกาแฟเพื่อให้เข้ากับคอนเซป “ร้านกาแฟแบบธรรมชาติ” แบบ “ธรรมชาติ” โดยการเปลือยกายและเพ้นสีบนร่างกาย เพื่อทำการตลาดครีมเทียมชื่อ “Nurural Bliss” ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ของทางเนสท์เล่ ภายใต้แบรนด์ “คอฟฟี่เมท” ยูทูบ EsilaBBNEws ได้เผยแพร่วีดีโอการตลาดของเนสท์เล่ในนิวยอร์ก ที่ใช่เวลาหนึ่งวันในการเปิดร้านกาแฟใช้ชื่อว่า “Nurural Bliss Cafe” และให้ บาริสต้าชายและหญิงทั้งร้านพร้อมผู้คนในร้านต้อนรับผู้เข้ามาซื้อกาแฟด้วยการที่พวกเขาไม่ใส่เสื้อผ้า แต่เพ้นท์ตัวด้วยสีเป็นรูปเสื้อผ้าแทน ในคลิปวีดีโอ บาริสต้าในร้านอธิบายลูกค้าที่นี่คือร้านที่เป็น “ธรรมชาติ” เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดและชื่อ “Nurural Bliss” ของผลิตภัณฑ์ โดยลูกค้าในร้านจำนวนมากเกิดความแปลกใจ ตกตะลึง ที่บาริสต้าไม่ใส่เสื้อผ้า และบางรายนอกจากถามก็มีการถ่ายภาพและบรรยากาศ อย่างไรก็ตามทางสำนักข่าว บิสซิเนส อินไซเดอร์ รายงานว่า ยังไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการจากทาง เนสท์เล่ ถึงคลิปวีดีโอที่ปล่อยออกมาครั้งแรกผ่านยูทูบ คอฟฟี่เมท แต่อย่างใด และไม่ได้มีการชี้แจงว่าเป็นแค่แคมเปญระยะยาวหรือเป็นเพียงป๊อปอัพทางการตลาด ที่มา : EsilaBBNEws เรียบเรียงโดยทีมงานกินแหลกแจกดาว Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A…

Read More

6/7/15 หลังจากที่ ฟาสเซล ฮาร์ซาน อาเบส ได้ทำงานช่วยเหลือผู้คนทั่วโลกมากว่า 40 ปี ในวันนี้ผู้ก่อตั้งองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมในท้องถิ่นบังกลาเทศ หรือ BRAC (บีอาร์เอซี) ได้รับรางวัล”เวิร์ล ฟู้ด ไพรซ์”ในฐานะที่มีส่วนช่วยให้ประชาชนมากกว่า 150 ล้านคนในสิบประเทศ รอดพ้นจากความยากจนและอดอยาก BRAC (บีอาร์เอซี) ก่อตั้งด้วยขึ้นด้วยหวังฟื้นฟูเหตุการพายุโคลนถล่มบังกลาเทศ อีกทั้งปัญหาสงครามแบ่งแยกดินแดน เมื่อปี 1970  และคลีคลายปัญหาความยากจนซึ่งบังกลาเทศเคยถูกจัดให้เป็นประเทศยากจนอันดับ 2 ของโลก ส่งผลให้ ฟาสเซล ฮาร์ซาน อาเบส ได้ รับรางวัล”World Food Prize” ประจำปีนี้  ไม่เพียงช่วยเหลือผู้คนในด้านการกินและการเงิน แต่ความช่วยเหลือยังครอบคลุมถึงการศึกษาด้านเกษตรกรรมและสุขอนามัยเพราะเขาเชื่อว่าการทุกคนจะช่วยแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืนถ้าทำเป็นระบบ ให้ผลสำรวจระบุว่าคนมากกว่า 150,000,000 คนเอเชียและแอฟริการอดตายและไม่ขาดอาหาร นอกจากนี้เขายังได้รับยศอัศวินจากอังกฤษ เขาได้กล่าวว่าแม้การลงเม็ดเงินจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การให้ความรู้และความสามารถและทักษะต่างๆในการดำรงชีพทางการเกษตรกับประชาชนก็เป็นสำคัญเป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน เขาสนับสนุนให้ผู้หญิงสังคมและเศรษฐกิจมากขึ้นอีกด้วยโดยอาเบส จะรับรางวัลดังกล่าวในเดือนตุลาคมที่ถึงนี้  ปัจจุบัน BRAC เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีสมาชิกมากกว่า 100,000 คนและกำลังขยายขอบเขตการช่วยเหลือไปยังประเทศยากจนอื่นๆอีก 10 ประเทศ เงินรางวัลที่ได้ครั้งนี้ราว 250,000 ดอลลาร์สหรัฐจะถูกส่งไปก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนโลกต่อไป Kin News Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A…

