โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ พร้อมกับโรงแรมในเครือเคมปินสกี้ทั่วโลก ร่วมเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 15 ปี ของ Lady in Red และ Gentleman in Red สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษที่ถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นด้านการบริการสุดเอ็กคูลซีฟของแบรนด์เคมปินสกี้ ที่พร้อมให้การดูแลเอาใจใส่แขกทุกท่านที่มาเยือนในทุกรายละเอียด Lady in Red และ Gentleman in Red เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) เปรียบเสมือนทูตแห่งการต้อนรับในเครื่องแต่งกายสีแดงอันโดดเด่นมีสไตล์ พร้อมที่จะให้บริการแขกผู้มาเยือนโรงแรมในเครือเคมปินสกี้ทุกท่านด้วยความอบอุ่นและมิตรไมตรีอันดีเยี่ยม ด้วยความรอบรู้ในรายละเอียดต่างๆ ของโรงแรม และข้อมูลด้านวัฒนธรรมต่างๆ ของภูมิภาค ผนวกกับบุคลิกภาพที่อันแสนมีเสน่ห์ ทำให้ Lady in Red และ Gentleman in Red รับหน้าที่เป็นทั้งเจ้าหน้าที่ต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือน เป็นทั้งผู้ที่คอยบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ในกับแขกทุกท่าน เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ด้านบริการเฉพาะบุคคลให้เหมาะกับแขกแต่ละท่าน โดยการบริการของ Lady in Red และ Gentleman in Red จะเป็นสิ่งที่สะท้อนอัตลักษณ์อันโดดเด่นของแต่ละโรงแรม ผ่านทางวัฒนธรรมและวิถีชิวิตของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น ภายใต้มาตรฐานการบริการของโรงแรมเครือเคมปินสกี้ สำหรับโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ ความงดงามของชุดยูนิฟอร์มของ Lady in Red และ Gentleman in Red ได้รับการออกแบบอย่างประณีต พิถีพิถัน รวมถึงสไตล์การตัดเย็บแบบยุโรปที่ประยุกต์ให้เข้ากับกลิ่นอายความเป็นไทยได้อย่างกลมกลืน แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานด้านวัฒนธรรมดั้งเดิมกับความร่วมสมัยไว้ได้อย่างลงตัว และอีกสิ่งหนึ่งซึ่งถือเป็นหัวใจหลักที่สร้างความประทับใจให้กับแขกทุกท่าน นั่นก็คือ Lady in Red และ Gentleman in Red บุคลากรผู้สวมใส่ชุดยูนิฟอร์มสีแดงเหล่านี้ ผู้ที่คอยให้การต้อนรับแขกทุกท่านด้วยความอบอุ่น ใส่ใจในทุกรายละเอียด และสร้างสรรค์ช่วงเวลาอันแสนประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงวันสุดท้ายของการเข้าพัก เนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี ของ Lady in Red และ Gentleman in Red นี้ โรงแรมสินธร…
Author: Kittin Assavavichai
ชุดน้ำชายามบ่ายสุดประณีตรังสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองฤดูร้อนอันสดใสของประเทศญี่ปุ่นและความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของทุ่งดอกลาเวนเดอร์บานสะพรั่ง ห้องอาหารอัพ แอนด์ อะบัฟ ณ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ มอบประสบการณ์อันรื่นรมย์ กับ “Sense of Lavender Afternoon Tea” พร้อมให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป ราคา 2,200++ บาท ต่อเซ็ต สำหรับ 2 ท่าน แรงบันดาลใจอันงดงามนี้ได้มาจากฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่น ฤดูกาลที่เปี่ยมด้วยความงามอันน่าตื่นตากับทุ่งลาเวนเดอร์อันเลื่องชื่อ ณ เมืองฮอกไกโด ที่บานสะพรั่งเป็นสีม่วงอร่ามตาและส่งกลิ่นหอมอันชวนฝัน