Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A
สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารทุกท่าน วันนี้พวกเราทีมงาน Kinandleisure ก็มีร้านอาหารดีๆ และเทศกาลอาหารที่น่าประทับใจมานำเสนอและบอกเล่าประสบการณ์อีกเช่นเคย ซึ่งรอบนี้ขอการันตีได้เลยเป็นเทศกาลอาหารที่หาทานไม่ได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน โดยเมื่อขึ้นลิฟต์ไปชั้น 59 ขึ้นบันไดหน้าห้องอาหารไปยุน แล้วเลี้ยวเข้ามาใน Vertigo Too ที่น่าคุ้นเคยและยังรู้สึกเหมือนเดิม คือการได้รับยลโฉมแสงเมืองกรุงเทพฯ ยามอัสดงและยามค่ำคืน พร้อมบรรยากาศสุดคูล โซฟากำมะหยี่สีเข้มสุดเรียบหรูรับหลังได้พอดี และโซนห้องอาหารที่น่าดื่มด่ำไปกับค่ำคืนอันน่าประทับใจ เพียงแต่คืนนี้บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากการตกแต่งที่แตกต่าง จากนิทรรศการทางอาหารที่ทำให้เราได้เข้าถึงรสชาติอันไม่คุ้นเคยที่น่าค้นหา กับคอนเซ็ปต์ “A Taste of Morocco” ที่โรงแรมนำมาเสิร์ฟช่วง 14–25 กรกฎาคม ศกนี้

Location

Vertigo Too เป็นห้องอาหารที่เรารู้กันดีว่าเน้นวิวเมืองแบบเต็มตา ด้วยบรรยากาศแบบพาโนรามาให้เห็นท้องฟ้าของกรุงเทพ (ถ้ามาตอนก่อนพระอาทิตย์ตกดิน จะได้บรรยากาศที่สวยงามมากๆ) โดยมีจุดเด่นคือห้องอาหารพร้อมเสิร์ฟค็อกเทลดี ๆ และมีอาหารที่ปรับเปลี่ยนตามธีมอยู่ตลอดเวลา มีการจัดอีเว้นตลอดปีไม่มีเบื่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในโลเคชั่นที่น่ามาเยี่ยมชมและรับประทานอาหารสักครั้ง หรือสำหรับท่านที่ต้องการรับลมชมวิวแบบเต็มตัวเต็มใจ ด้านบนก็ยังเป็นโซนของ Vertigo ซึ่งเป็นหนึ่งในโลเคชั่นยอดฮิต ด้วยวิวสุดตระการตายามค่ำคืนที่พร้อมให้ทุกท่านได้สัมผัส

A Taste of Morocco

โดยนิทรรศการอาหารในค่ำคืนนี้ นำทีมโดย เชฟ Mohamed Bellote จาก Angsana Heritage Collection, Marrakech Riads ผู้ที่คุ้นเคยกับอาหารโมร็อกโกขนานแท้เป็นอย่างดี และพิสูจน์ความสามารถด้วยการปรับอาหารให้กินง่ายขึ้นและมีความเป็นสากลมากขึ้น โดยเมนูออกแบบเป็น 5 คอร์ส โดยมีลักษณะเป็น Sharing menu ตามสไตล์อาหารโมร็อกโก สุทธิราคาที่ 1,999 บาท/ท่าน โดยจุดที่ชอบคือลักษณะการเสิร์ฟอาหารแบบ Sharing ที่ไม่ใช่แค่คำเก๋ ๆ แต่สอดคล้องกับวัฒนธรรมการกินแบบครอบครัวของที่นั่นจริง ๆ เรียกได้ว่า จานกลางวางลงมา เราตักแบ่งกัน พูดคุย แลกเปลี่ยน (และคุยกันเล่นๆ กันว่าอะไรคือ Ras el Hanout กันแน่) ซึ่งก็เป็นจุดร่วมเล็กๆ ที่สามารถสื่อถึงกันได้ระหว่างวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกด้วยเช่นกันครับ