Read More

2/7/15 เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าภาชนะที่ทำจากโฟมนั้นเมื่อนำมาใส่อาหารใส่ของกิน ย่อมไม่ดีต่อสุขภาพ ทั้งอันตรายจากสารก่อมะเร็งและอื่นๆ อีกทั้งยังไม่ดีต่อ สิ่งแวดล้อมการย่อยสลายที่ยาก ภาชนะที่ทำจากโฟมเป็นของต้องห้ามใน หลายประเทศและหลายเมืองแล้วและล่าสุด นิวยอร์กก็เป็นอีกเมืองที่ออกกฎหมายให้ภาชนะที่ทำจากโฟมสำหรับใส่ของกินเป็นของต้องห้าม เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน เป็นวันสุดท้ายที่ชาวนครนิวยอร์กได้กินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มจากภาชนะที่ทำจากโฟม เพราะในวันนี้ กฎหมายท้องถิ่นที่ห้ามการใช้ภาชนะสไตโรโฟมใส่ของกินได้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายอย่างเป็นทางการแล้ว  นับจากนี้ไปไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร หรือร้านแผงลอย ไปจนถึงรถขายอาหารที่เป็นที่นิยมอย่างมากในนิวยอร์ก ห้ามใช้และครอบครองภาชนะโฟมได้อีกต่อไป แม้แต่การขายภาชนะโฟมก็จะถือว่าผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน โดยกฎหมายนี้มีขึ้นเพื่อกำจัดโฟมที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ ซึ่งในแต่ละปีนครนิวยอร์กมีขยะประเภทนี้มากถึง 28,500 ตัน และร้อยละ 90 ของโฟมที่ทิ้งลงถังขยะ มาจากแก้วน้ำหรือภาชนะใส่ของกิน รัฐบาลท้องถิ่นนครนิวยอร์ที่นำโดย มร.บลูมเบริคได้ผ่านกฎหมายแบนการใช้ภาชนะโฟมตั้งแต่ปลายปี 2013 โดยมีข้อแม้ว่าจะแบนก็ต่อเมื่อสามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่มีทางรีไซเคิลโฟมเหล่านี้ได้ ซึ่งหน่วยงานด้านสุขอนามัยชุมชนของนิวยอร์กมีเวลาพิสูจน์ 1 ปี ว่าโฟมสามารถรีไซเคิลได้หรือไม่ โดยเมื่อสิ้นปี 2014 ก็ได้มีการยืนยันว่าไม่มีทางที่ภาชนะโฟมจะถูกรีไซเคิลด้วยวิธีใดๆได้ กฎหมายดังกล่าวจึงบังคับใช้อย่างสมบูรณ์และทางการในวันนี้ นครนิวยอร์กเองไม่ใช่ที่แรกที่ห้ามการใช้โฟม เพราะก่อนหน้านี้ ในเมืองใหญ่ๆหลางเมืองเช่น ซานฟรานซิสโก ซีแอทเทิล และมินเนอาโพลิส ก็แบนการใช้ภาชนะโฟมใส่อาหารแล้วเช่นกัน โดยหวังว่าการแบนอย่างถาวร จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการผลิตภาชนะอื่นขึ้นมาทดแทนอย่างจริงจัง ทำให้ภาชนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมราคาถูกลง และใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้นในที่สุด ในปัจจุบันมีวัสดุทางเลือกเกิดขึ้นมากมายที่ใช้แทนโฟมได้ไม่ว่าจะเป็น กล่องกระดาษ แผ่นมันสัมปหรังแทนโฟม หรือวัสดุย่อยสลายได้อื่นๆ ในญึปุ่นซึ่งในประเทศไทยเรี่ปุ่นเองได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องภาชนะ ทั้งสวยงามและหลากหลาย มีกล่องไม้สน กล่องพลาสติกย่อย สลายง่าย ฯลฯ ในไทยเราเองก็มีวัสดุย่อยสลายได้แต่เดิมใช่กระบอก ไม้ไผ่ทำข้าวหลาม หรือการใช้ใบตองห่อขนมซึ่ง กินแหลกแจกดาวคิดว่าถ้าไทยเราเองออกกฎหมายแบนกล่องโฟม  จะทำให้เกิดการพัฒนา ภาชนะสำหรับอาหารการกินทดแทนได้ดีขึ้น ดีต่อคุณภาพชีวิตผู้คน สุขภาพและสิ่งแวดล้อมด้วย Kin News Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A…