ฤดูร้อนอันอุดมสมบูรณ์นี้ยังมอบวัตถุดิบชั้นเลิศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติ ทีมเชฟได้รังสรรค์ชุดน้ำชายามบ่ายนี้ขึ้นอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ทุกท่านได้สัมผัสถึงกลิ่นอายของฤดูร้อนในประเทศญี่ปุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ “Sense of Lavender Afternoon Tea” ชุดน้ำชายามบ่ายอันประณีตหวานละมุนนี้ถูกจัดเสิร์ฟบนชั้นวางสีขาวที่ดูราวกับงานศิลปะ ทุกเมนูได้รับการรังสรรค์ขึ้นเพื่อมอบรสสัมผัสที่สดชื่นและมีชีวิตชีวา สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของฤดูกาลได้อย่างไร้ที่ติ ด้วยโทนสีม่วงอ่อนละมุนตาผสมผสานกับสีขาวนวล และแต่งแต้มด้วยสีสันสดใสจากผลไม้ ทำให้ชุดน้ำชายามบ่ายชุดนี้ชวนให้นึกถึงทุ่งลาเวนเดอร์อันเป็นแรงบันดาลใจได้อย่างลงตัว ค้นพบประสบการณ์เมนูอาหารคาวสุดพิถีพิถัน ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และรสชาติที่แสนลงตัว พบกับไฮไลต์อย่าง ‘Chicken with prune and cherry’ เนื้อไก่นุ่มละมุนลิ้น ‘Beetroot with lychee and honey cream’ รสสัมผัสสดชื่นเข้ากันอย่างลงตัว ‘Spicy Chicken’ ไก่รสจัดจ้านที่ตัดด้วยเจลเลมอน และ ‘Wild Forest mushroom’ เห็ดป่ากับพาเมซานชีสเติมแต่งด้วยผงสีม่วง เติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับยามบ่ายของคุณด้วยหลากหลายเมนูของหวานที่รังสรรค์ขึ้นอย่างบรรจง ดุจดั่งอัญมณีล้ำค่าแห่งฤดูร้อน สัมผัสความงดงามในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็น ทาร์ตทรงกลมละมุนละไมประดับประดาด้วยดอกไม้สีฟ้าครามดุจไพลิน ขนมอบรูปทรงวิจิตรบรรจงที่เปล่งประกายด้วยทองบริสุทธิ์พร้อมรายละเอียดสีม่วงละมุนตา และขนมหวานเนื้อเนียนนุ่มละมุนละไมที่จัดวางอย่างประณีตในถ้วยช็อกโกแลต ให้คุณได้ลิ้มลองความอร่อยในทุกสัมผัส เพลิดเพลินและดื่มด่ำไปกับขนมหวานเลิศรสที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น ‘Hokkaido Milk with blueberry’ นมสด ฮอกไกโดกับบลูเบอร์รี่รสอมเปรี้ยว ‘Organic Thai Vanilla’ มอบความหอมหวานตามธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์ พบกับการผสมผสานที่น่าสนใจกับ ‘Thai milk tea’…
โซเนวา (Soneva) ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเวิร์กช้อปดูแลสุขภาพกับเทศกาล SOUL Festival ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 13 ตุลาคม 2568 ที่ โซเนวา ฟูชิ (Soneva Fushi) รีสอร์ตหรูที่ตั้งอยู่ในบา อะทอล เขตสงวนชีวมณฑลของยูเนสโก้ (UNESCO) ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่เกาะที่ใหญ่และเงียบสงบที่สุดของมัลดีฟส์ เทศกาลนี้ จัดขึ้นเป็นระยะเวลา 5 วัน ภายใต้บรรยากาศของรีสอร์ท สุดลักซ์ชูรีริมชายหาดที่ดีที่สุดในโลก ผู้เข้าร่วมจะได้ดื่มด่ำกับการดูแลสุขภาวะ ภูมิปัญญาแห่งการเยียวยา และสายสัมพันธ์ของผู้คน ที่เชื่อมชุมชนระดับโลกของผู้แสวงหา ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนวหน้าจากทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน เทศกาล SOUL Festival ประจำปี 2568 ประกอบด้วยกลุ่มวิทยากร ซึ่งเป็นผู้นำทางความคิดและผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติที่สร้างแรงบันดาลใจมากมาย ได้แก่ ลุค เมลิสเซ่ (Luuk Melisse) และ กาเบรียล ออลเซฟสกี้ (Gabriel Olszewski) ผู้ก่อตั้ง Sanctum ซึ่งกลับมาอีกครั้ง