หากกล่าวถึงอาหารโมร็อกโก หลายคนอาจนึกถึงสีสันของตลาดเครื่องเทศในเมืองมาร์ราคิช กลิ่นหอมลอยอ้อยอิ่งจากหม้อสตูว์บนเตาดินเผา หรือแท่นเสิร์ฟทาจีน (Tajine) ร้อน ๆ ที่มาพร้อมไอน้ำกรุ่น แต่แท้จริงแล้วอาหารโมร็อกโกคือการเดินทางผ่านประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต — เป็นผลลัพธ์จากการผสมผสานอารยธรรมอาหรับ เบอร์เบอร์ ยิว อันดาลูเซีย ไปจนถึงอิทธิพลฝรั่งเศสและเมดิเตอร์เรเนียนที่หลอมรวมผ่านกาลเวลา

อาหารพื้นเมืองจึงไม่ได้เพียงซับซ้อนด้วยรสชาติ แต่ยังละเอียดอ่อนในจังหวะการใช้เครื่องเทศอย่างมีศิลปะ — ทั้งยี่หร่า พริกหวาน อบเชย ขิง ลูกผักชี และซาฟฟรอน ถูกนำมาปรุงอย่างชาญฉลาดให้เกิดมิติ “นุ่มลึก” โดยไม่แหลมเกินงาม ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของครัวโมร็อกโกที่เน้นการสร้าง “ความหอมเป็นชั้น” มากกว่าการเร่งรสด้วยความเผ็ดหรือเค็มอย่างตรงไปตรงมา

ในบรรดาวัตถุดิบหลักที่ถือเป็นรากเหง้าของอาหารชาตินี้ ได้แก่ มะเขือยาวย่าง ถั่วลูกไก่ (chickpeas), เนื้อแกะ และผลไม้แห้งอย่างอินทผาลัมและแอปริคอต ซึ่งมักปรากฏอยู่ในจานคาวและจานหวานอย่างไร้รอยต่อ สะท้อนถึงแนวคิด “ไม่มีขอบเขตระหว่างรส” ซึ่งชาวโมร็อกโกถ่ายทอดผ่านตำราอาหารของบรรพบุรุษ

ขนมหวานก็มิใช่เพื่อ “ปิดท้าย” อย่างเร่งรีบ หากแต่เป็นการย้ำเตือนถึงความเอื้อเฟื้อของวัฒนธรรม — โดยมากจะมีกลิ่นดอกส้ม น้ำผึ้ง ถั่วบด หรือแป้งอบที่หอมละมุน เรียกความอบอุ่นใจได้ไม่แพ้จานคาว

อีกหนึ่งลายเซ็นสำคัญของอาหารโมร็อกโกคือ “ความหวานแฝง” ที่ปรากฏในจานหลักหลายจาน โดยเฉพาะในเมนูที่ผสมผลไม้แห้ง เช่น prune, ลูกเกด, แอปริคอต หรือที่ราดน้ำผึ้งเข้าไปเป็นองค์ประกอบรส เพื่อสร้างมิติของความหอมหวานละเมียดละไมควบคู่กับเนื้อสัตว์หรือธัญพืช ไม่ใช่ความหวานแบบขนม หากแต่เป็น “น้ำเสียงในรสชาติ” ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมการกินแบบลุ่มลึกและรื่นรมย์

สำหรับค่ำคืนนี้ เชฟได้จัดสำรับที่พาเราเดินทางผ่านภูมิประเทศและวัฒนธรรมอันรุ่มรวยของโมร็อกโก ผ่านทั้งจานที่ยึดขนบดั้งเดิม และจานที่ตีความใหม่อย่างร่วมสมัยโดยไม่ละทิ้งจิตวิญญาณของต้นตำรับ เมนูแต่ละจานที่เสิร์ฟในมื้อค่ำนี้ ล้วนเล่าเรื่องของแผ่นดินทราย พระอาทิตย์ และบทสนทนารอบโต๊ะอาหารที่ยาวนาน เราขอเชิญชิมอย่างมีสมาธิ และปล่อยให้รสชาติพาเราไปไกลกว่าร้านอาหารที่เราอยู่…