Read More

30/6/15 หลายคนอาจยังไม่ทราบถึงพิษภัยของมันแกวแก่    ล่าสุดทางกรมวิทย์ได้ออกเตือนห้ามกิน “เมล็ดมันแกวแก่” เพราะมีสารพิษโรทีโนน มีฤทธิ์ฆ่าแมลง เป็นพิษต่อคนและสัตว์ ชี้กินเข้าไปแล้วทำให้ระบบทางเดินอาหารระคายเคือง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ถ้าได้รับพิษมากอาจส่งผลระบบทางเดินหายใจ ช็อก ถึงขั้น ป่วยหนักและเสียชีวิตไปเลย นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทางกรมวิทย์ฯ พบการรายงานเสียชีวิตจากการกินเมล็ดมันแกวหลายราย ล่าสุด พบผู้ป่วย 1 ราย ที่ จ.ศรีสะเกษ มีอาการป่วยจาการกินเมล็ดมันแกวต้มสุกแล้วมีอาการคล้ายได้รับสารพิษอย่างรุนแรงและเสียชีวิตในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว โดยทาง รพ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ ได้ทำการส่งตัวอย่างเมล็ดมันแกวมายังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี และส่งต่อมาตรวจวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการศูนย์พิษวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทย์ฯ จากตรวจวิเคราะห์พบสารโรทีโนน ที่มีฤทธิ์เป็นสารเคมีในระดับที่สามารถกำจัดแมลงได้ โดยปริมาณ 132-1,500 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และซึ่งรุนแรงในระดับขนาดที่สามารถทำให้หนูตายได้ด้วย “จริงๆ แล้วเมล็ดมันแกวสามารถกินได้ แต่ต้องเป็นฝักและเมล็ดอ่อน ซึ่งในภาคอีสานนิยมนำมากินเป็นผักสดกับส้มตำ ส่วนฝักและเมล็ดแก่จะเป็นพิษ มีสารที่มีฤทธิ์เป็นสารกำจัดแมลง ซึ่งสารโรทีโนนเป็นสารพิษชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในเมล็ดมันแกวอยู่แล้ว ร่วมกับ อีโรโซน และโดลินีโอน ทั้งนี้ พิษของโรทีโนนทำให้เกิดอาการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง และถ้าได้รับพิษปริมาณมาก อาการจะรุนแรงขึ้น มีผลต่อระบบการหายใจ คือ หยุดหายใจ ชัก และอาจถึงแก่ชีวิต” อธิบดีกรมวิทย์ฯ กล่าว นพ.อภิชัย กล่าวต่อว่า การช่วยเหลือผู้ที่เกิดอาการพิษจากการกินเมล็ดมันแกว ต้องทำให้อาเจียนออกมาเร็วที่สุดเพื่อกำจัดเศษพืชที่มีพิษในกระเพาะอาหาร และให้ดื่มนม ไข่ขาว เพื่อลดการดูดซึมของสารพิษ และนำส่งโรงพยาบาลในทันที แพทย์จะรักษาแบบประคับประคองอาการ เพราะไม่มียารักษา เช่น ใส่เครื่องช่วยหายใจหากหยุดหายใจ ให้น้ำเกลือและยาตามความเหมาะสม เป็นต้น โดยพิษจะค่อยๆ ถูกขับออกทางปัสสาวะ ส่วนการป้องกันที่ดีที่สุดคือ ไม่นำเมล็ดแก่ของมันแกวมากิน และควรรู้เกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของมันแกว รวมทั้งอันตรายที่เกิดจากการกินเมล็ดมันแกว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันและรักษาพิษเบื้องต้น ก่อนนำส่งโรงพยาบาลเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ทั้งนี้ มันแกวนั้นเป็นพืชที่มีหัวใต้ดิน ในประเทศไทย ชื่อเรียกต่างกันไปตามภูมิภาค เช่น มันละแวก มันลาว มันเพา หัวแปะกัว…