พร้อมกิจกรรมยามเช้าที่เต็มไปด้วยพลังเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ รวมถึงเพกีน โครว์ลีย์ (Peigín Crowley) ผู้ก่อตั้ง Ground Wellbeing และผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดด้วยสัญชาตญาณ, ทิม เกรย์ (Tim Gray) ไบโอแฮ็กเกอร์ชั้นนำของยุโรปและผู้นำทางความคิดระดับโลกด้านสุขภาพและอายุที่ยืนยาว, นาตาลี ชิลเลิร์ต (Nathalie Schyllert) ซีอีโอของ Bodyism ที่มาร่วมเสนอแนวทางเพื่อสุขภาพกายและใจแบบองค์รวม พร้อมฟรีด้า เรดแนปป์ (Frida Redknapp) ผู้สนับสนุนแนวคิดด้านสุขภาวะและผู้ร่วมสร้างสรรค์ที่ Bodyism, ดร. ทิม โกลูเกอ (Dr. Timm Golüke) แพทย์ผิวหนังชื่อดังและผู้บุกเบิกการดูแลสุขภาพผิวเพื่อชะลอวัย และโรสส์ กาเบอร์ (Roses Gabor) นักดนตรีและนักบำบัดด้วยเสียงที่มีชื่อเสียงในการมอบประสบการณ์เยียวยาอย่างลึกซึ้ง รายชื่อวิทยากรยังรวมถึง เคิร์สเตน คิง (Kirsten King) จาก…
ในโอกาสที่ คีรี ไพรเวท รีเซิร์ฟ (Kiri Private Reserve) กำลังเตรียมหยุดให้บริการเพื่อปรับโครงสร้างใหม่ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป เราขอเชิญชวนทุกท่านร่วมสัมผัสประสบการณ์อันหายากเพื่อเป็นการส่งท้าย กับแพ็คเกจสุดพิเศษ ‘Timeless Elegance Retreat for Thai Residents’ ในราคาเริ่มต้นที่ 76,000 บาทสำหรับการเข้าพัก 2 คืนสำหรับ 2 ท่าน แพ็คเกจนี้รวมอาหารเช้าและอาหารเย็น ทรีตเมนต์สปา 60 นาที และการใช้บริการที่ห้องอาหารลอยฟ้า (TreePod Experience) 30 นาที สามารถสำรองห้องพักและเข้าพักได้ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 โอกาสสุดท้ายที่ทุกท่านจะได้พักผ่อนท่ามกลางความเงียบสงบเหนือกาลเวลาของรีสอร์ต โดยมีฉากหลังอันเขียวชอุ่มของต้นไม้ และวิวทะเลแบบพาโนรามาของเกาะกูด คีรี ไพรเวท รีเซิร์ฟ ตั้งอยู่บนเกาะกูด เป็นสถานที่พักผ่อนระดับลักซ์ชูรีอันเงียบสงบ ผ่านการออกแบบโดยคำนึงถึงความยั่งยืน มาพร้อมวิลล่าขนาดใหญ่ มีพื้นที่นั่งเล่นกลางแจ้ง สระว่ายน้ำส่วนตัว และทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลอ่าวไทย ผู้เข้าพักสามารถผ่อนคลายไปกับทรีตเมนต์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ รับประทานอาหารใต้แสงดาวจากวัตถุดิบออร์แกนิกแบบ Farm To Table สำรวจสิ่งมีชีวิตทางทะเลอันอุดมสมบูรณ์ หรือผจญภัยไปน้ำตกลับที่ซ่อนอยู่บนเกาะ ทุกประสบการณ์ผ่านการคัดสรรมาแล้วเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ ความเงียบสงบ และเพื่อการผ่อนคลายอย่างเต็มอิ่ม ราคาในแพ็คเกจนี้คิดเป็นเงินบาท รวมค่าบริการและภาษีแล้ว โดยวิลล่าแบบ 1 ห้องนอนสามารถเข้าพักได้ 2 ท่าน และใช้ได้เฉพาะชาวไทยหรือชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น (ต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนหรือใบอนุญาตทำงานเมื่อสำรองห้องพักและเช็คอิน) โดยข้อเสนอนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่นได้ สำหรับผู้ที่เคยมีความทรงจำที่ดีกับ คีรี ไพรเวท รีเซิร์ฟ นี่คือโอกาสครั้งสุดท้ายที่จะได้บอกลาเป็นการชั่วคราว จนกว่าการปรับโครงสร้างจะเสร็จสิ้น และกลับมาให้บริการใหม่ได้อีกครั้ง อย่าพลาดข้อเสนอและราคาสุดพิเศษในครั้งนี้ เพราะ คีรี ไพรเวท รีเซิร์ฟ จะเป็นจุดหมายปลายทางในฝันที่จะอยู่ในหัวใจของท่านเสมอ สำหรับการสำรองห้องพัก กรุณาติดต่อที่ โทร. 082 208 8888 และอีเมล [email protected] Kinandleisure.com Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ…