Menu
Bread & Dip

เริ่มต้นของเรียกน้ำย่อยก่อนเข้าคอร์สด้วยขนมปังทรงโรยเมล็ดป๊อปปี้ด้านบน อบมาร้อน ๆ เนื้อแน่นนิด ๆ เปลือกกรอบพอให้ฉีกแล้วได้เสียงกรุบ เสิร์ฟคู่ดิปน้ำมันมะกอกพร้อมเนื้อหอม ๆ จิ้มแล้วได้ทั้งความนัวของมะกอก เป็นคำเปิดมื้อที่ดูธรรมดาแต่ช่วยปรับลิ้น ให้พร้อมรับรสหนัก ๆ ต่อไปได้ดีทีเดียว
Marrakchi Harira


ซุปฮารีร่า ซุปประจำชาติที่คนโมร็อกโกกินกันเป็นประจำตั้งแต่ช่วงการถือศีลอดจนถึงวันธรรมดา ขนาดชามไม่ใหญ่ แต่สีส้มอมทองดูจริงจังสวยงาม ด้านในซุปมีทั้งถั่วลูกไก่ มะเขือเทศเคี่ยวจนข้น และกลิ่นเครื่องเทศที่ขึ้นมาครบยี่หร่า อบเชย ขิงแบบบาง ๆ ไม่ได้แรงจนตีจมูก

บนจานข้าง ๆ มี อินทผาลัม ไข่ต้มสุก และเลมอน สามอย่างนี้คือกิมมิคที่ทำให้เข้าใจวัฒนธรรมการกินสไตล์โมร็อกโกมากขึ้น จากอินทผาลัมให้ความหวานนุ่ม

ไข่ต้มเพิ่มความมัน ส่วนเลมอนบีบลงไปในซุปให้ตัดเลี่ยน โดยจะกินแยก หรือหยิบเข้าปากสลับกันก็ได้ เป็นวิธีกินแบบที่คนท้องถิ่นทำกันจริง ๆ โดยสิ่งที่ชอบคือเนื้อสัมผัสของซุปไม่หนักเกินไป ซดได้สบาย หอมมะเขือเทศและสมุนไพร

Moroccan Homemade Salads & Chicken Pastilla

ในครัวโมร็อกโกมื้อแรกมักเริ่มต้นด้วยชุดสลัดหลากรสที่เสิร์ฟเป็นเครื่องเปิดประสาทสัมผัส และค่ำคืนนี้เชฟได้ถ่ายทอดภาพจำอันเป็นหัวใจของอาหารชาตินี้ผ่านเมนูเรียกน้ำย่อยที่ทั้งแยบคายและลุ่มลึก

Moroccan Homemade Salads ในจานนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องเคียง แต่เป็นการจัดเรียงความหลากหลายของผักพื้นเมืองในรูปแบบ “mezze” แบบโมร็อกกัน ที่แต่ละถ้วยมีเอกลักษณ์เฉพาะตน แต่สามารถตักสลับสับเปลี่ยนกันได้อย่างสนุกสนาน — ทั้งในรสชาติ สีสัน และจังหวะสัมผัส

สลัดแครอท เส้นแครอทฝานบาง คลุกกับเครื่องเทศเบา ๆ อย่าง cumin และพริกหวาน ปรุงให้ได้กลิ่นหอมธรรมชาติของแครอทเด่นชัด เคี้ยวแล้วกรุบกรอบชวนปลุกความสดชื่น
ซูกินีดองกับเลมอนเค็ม (preserved lemon) กลิ่นสมุนไพรอย่างพาร์สลีย์หรือมิ้นต์บางเบาช่วยดึงให้รสเปรี้ยวเค็มนุ่มลง เป็นรสชาติที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของครัวโมร็อกโกโดยแท้