Read More

29/6/15 เมืองเซาเปาลู  ประเทศบราซิลประกาศออกกฎหมายแบนเมนู’ฟัวกราส์’ หรือ “ตับห่าน”อาหารจานหรูของเหล่าเศรษฐี  ชี้เป็นการทรมานสัตว์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ( 26 มิ.ย.) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เซาเปาลู เมืองที่ใหญ่ที่สุดของบราซิล ออกกฎหมายห้ามซื้อขาย “ฟัวกราส์” หรือ “ตับห่าน” โดย มร.ลาเอร์โช เบนโก สมาชิกสภาเมืองผู้ยื่นเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ ชี้แจงว่า เนื่องจากฟัวกราส์เป็นอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งขั้นตอนเพื่อให้ได้มา ยังเป็นการทรมานสัตว์อีกด้วย กฎหมายฉบับนี้ จะให้เวลาผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคในการเตรียมตัวอีก 45 วัน โดยฟัวกราส์ที่ซื้อก่อนหน้านั้นหรือซื้อจากนอกเมือง จะไม่ถูกควบคุมโดยกฎหมายนี้“ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากฟากนักอนุรักษ์ โดย มร.กีแลร์เม การ์วาโล หนึ่งในผู้อำนวยการของสมาคมมังสวิรัติบราซิล กล่าวว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ โดยหวังว่านำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายทั่วประเทศ แต่ก็มีฝ่ายเชฟคัดค้าน มร. อเล็กซ์ อตาลา เชฟชื่อดังของร้านดีโอเอ็ม ร้านอาหารระดับโลกในเซาเปาลู ออกเสียงคัดค้านกฎหมายฉบับนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม โดยกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ทางการไม่ควรจะมาบงการว่าประชาชนควรจะกินอะไร พร้อมทั้งยังกล่าวว่าเป็นการละเมิดและริดรอนสิทธิ์ประชาชน ที่จริงแล้ว ฟัวกราส์ คือตับเป็ดหรือตับห่านที่อุดมไปด้วยไขมันสูงกว่าปกติหลายเท่า ซึ่งได้จากเป็ดหรือห่านที่ถูกบังคับให้กินอาหารเฉพาะ เพื่อให้มีไขมันจำนวนมากไปสะสมที่ตับได้แก่แป้งข้าวโพดหรือสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรชและไขมันปริมาณสูง เมื่อฟัวกราส์ถูกความร้อนจะให้ความหอมมันเป็นอย่างมากแต่นั้นก็หมายถึงโทษทางโภชณาการที่สูงมากเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดีฟัวกราส์ก็นับเป็นหนึ่งในวัตถุดิบชั้นเลิศสำหรับเชฟและนักชิม ซึ่งในปัจจุบันฟัวกราส์ถูกนำไปใช้ประกอบอาหารแทบทุกชนิดทั้งในอาหารไทยฟิวชั่น ซูชิ และประกอบกับอีกหลากหลายเมนู อย่างไรก็ดีทีมงานกินแหลกแจกดาวขอเตือนด้วยความหวังดีว่าอร่อยปากเราก็อย่าให้ลำบากกายแล้วกัน ^^ เรียบเรียงโดยทีมข่าวการกิน กินแหลกแจกดาว Kinlakestars.com Team ——————————————————————————————————————————————— A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A…

Read More