ห้องอาหารเวอร์ทิโก้ ทู เชิญทุกท่านสัมผัสมนต์เสน่ห์ของอาหารโมร็อกโก กับดินเนอร์สุดพิเศษ โดย เชฟโมฮาเหม็ด เบลโลเต้ (Chef Mohamed Bellote) เชฟผู้เชี่ยวชาญในการประกอบอาหารโมร็อกโก ประจำโรงแรมอังสนา เฮอริเทจ คอลเลคชั่น ณ มาราเกช ริยาด ประเทศโมร็อกโก (Angsana Heritage Collection, Marrakech Riads) ที่จะมารังสรรค์ความอร่อยตำรับดั้งเดิมจากแอฟริกาเหนือให้คุณได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด เชฟโมฮัมเหม็ดเติบโตในครอบครัวชาวอมาซิก ชนพื้นเมืองประเทศโมร็อกโก มีความมุ่งมั่นในการสืบสานและยกระดับมรดกทางอาหารของชาวโมร็อกโกให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับสากล เขาได้รับการยอมรับอย่างสูงในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในประเทศซาอุดีอาระเบีย ในฐานะทูตวัฒนธรรมอาหารโมร็อกโก ด้วยศิลปะการปรุงอาหารที่ได้รับฉายาว่า “เชฟมือทอง” ซึ่งผสานความดั้งเดิมเข้ากับความประณีตได้อย่างวิจิตรบรรจง โดยมีการถ่ายทอดเรื่องราวของโมร็อกโกผ่านอาหารทุกจานอย่างสร้างสรรค์ ลิ้มลองรสชาติอาหารโมร็อกโกสูตรต้นตำรับก่อนใคร กับเมนู 5 คอร์ส ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันผ่านเทคนิคการปรุงรสต่างๆ โดยเน้นความร่วมสมัยที่ไม่ละทิ้งกลิ่นอายดั้งเดิม เริ่มต้นดินเนอร์สุดพิเศษด้วย เมนูมารัคชี่ ฮาริรา (Marrakchi Harira) ซุปสมุนไพรกลิ่นหอมเข้มข้นที่ชาวโมร็อกโกนิยมรับประทานในช่วงรอมฎอน เสิร์ฟพร้อมเนยหมักแบบดั้งเดิม (Smen) และอินทผาลัมเมดจูล (Medjool) รสหวานละมุน เติมเต็มรสชาติอย่างกลมกล่อม ตามด้วย สลัดโมร็อกโกโฮมเมด (Moroccan Homemade Mixed Salad) ที่คัดสรรผักตามฤดูกาล เช่น แครอท มะเขือม่วง ซูกินี มะเขือเทศ และฟักทอง ปรุงรสด้วยสมุนไพรของท้องถิ่น เพื่อชูรสชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ ลิ้มลอง พาสทิลาไก่ (Free-Range Chicken Pastilla) พายโมร็อกโกคลาสสิกที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบซึ่งถูกคัดสรรมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นไก่เนื้อนุ่ม อัลมอนด์อบ กัมอารบิก และหญ้าฝรั่นแท้ ห่อด้วยแป้งบางกรอบอบจนเหลืองทอง ตามด้วยจานหลักสุดคลาสสิกอย่าง คูสคูสโมร็อกโกสูตรต้นตำรับ (Authentic Moroccan Couscous) ซึ่งสามารถจัดเสิร์ฟได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เนื้อลูกวัวนุ่มละมุน อาหารทะเลสด หรือ ผักนานาชนิดตามฤดูกาล จัดเสิร์ฟพร้อมน้ำซุปปรุงรสแบบโมร็อกโกและเครื่องเคียงดั้งเดิม เพิ่มรสสัมผัสความกลมกล่อมอย่างลงตัว ด้วย เมนูทาจีนเนื้อลูกวัวตุ๋นผลไม้แห้ง (Veal Tagine with Dried Fruits) หอมละมุนด้วยแอปริคอต พรุน อัลมอนด์ และหญ้าฝรั่น ทั้งนี้เชฟยังนำเสนอ เมนูทาจีนปลาเฮก (Fish Tagine) ซึ่งเนื้อปลานั้นได้ผ่านการหมักในซอสเชอร์มูล่า (Chermoula) ตุ๋นรวมกับผักหลากชนิดชูรสชาติอันกลมกล่อม ปิดท้ายมื้อค่ำอย่างประทับใจด้วย เมนู Milk Pastilla หรือ Jawhara ขนมหวานที่ทำจากแป้งบางกรอบ เสิร์ฟคู่กับครีมนมกลิ่นดอกส้ม เพิ่มความสดชื่นกับเมนูส้มสดโรยอบเชย ราดซอสโป๊ยกั๊กหอมเย็น (Fresh Oranges with Cinnamon) นอกจากนี้เชฟยังรังสรรค์คุกกี้สไตล์โมร็อกโก (Ghriba และ Fekkas) ซึ่งนำเสิร์ฟพร้อมชามิ้นท์หอมสดชื่นเพื่อเติมเต็มประสบการณ์อย่างสมบูรณ์แบบ ขอเชิญทุกท่านร่วมเปิดประสบการณ์อาหารโมร็อกโกสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ระหว่างวันที่ 14 – 25 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องอาหารเวอร์ทิโก้ ทู กับเมนู 5 คอร์ส ที่สะท้อนวัฒนธรรมและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ รังสรรค์โดยเชฟโมฮาเหม็ด เบลโลเต้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารโมร็อกโกโดยเฉพาะ ในราคาสุดคุ้มเพียง 1,999 บาทสุทธิต่อท่าน เท่านั้น ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. +66 (0) 2679-1200 หรืออีเมล์ [email protected]…
โรงแรม บันยันทรี กรุงเทพ เผยโฉมประสบการณ์ล่องเรือเอ็กซ์คลูซีฟกับเรือแซฟฟรอน ครูซ ที่มาพร้อมลวดลายศิลป์ตระการตาของภาพวาดที่ได้แรงบันดาลใจจากปลากัดไทยขนาดใหญ่ข้างตัวเรือ ถ่ายทอดความสง่างามของสัตว์น้ำประจำชาติด้วยฝีแปรงอย่างประณีตงดงาม เปลี่ยนลำเรือให้กลายเป็นงานศิลป์บนสายน้ำที่สะท้อนถึงความภาคภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมไทย สัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความสง่างาม ปลากัดไทยได้รับการเชิดชูให้เป็นสัตว์น้ำประจำชาติของไทย และมีความหมายลึกซึ้งในวัฒนธรรมไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม สีสันสดใส และอุปนิสัยที่แข็งแกร่ง ปลากัดจึงปรากฏอยู่ในนิทานพื้นบ้าน วรรณกรรม และศิลปะในราชสำนักมาตลอด ในอดีตยังเคยได้รับการเลี้ยงดูในวังหลวง และเป็นส่วนหนึ่งของการละเล่นพื้นบ้าน สะท้อนถึงความงดงามควบคู่กับความกล้าแกร่ง ซึ่งเป็นคุณค่าที่อยู่ในแก่นของความเป็นไทย การนำภาพหางปลากัดที่สวยงามมาตกแต่งบนเรือที่ล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา จึงถือเป็นการสดุดีและเฉลิมฉลองมรดกทางวัฒนธรรมไทยที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน พร้อมเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนซึมซับเรื่องราวแห่งวัฒนธรรมผ่านประสบการณ์ร่วมสมัย กับภาพวาดขนาดใหญ่ที่ทอดตัวไปตามลำเรือที่เปรียบเสมือนการขับขานเรื่องราวที่มีชีวิต และเคลื่อนไหวไปพร้อมกับวิวริมฝั่งแม่น้ำอันเปี่ยมด้วยประวัติศาสตร์ เปิดประสบการณ์วัฒนธรรมรูปแบบใหม่ เรือแซฟฟรอน ครูซ ยังคงนำเสนอการเดินทางผ่านรสชาติและทัศนียภาพแห่งเมืองไทยอย่างละเมียดละไม บนเรือสองชั้นที่งดงาม ชั้นล่างเป็นห้องอาหารในห้องปรับอากาศให้บริการอาหารไทยแบบเซ็ทเมนูสี่คอร์ส ที่รังสรรค์อย่างพิถีพิถัน ขณะที่ Moon Deck ชั้นดาดฟ้าของเรือเปิดรับสายลมและความสดชื่น ให้แขกผู้มีเกียรติดื่มด่ำค็อกเทลท่ามกลางแสงดาว พร้อมชมความงดงามของสถานที่สำคัญ เช่น วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร และพระบรมมหาราชวัง โดยมีภาพวาดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหางปลากัดเป็นเสมือนบทนำทางสายตา สร้างบรรยากาศให้ค่ำคืนเต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งวัฒนธรรม ศิลปะบนสายน้ำ การปรับโฉมเรือแซฟฟรอน ครูซในครั้งนี้โรงแรม บันยันทรี กรุงเทพ ได้แสดงถึงพันธกิจอันแน่วแน่ในการส่งเสริมและเชิดชูมรดกวัฒนธรรมไทย ผ่านการศิลปะ อาหารไทยชั้นเลิศ และประสบการณ์ร่วมสมัย ภาพวาดส่วนหางอันสง่างามของปลากัดประณีตบรรจงที่วาดด้วยมือจึงไม่ใช่เพียงแค่การตกแต่งเพื่อความสวยงาม แต่ยังเป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดผ่านผืนน้ำ สะท้อนจิตวิญญาณและเอกลักษณ์ของความเป็นไทย พร้อมเป็นบทบันทึกของความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างผู้คนกับสายน้ำเจ้าพระยา เรือแซฟฟรอน ครูซ ให้บริการทุกวัน เวลา 19.00 น. จากท่าเรือไอคอนสยามหมายเลข 2 เซ็ทอาหารไทย 4 คอร์ส ราคา 3,300 บาทต่อท่าน ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. +66 (0) 2679-1200 หรืออีเมล์ [email protected] Kinandleisure.com Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป…