มะเขือม่วงบดย่าง (Zaalouk) — เมนูนี้คือขนบของบ้านโมร็อกโกแทบทุกหลัง เนื้อมะเขือที่ย่างจนหอม คลุกด้วยน้ำมันมะกอก กระเทียม และเครื่องเทศจนเนียนนุ่ม และให้กลิ่นอบอุ่นแบบ earthy
มะเขือเทศคาเวียร์ ช่วยเติมความสดฉ่ำและหวานมันเล็กน้อย รสชาติใสสะอาดเสริมมิติให้เมนูโดยรวมดูสมดุลขึ้น
สลัดฟักทองกลิ่นดอกส้ม – ฟักทองบดเนื้อละเอียด ผสมด้วยกลิ่นน้ำดอกส้ม (orange blossom water) ที่เป็นหัวใจของของหวานโมร็อกโก ทว่าในรูปแบบสลัดกลับกลายเป็นความหวานเบา ๆ ตัดกับกลิ่นสมุนไพรได้อย่างลงตัว จานนี้เป็นอีกตัวอย่างของการ “ก้าวข้ามเส้นแบ่ง” ระหว่างคาวและหวาน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอาหารประเทศนี้

ในอีกฟากของจานคือ Chicken Pastilla (บั๊สตีย่าไก่) — ขนมอบรูปกลมแบนขนาดพอดีฝ่ามือ ลักษณะภายนอกคล้ายพาย แต่เนื้อในกลับซับซ้อนกว่านั้นมาก ถือเป็นอาหารที่สงวนไว้สำหรับโอกาสพิเศษหรือเลี้ยงรับแขกบ้านแขกเมือง

ตัวแป้งด้านนอกบางกรอบราวกับกระดาษฟิโล แต่เมื่อบิออก กลับเผยให้เห็นไส้ไก่ฉีกที่เคี่ยวกับเครื่องเทศหลากชนิด ทั้งซินนามอน ขิง หญ้าฝรั่น และไข่ — คลุกเคล้าอยู่ในซอสหวานเค็มบาง ๆ ที่เรียกว่า m’hammar ซึ่งหอมลึกชวนให้นึกถึงครัวโบราณของชาวเฟซหรือเม็กเนส

โรยหน้าด้วย อัลมอนด์บดอบ และน้ำตาลไอซิ่งเล็กน้อย — ความหวานที่ไม่ใช่เพื่อตัดเลี่ยน แต่เพื่อ “เติมเสียงสูงในรสชาติ” อย่างที่อาหารโมร็อกโกนิยมทำ พาสตีย่าในจานนี้จึงรับประทานคู่กับสลัดรอบ ๆ ได้พอดี ไม่ขัดแย้ง กลับเสริมจังหวะระหว่างคำได้อย่างน่าทึ่ง
นี่คือเมนูเปิดที่ไม่ได้เป็นเพียงการเรียกน้ำย่อย แต่เป็นการวางบทนำของเรื่องเล่าแห่งดินแดนที่รสชาติและวัฒนธรรมผสานเป็นหนึ่งเดียว
Couscous Marocain Traditionnel

เป็นคูสคูสแบบดั้งเดิม เม็ดละเอียดฟู เม็ดไม่จับกันเป็นก้อน แห้งพอดี เคี้ยวแล้วแตกเป็นผงนุ่ม ๆ ในปาก วางทับด้วยผักตุ๋นชิ้นโต ทั้งแครอท ซูกินี มะเขือม่วง ฟักทอง กะหล่ำปลี และถั่วลูกไก่กระจายอยู่รอบ ๆ น้ำซุปเครื่องเทศสีเหลืองทองถูกราดมาแบบพอชุ่ม ให้เม็ดคูสคูสดูดรสขึ้นทีละน้อย จัดเสิร์ฟให้กินง่าย และมีรสชาติที่สอดรับกับจานหลักอีกสองจานได้เป็นอย่างดี

Lamb Tagine with Dried Fruits

ยามหม้อสเตนเลสดึงฝาออก กลิ่นหวานอุ่นของอบเชย ยี่หร่า ซัฟฟ่อนลอยขึ้นมาเรียกน้ำย่อย ก่อนเราจะได้เห็นหน้าตา
เนื้อแกะก้อนใหญ่ตุ๋นจนเส้นใยคลาย มีความนุ่ม พอจิ้มยังมีความชุ่มฉ่ำ ตัวซอสออกสีเหลืองอมเขียวจากเครื่องเทศและหัวหอมเคี่ยว พร้อมใส่ทั้ง แอปริคอต ลูกพรุน อินทผาลัม ให้หวานนวล แล้วโรย วอลนัทกับงาขาว เพิ่มรสสัมผัส รสชาติมีทั้งหวาน เค็ม และได้รสเครื่องเทศครบครัน เวลาทานอุ่นๆ สามารถได้อย่างเพลิดเพลินและหนำใจจนหม้อเกลี้ยง

Fish Tagine

หม้อทองแดงมาอีกใบ คราวนี้เปลี่ยนจากโทนเครื่องเทศมาเป็นกลิ่นสดของสมุนไพรและเลมอนแบบชัด ๆ ฐานซอสสีส้มแดงทำจากมะเขือเทศ เคี่ยวกับซอสเชอมอรา (ซอสสมุนไพร-กระเทียม-คูมิน-ปาปริกา สไตล์แอฟริกาเหนือ) จนข้น แล้ววางปลาเฮกชิ้นใหญ่ลงไปตุ๋นให้ซึมเข้าเนื้อ ก่อนจะปิดด้วยเลมอนสไลซ์และผักหลากสี เนื้อปลาแน่น แต่ยังชุ่ม ไม่แห้งหรือแตกเป็นเส้นเละ ๆ มีความหวานธรรมชาติของปลาทะเล โดยซอสนี้เข้าคู่กับคูสคูสหรือขนมปังได้ดีมาก ลองตักปลาและซอสราดลงบนเม็ดคูสคูสที่เหลือ หรือฉีกขนมปังจิ้มก้นหม้อจะรู้สึกเติมเต็มมาก ๆ เพราะรสและกลิ่นสมุนไพรจะติดขนมปังขึ้นมาเต็ม ๆ

Desserts

Jawhara & Orange à la Cannelle
Jawhara

ชั้นแป้งพาสติย่าบาง ๆ อบจนกรอบ โรยผงน้ำตาลและอัลมอนด์สับ ราดพรมด้วยน้ำผึ้งหอมหวาน ด้านบนวางด้วยวิปครีมนมกลิ่นดอกส้มเป็นหย่อม ๆ พอกัดเข้าไปได้ทั้งความกรอบจากแป้ง รสนุ่มจากวิปครีม และความหวานหอมจากน้ำผึ้ง ในคำเดียว ตัววิปครีมนมมาโทนเบา ไม่หวานจัด ทำให้กินแล้วไม่รู้สึกหนัก ส่วนกลิ่นส้มดอกส้มช่วยให้จานยังคงความโมร็อกโกอยู่ชัดเจน
Orange à la Cannelle

ถ้วยแก้วแยกต่างหากอยู่ด้านข้าง ด้วยส้มเสิร์ฟพร้อมเชอร์เบท รสซินามอน เพิ่มความหอมและเนื้อเย็นตัดกับส้มชุ่ม ๆ ได้ดี รสชาติออกทางสดชื่น เปรี้ยวและหวานกำลังดี เป็นตัวรีเฟรชเพดานปากหลังเครื่องเทศหนัก ๆ ของคอร์สหลักอย่างแท้จริง
Petit Four
Thé à la Menthe, Ghriba & Fekkas