ค่ำคืนพิเศษจากสามเชฟที่เดินทางจากดินแดนอีสาน มาสู่ครัวเมืองกรุง กลายเป็นบทสนทนารสชาติระหว่าง “House Number 1712” ร้านอาหารจากสกลนคร และ “Kaenkrung (แก่นกรุง)” ทีมครัวเมืองหลวงที่ชูอัตลักษณ์อาหารอีสานในแบบสร้างสรรค์ ด้วยแนวคิดที่ว่า อาหารพื้นถิ่นไม่จำเป็นต้องหยุดอยู่แค่ความจำเจของอดีต หากสามารถเดินทางไปข้างหน้าด้วยรากฐานที่มั่นคง KAENKRUNG X House Number Seventeen Twelve ภายใต้แนวคิด “จากรากของอีสาน สู่จานอาหารที่เมืองกรุง” เมนูทั้ง 9 รายการถูกร้อยเรียงอย่างมีชั้นเชิง ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่นที่เชฟแต่ละคนเติบโตมาพร้อมมัน ถ่ายทอดด้วยเทคนิคสมัยใหม่แต่ไม่หลงลืมกลิ่นดิน กลิ่นฝน และรสเปรี้ยวเค็มเผ็ดแหลมที่เป็นหัวใจของอีสานแท้ 1. อรันชินี่แหนมข้าวทอดไส้เนื้อปู (Sour Pork Arancini with Crab Meat) แรงบันดาลใจจาก “แหนมข้าวทอด” เมนูพื้นบ้านอีสานที่มักรับประทานกับใบมะกรูดและพริกขี้หนู เชฟแปลงโฉมเมนูนี้ให้กลายเป็น “อรันชินี่” หรือข้าวปั้นทอดแบบอิตาเลียน โดยใช้ข้าวหมักรสเปรี้ยวแบบแหนม คลุกเคล้าสมุนไพรอีสาน แล้วซ่อนหัวใจของจานไว้ด้วย “เนื้อปูทะเล” แน่นๆ สร้างรสเปรี้ยว-มัน-เค็มในคำเดียว พรั่งพร้อมด้วยกลิ่นหอมสมุนไพรที่เรียกน้ำย่อยอย่างมีชั้นเชิง และเสิร์ฟมาในไหปลาร้า เวลาจะกินก็เอามือจกไปในให้เป็นกิมมิคเล็กๆที่เชฟอยากนำเสนอ 2. ลาบหมึกดำ (Laab Black Ink Squid) จานลาบที่หลายคนคุ้นลิ้น ถูกยกระดับด้วยปลาหมึกสด คลุกกับเครื่องลาบที่เปลี่ยนพริกป่นให้เป็น “พริกคั่วหมึกดำ” มีกลิ่นทะลึ่งทะลวงจากน้ำหมึกเข้มข้น เสริมด้วยใบสะระแหน่ ผิวมะกรูด และข้าวคั่วคั่วใหม่ กลายเป็นลาบที่ไม่ซ้ำใคร กลิ่นคาวทะเลกลับกลายเป็นเสน่ห์ที่ชวนหยุดลิ้นให้ซึมซับ 3. ตำปาหน้าฝน (Rainy Jungle Salad) สลัดอีสานในแบบ “ตำป่า” ที่ตีความใหม่ด้วยวัตถุดิบป่าหน้าฝนจากสกลนคร ผักพื้นบ้านกรุบกรอบนานาชนิดถูกรวบรวมมาในจานเดียว ทั้งผักติ้ว ผักชีลาว เห็ดเผาะและมะเขือเทศ เส้นเกี้ยมอี๋ ราดด้วยน้ำตำเปรี้ยวเผ็ดดั้งเดิม เติมกลิ่นปลาร้าหอมๆ จากหม้อหมักของร้านบ้านเกิด และแคปหมู กลายเป็นจานที่ชุ่มฉ่ำ เปรี้ยวสด และเผ็ดปลายลิ้นอย่างทรงพลัง 4. จุ๊ปลาซ่อนทะเล (Sea Fish Sashimi with Local Herbs) การจุ๊หรือ “จุ๊ดิบ” ของอีสานเหนือถูกนำมาเล่าใหม่…
Story : Nathanai C. / Photo : Pol.Capt. Kittin AChef : Tochakhala / Cuisine type : Japanese Cuisine / Level : Casual Dining เมื่ออาหารญี่ปุ่นไม่ใช่เพียงเรื่องของรสชาติ หากแต่คือประสบการณ์—Soshi ณ โรงแรม So/ Bangkok กลับมาอีกครั้งในโฉมใหม่ที่จริงจังกว่าเดิม ภายใต้แนวคิดที่ชัดเจนในการยกระดับ “ซูชิบาร์ในโรงแรม” สู่จุดที่เป็นได้มากกว่าความพรีเมียมบนจานอาหาร ที่นี่คือการพบกันของวัตถุดิบชั้นเลิศ งานฝีมือเชิงเทคนิค และรสนิยมร่วมสมัยที่พร้อมท้าทายมาตรฐานของคำว่าบุฟเฟ่ต์ญี่ปุ่น ด้วยเมนูเด่นอย่างซูชิฟัวกราส์ ล็อบสเตอร์มิโซะ และราเมนวากิวกระดูกวัวเข้มข้น ที่ร้อยเรียงแต่ละคำราวกับบทกวีในภาษาของเชฟผู้มีฝีมือ—และที่สำคัญ คือราคาที่จับต้องได้อย่างน่าประหลาดใจ สัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่ Soshi พร้อม GM ท่านใหม่ คุณ Adrian และ “Turning Point” ที่น่าจับตาเตรียมพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ Soshi ณ โรงแรม So/ Bangkok! ภายใต้การนำทัพของ GM ท่านใหม่ คุณ Adrian ผู้มีประสบการณ์พลิกโฉมคลับดังที่บาหลี สู่การเดินทางครั้งใหม่เพื่อยกระดับ Soshi ให้ก้าวไปอีกขั้น สำหรับแฟนคลับ So/ Bangkok เตรียมตัวเปิดรับประสบการณ์อาหารญี่ปุ่นรสเลิศที่ Soshi พร้อมเสิร์ฟความอร่อยเหนือระดับWelcome Bites สุดพิเศษ ชวนลิ้มลองรสชาติแรกแห่งความประทับใจ เมนูเปิดสำหรับทุกท่านได้แก่ Lobster Akadashi Miso Soup: ซุปมิโซะสีทองอร่าม หอมกลิ่นอายทะเลบางๆ พร้อมก้ามล็อบสเตอร์เนื้อแน่น สดหวาน ให้รสสัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้น เปิดประสบการณ์อาหารญี่ปุ่นได้อย่างน่าประทับใจตั้งแต่คำแรกเลยทีเดียว Soshi Simply – Sashimi & Nigiri Platter เมื่อพูดถึงหัวใจของอาหารญี่ปุ่น คำตอบมักอยู่ที่ความสด และการหั่นที่แม่นยำจนเนื้อปลาคำหนึ่งสามารถเล่าเรื่องได้ทั้งทะเล “Soshi Simply” คือเซ็ตซูชิและซาชิมิรวมที่จัดเรียงอย่างละเมียดละไม โดยให้ความสำคัญกับทั้งรสชาติและสายตา…
ร้านอาหารจีน “เฮยยิน” ณ ชั้น 3 ศูนย์การค้าเกษรวิลเลจ โดยอิมแพ็ค เมืองทองธานี ประกาศความพร้อมครั้งสำคัญในการนำพาทุกท่านสู่สุดยอดประสบการณ์อาหารจีนกวางตุ้งและติ่มซำระดับพรีเมียมอย่างแท้จริง ด้วยการเสริมทัพสองหัวหน้าเชฟผู้เชี่ยวชาญระดับมาสเตอร์ เชฟนราพงษ์ กองคำ (Executive Sous Chef) และเชฟชิงเฉียง เติ้ง Executive Sous Chef (Dim Sum) ซึ่งจะมาร่วมเสริมกำลังและสร้างสรรค์ตำรับความอร่อยเคียงข้างเชฟใหญ่ เชฟแจ็คกี้ ชาน ในบรรยากาศหรูหราใจกลางกรุงเทพฯ การผนึกกำลังของทีมเชฟผู้มากประสบการณ์รวมกว่า 50 ปีในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเฮยยินในการส่งมอบประสบการณ์อาหารจีนกวางตุ้งที่พิถีพิถันไร้ที่ติ ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบชั้นยอดจากทั่วโลก ไปจนถึงเทคนิคการปรุงที่สืบทอดมายาวนาน ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เพื่อให้ทุกเมนูคือประสบการณ์ที่น่าจดจำและแตกต่าง พบกับเชฟนราพงษ์ กองคำ Executive Sous Chef ผู้สั่งสมประสบการณ์กว่าสองทศวรรษในแวดวงอาหารจีน จากครัวชั้นนำมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงโรงแรมห้าดาวในฮ่องกงและมาเก๊า ด้วยความเชี่ยวชาญลึกซึ้งในอาหารจีนหลากหลายภูมิภาค โดยเฉพาะอาหารกวางตุ้ง เชฟนราพงษ์ให้ความสำคัญสูงสุดกับคุณภาพและความใส่ใจในทุกขั้นตอนการปรุง “ผมเชื่อว่าอาหารจีนกวางตุ้งที่ดีต้องเริ่มจากวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยม และความใส่ใจในทุกขั้นตอนการปรุง” เชฟนราพงษ์กล่าวเน้นย้ำ พร้อมเผยถึงการคัดสรรวัตถุดิบพรีเมียม อาทิ เป๋าฮื้อสดจากออสเตรเลีย, เห็ดหอมญี่ปุ่น และซอสสูตรลับเฉพาะ เพื่อรังสรรค์รสชาติที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าเฮยยิน จากฝีมืออันประณีตและความลงตัวของวัตถุดิบพรีเมียม ขอแนะนำเมนูไฮไลท์จากฝีมือเชฟนราพงษ์ที่ไม่ควรพลาด อาทิ: เป๋าฮื้อเนื้อออสเตรเลียกับเป็ดย่างบะหมี่ญี่ปุ่นน้ำแดง: ความลงตัวของเป๋าฮื้อเกรดพรีเมียมผัดกับซอสพิเศษสูตรเฮยยิน เสิร์ฟพร้อมเป็ดย่างหนังกรอบหอมกรุ่น และบะหมี่ญี่ปุ่นเส้นเหนียวนุ่ม ซี่โครงเนื้อวากิวผัดซอสคาราเมล: เนื้อวากิวนุ่มละลายในปาก คลุกเคล้าซอสคาราเมลรสเข้มข้นหอมหวาน บาร์บีคิวซี่โครงแกะนิวซีแลนด์ (ชาซิว): ซี่โครงแกะนิวซีแลนด์คุณภาพสูง หมักด้วยซอสสูตรพิเศษและนำไปย่างจนหอมกรุ่น เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ไอศกรีมมะม่วงทอด เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวดำ: ของหวานสูตรลับเฉพาะที่ผสมผสานความกรอบนอกนุ่มในของไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้ทอดเข้ากับความหอมมันของข้าวเหนียวดำได้อย่างลงตัว และอีกหนึ่งความพิเศษคือสุดยอดติ่มซำเลิศรสจากฝีมือเชฟชิงเฉียง เติ้ง Executive Sous Chef (Dim Sum) ผู้คร่ำหวอดในวงการติ่มซำมากว่า 20 ปี โดยเริ่มต้นเส้นทางจากโรงแรมระดับห้าดาวในฮ่องกง เชฟเติ้งมีความชำนาญเป็นพิเศษในการปั้นฮะเก๋าที่ได้แป้งบางกรอบ และการทำซาลาเปาที่นุ่มฟูเบาดุจปุยเมฆ “ติ่มซำของเฮยยินมีจุดเด่นที่ความพิถีพิถันในการคัดสรรวัตถุดิบ” เชฟเติ้งอธิบาย พร้อมยกตัวอย่างการใช้กุ้งแม่น้ำเนื้อแน่นสำหรับฮะเก๋า และเห็ดหอมมิยาซากะนำเข้าจากญี่ปุ่นโดยตรง เพื่อให้ติ่มซำทุกชิ้นมีรสชาติและสัมผัสที่สมบูรณ์แบบที่สุดในทุกคำที่ลิ้มลอง สัมผัสความอร่อยเหนือระดับของติ่มซำซิกเนเจอร์จากฝีมือเชฟชิงเฉียง เติ้ง ที่ไม่เหมือนใคร อาทิ: ฮะเก๋ากุ้ง 4 สหาย: ฮะเก๋ากุ้งแม่น้ำเนื้อแน่นใน 4 สีสัน แต่ละสีซ่อนรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งหมึกดำ, แครอท, บ๊วย และโหระพา ซาลาเปาวอลนัทไส้หมูสับ: ซาลาเปาเนื้อนุ่มหอมกลิ่นวอลนัท…
เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างปี 2025 นี้ เราได้รวบรวมบ๊ะจ่างเลิศรสจาก 4 สถานที่ชื่อดังในกรุงเทพฯ ที่ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านรสชาติ วัตถุดิบ และการนำเสนอ เพื่อให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์การลิ้มลองบ๊ะจ่างที่หลากหลายและน่าประทับใจ 1. The Silk Road, The Athenee Hotel – บ๊ะจ่าง 3 สไตล์ สะท้อนวัฒนธรรมกวางตุ้งแท้ อ่านรีวิวเต็มต่อ <คลิกที่นี่> ห้องอาหาร The Silk Road นำเสนอ “บ๊ะจ่าง 3 สหาย” ที่รังสรรค์โดยเชฟกั๊ม ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจีนระดับภัตตาคาร แต่ละห่อมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว: Chef’s Signature Zong Zi: ผสมผสานหมูคุโรบูตะ กุ้งแห้ง เห็ดหอม ถั่วแดง และพุทราจีนแห้ง Cantonese Zong Zi: เน้นรสชาติกลมกล่อมจากหมูคุโรบูตะ กุนเชียง ไข่แดงเค็ม และเกาลัด Deluxe Abalone Zong Zi: หรูหราด้วยหอยเป๋าฮื้อ กังป๋วย ไข่แดงเค็ม และหมูคุโรบูตะ ทุกห่อห่อด้วยใบไผ่และข้าวเหนียวคุณภาพสูง พร้อมให้บริการถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 อ่านรีวิวเต็มต่อ <คลิกที่นี่> 2. Pagoda Chinese Restaurant, Bangkok Marriott Marquis Queen’s Park – บ๊ะจ่างเจียซิงต้นตำรับในกล่องของขวัญหรู อ่านรีวิวเต็มต่อ <คลิกที่นี่> ห้องอาหารพาโกด้านำเสนอ “บ๊ะจ่างเจียซิง” สูตรดั้งเดิมจากมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน มีให้เลือกทั้งไส้เค็มและไส้หวาน: ไส้เค็ม: ประกอบด้วยหอยเป๋าฮื้อ หอยเชลล์แห้ง ไข่แดงเค็ม ไส้กรอกจีน ซี่โครงหมู กุ้งแห้ง และเห็ดชิทาเกะ ไส้หวาน: ผสมผสานเผือก แปะก๊วย พุทราจีน เกาลัด เม็ดบัว ถั่วแดง…