ถาดไม้เสิร์ฟคุกกี้โมร็อกโกชิ้นเล็ก ๆ มาให้ปิดท้าย ประกอบด้วย Ghriba เนื้อร่วน กรอบนอกนุ่มใน หอมอัลมอนด์ และ Fekkas คล้ายบิสคอตตี หั่นเฉียง เคี้ยวกรุบ มีถั่วและผลไม้แห้งซ่อนอยู่ เสิร์ฟพร้อมชามินท์ร้อน ๆ เสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ ซึ่งความหวานของขนมตัดกับรสหอมขมของชามินท์ได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อทานคู่กันแล้วรู้สึกลงตัวอย่างยิ่ง
Drinks
Pandan Tetini (Mocktail)




แก้วสีเขียวใสหอมกลิ่นใบเตยชัด เจือความหวานบาง ๆ ของชาถั่วกับน้ำมะนาว ทำให้ได้ทั้งโทนสมุนไพรไทยและความสดชื่น ดื่มง่าย ตัดเลี่ยนดี
Make a Treat (Mocktail)
ม็อกเทลแบ่งเลเยอร์เหลือง ชมพู น้ำเงินสวยงามจนเมื่อเห็นเป็นต้องขอมาทานบ้าง ประกอบด้วยชาดำพันธุ์แพนดัน แอปเปิล และมินต์ ทุกเลเยอร์ล้วนมีรสชาติแตกต่าง แต่เมื่อคนแล้วดื่มพร้อมกันพบว่ามีความหวานกำลังดี
Saffron Mirage (Cocktail)
สีเหลืองทองพร้อมฟองบาง ๆ ด้านบน ฐานคือจินหมักด้วยหญ้าฝรั่น มีกลิ่นหวานด้วยน้ำผึ้งดอกส้ม ด้านบนเป็นโฟมมี่ (ไม่ได้ทำจากไข่ข่าว) ดื่มแล้วรู้สึกเหมือน หอม นุ่มนวล แต่ไม่หนักเกินไป

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบพระคุณทางทีมโรงแรม และทีมเชฟผู้เปี่ยมคุณภาพเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รังสรรค์ประสบการณ์อาหารที่แปลกใหม่และหาทานได้ยากยิ่งในประเทศไทย (ขอบอกว่าปัจจุบันในไทยไม่มีร้านอาหารโมร็อกโกแท้ๆ อยู่เลย) โดยทานใดที่สนใจการเปิดประสบการณ์อาหารโมรอกโกขนานแท้ สามารถมาลองได้ที่โรงแรมบันยันทรี คอนเซ็ปต์ “A Taste of Morocco” ช่วง 14–25 กรกฎาคม สุทธิราคาที่ 1,999 บาท/ท่าน รวมถึงทางโรงแรมบันยันทรี ยังมีกิจกรรมและนิทรรศการอาหารอันน่าตระการตาอยู่อีกเรื่อย ๆ ท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถาม ได้ที่ Vertigo Too โดยเปิดให้บริการดินเนอร์ ตั้งแต่ 18.00 – 22.30 น. และมีเปิดสำหรับ Afternoon Tea อีกด้วย ซึ่งสำหรับรายละเอียดสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ www.banyantree.com หรือสามารถโทรสอบถามได้ที่ 0 2679 1200 หรือทางอีเมลล์ [email protected]
Kin Review
Kinandleisure.com
Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์
รูปและเนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของทาง Kinandleisure.com ไม่อนุญาตให้นำไปใช้จนกว่าจะได้รับการอนุญาตจากทางผู้บริหาร หากฝ่าฝืนผู้บริหารพร้อมดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด