Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A

สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันนี้พวกเราทีมงาน Kinandleisure ขอเชิญทุกท่านเข้าไปสำรวจและค้นหาถึงกลิ่นอายความเป็นไทยดั้งเดิม ด้วยอาหารพื้นบ้านแถบอีสาน ที่นำเสนอออกมาในรูปแบบ High Casual ให้เรารู้ได้ว่าเมืองไทย วัตถุดิบไทย และอาหารไทย นั้นดีเยี่ยมและมีเอกลักษณ์ที่น่าหลงใหลไม่แพ้อาหารชาติใดๆ ในโลกเลย

ซึ่งสำหรับวันนี้ขอเชิญพบกับร้าน แก่นกรุง (Kaenkrung) ที่จะมาร่ายเวทย์มนต์ให้ทุกท่านหลงไหลไปกับรสชาติอาหารไทยที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ การันตีด้วยดีกรีระดับมิชลิน ไกด์

ที่พร้อมจะมาเจาะถึงแก่น ทั้งรสชาติ สูตรครัวเก่า ด้วยวัตถุดิบท้องถิ่น และฝีมืออันพิถีพิถันแบบคนทำอาหารจริง ๆ


สำหรับร้านแก่นกรุง ตั้งอยู่บนถนนอรุณอัมรินทร์ เลยโรงพยายามศิริราชไปเล็กน้อย ท่านที่เดินทางมาด้วยรถยนต์สามารถจอดรถได้ที่จุดจอดรถต่าง ๆ ในย่านใกล้เคียงไม่ไกลได้ หรือจะเดินทางด้วยเรือ ลงที่ท่าวัดระฆังแล้วเดินมาก็สะดวกเช่นกัน

โดยผมไปช่วงมื้อกลางวัน แดดกรุงเทพฯ ยังแรงอยู่ แต่พอเปิดประตูเข้าไป กลับได้บรรยากาศเย็นนิ่ง เสียงจราจรด้านนอกถูกตัดออกไป และได้กลิ่นหอมของสมุนไพรที่ลอยมาจากครัวเปิดเล็ก ๆ ด้านหลัง ห้องไม่ใหญ่

โต๊ะเว้นกันพอดีให้คุยได้สบาย มีความเรียบง่าย สบายๆ แต่ทุกอย่างมีความตั้งใจและพร้อมสนับสนุนให้สายตาไปโฟกัสที่จานอาหารมากกว่า โดยมีการบอกเล่าที่มาของวัตถุดิบจากฝาผนังที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ โทนเขียวสบายตา บรรยากาศน่านั่งเป็นอย่างยิ่ง

Concept

ร้านอาหารแก่นกรุง คือจุดลงตัวของการรับและปรับตำรับไทยเก่าที่บางจานหาทานแทบไม่ได้ และมีบางจานเป็นอาหารที่มีความนิยม โดยทีมเชฟยกมาปรับรสชาติและการนำเสนอใหม่เพื่อให้เข้ากับลักษณะการเสิร์ฟและสไตล์ของร้าน แต่ยังคงความเป็นไทยชัดเจน โดยเฉพาะความสำคัญของ เครื่อง และ พริกแกง ต่างๆ ที่ร้านทำเองทั้งหมด วัตถุดิบถูกเลือกจากแหล่งต่างๆ ทั่วประเทศ และรวมถึงวัตถุดิบที่สามารถหาได้ง่ายใกล้ๆ กับสถานที่ตั้ง

ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่แค่เพื่อความยั่งยืน แต่เพื่อให้รสชาติที่ออกมาสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของไทยอย่างแท้จริง จากทีมเชฟคุณภาพคับแก้ว ทั้งเชฟจิ๊บ เชฟไพศาล และเชฟกอล์ฟ กับความตั้งใจที่ไม่ได้ทำให้ร้านนี้เป็นเพียงร้านอาหารไทยร่วมสมัย แต่เป็นพื้นที่ที่เอา “หัวใจอีสาน” มาปรับจังหวะให้เข้ากับเมือง

โดยยังคงเรื่องราวของวัตถุดิบ คนปลูก และภูมิปัญญาท้องถิ่นเอาไว้ครบ โดยสะท้อนตั้งแต่การที่ร้านเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นแทบทั้งหมด ทั้งผักพื้นบ้านตามฤดูกาล หมูหมักจากชุมชน เนื้อโคดำเลี้ยงแบบยั่งยืน ฯลฯ สะท้อนแนวคิดที่ว่ารสชาติที่ดีเริ่มจากของที่ถูกเลี้ยงดี และการกินควรสะท้อนกลับไปหาคนปลูกด้วย

ด้วยเหตุนี้ ข้าวเหนียวหนึ่งกำที่คุณตักขึ้นมา จึงไม่ใช่แค่ข้าว แต่คือองค์ประกอบที่ผสมผสานทั้งจานหยาดเหงื่อแรงงาน ภูมิอากาศ และวัฒนธรรมอีสานที่ถูกเคี่ยวและหลอมรวมมาจนกลมกล่อม และบรรจงจบลงที่โต๊ะอาหารของทุกท่าน

Menu
ตำเส้นเล็กกุ้งดอง (280 บาท)

ตำเส้นเล็กกุ้งดองของแก่นกรุง ให้กลิ่นหอมของปลาร้าลอยมาก่อนตัก เส้นเล็กนุ่มลื่นคลุกน้ำยำเผ็ดเค็มเปรี้ยวอย่างมีชั้นเชิง รสชาติไม่เผ็ดมาก เชื่อมด้วยหวานบาง ๆ ของน้ำ ส่วนกุ้งดองยังฉ่ำเด้งมีความเค็มนัวกำลังดี ตัดด้วยมะเขือเทศเชอร์รี่น้ำหวานกรุบ หอมแดงซอย พริกขี้หนู ผักชีลาวกับกุยช่ายไทยที่ให้กลิ่นเขียวสดขึ้นปลายจมูก ด้านบนโปะกากหมูกรอบฟูเป็นองค์ประกอบกรุบมันเพิ่มมิติให้หลากหลาย เป็นรสชาติที่น่าคุ้นเคย แต่มีรายละเอียดและคุณภาพของวัตถุดิบที่เพิ่มความซับซ้อนและเปี่ยมเสน่ห์น่าสั่งมาทานซ้ำ

ปลาหมึกหอมย่างเตาถ่าน น้ำจิ้มซีฟู้ดและแจ่วมะตูม (420 บาท)

หมึกสดหั่นชิ้นหนา ย่างไฟจนผิวเหลืองเป็นรอยไหม้บาง ๆ กลิ่นควันเบา ๆ ติดมาพอดี เนื้อด้านในยังเด้งฉ่ำ ไม่แห้งแข็ง จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดและแจ่วมะตูมรสเปรี้ยวเค็มเผ็ดแบบไทยบ้าน ๆ แล้วตัดด้วยชุดผักสดที่ให้มาข้างจาน ช่วยเพิ่มกลิ่นและมิติรสชาติให้หมึกจานนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ตำมันแกว (180 บาท)

เมนูซิกเนเจอร์ยอดนิยมที่บอกตัวตนร้านชัดเจน ใช้มันแกวฝานเส้นแทนมะละกอ เนื้อกรอบฉ่ำน้ำหวานธรรมชาติ รับซอสปลาร้านัว ๆ ได้ดี น้ำปรุงเผ็ดเค็มเปรี้ยวค่อย ๆ ซึมเข้าเส้นมันแกวแล้วปล่อยกลิ่นหอมเฉพาะตัวออกมา แต่ละคำมีทั้งความฉ่ำหวานจากมันแกว ความกรุบของถั่ว/มะเขือเทศ และกลิ่นสมุนไพรสด ทำให้จานนี้ทั้งคุ้นและแปลกใหม่ในคราวเดียว
กุ้งย่างเกลือ ซอสเพสโตผักหวานบ้าน (150 บาท)

กุ้งแม่น้ำตัวกลางย่างไฟจนเปลือกหอมไหม้นิด ๆ เนื้อยังฉ่ำแน่น โรยหน้าด้วยซอสเพสโต้สีเขียวเข้มที่ทำจากผักหวานบ้านปั่นกับถั่วมะม่วงหิมพานต์ กลิ่นออกสมุนไพรสด ๆ มีความมันนัวแบบถั่ว พอคลุกกับเนื้อกุ้งแล้วได้ทั้งความหวานทะเลและกลิ่นเขียวขมปลายลิ้นแบบพอดี ไม่กลบตัวกุ้งเกินไป

ผัดสายบัว ปลาหมึก กับมันปูนา (280 บาท)

สายบัวตัดท่อนสั้น ๆ ผัดกับซอสมันปูนาเข้มข้นจนเคลือบเป็นเงา โรยแผ่นอัลมอนด์ทอดเพิ่มกรุบ และมีหมึกหั่นเต๋าเล็ก ๆ ให้เด้งเคี้ยวสลับกัน รสออกเค็มมันหวานละมุน กลิ่นมันปูชัดแต่ไม่คาว เป็นจากที่กินแล้วหยุดตักยาก
เห่าดง เมนูที่ถูกลืม (250 บาท)

เป็นหนึ่งในเมนูที่ทำให้ร้านได้มิชลิน ไกด์ โดยประกอบด้วยคอหมูย่างหั่นชิ้นหนา คลุกกับน้ำเห่าดงสูตรปรับใหม่ที่ตั้งฐานจากน้ำพริกตาแดง เพิ่มกลิ่นยี่หร่าและกะเพราให้เผ็ดร้อนแบบกลมกล่อม ไม่เผ็ดบ้าพลัง พริกป่นและข้าวคั่วให้ความนัวๆ พร้อมสมุนไพรสดอย่างสะระแหน่ ผักชีฝรั่ง หอมแดงซอยช่วยดันความหอมขึ้นอีกชั้น เป็นอีกหนึ่งจานที่ตักแล้วตักอีก ครู่เดียวทานหมดจนอยากขอทานอีกรอบ
ปลาทอดขมิ้น น้ำจิ้มซีฟู้ด แจ่วบักเลย และปลาร้ามาโย (490 บาท)

เนื้อปลากระพงชิ้นหนาทอดกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟมาพร้อมใบชะพลูชุบแป้งทอดกรอบและถ้วยน้ำจิ้มสามแบบสามมุม ประกอบด้วย ปลาร้ามาโย ที่ตีปลาร้าจากแกงระว้ากับมายองเนสให้หอมแต่ไม่โหน่ง แจ่วบักเลน ใช้มะเขือเทศสามชนิดย่างแล้วตำกับหอมแดง น้ำปลา จึงได้เปรี้ยวหวานควันไฟ และ ซีฟู้ด เปรี้ยวเผ็ดสดแบบไทยคลาสสิก

ยำส้มโอกะปิหวาน ปูนิ่มทอด (350 บาท)

ส้มโอแกะเคล้าซอสกะทิหวานหอม (กะทิจากตราด) ใส่กระเทียมเจียว หอมแดง สมุนไพรและถั่วต่าง ๆ ให้ทั้งกรุบและหอมคั่ว ด้านข้างมีปูนิ่มทอดกรอบวางบนใบชะพลู กินพร้อมกันได้รสตัดกันสนุก ด้วยความกรอบมันของปู ความหวานฉ่ำของส้มโอ และกลิ่นสมุนไพรสด ๆ ช่วยเบรกความเลี่ยนของกะทิ กลายเป็นยำสไตล์ไทยที่ทั้งคุ้นปากและมีลูกเล่นที่น่าสนใจ
ลาบสัปปะรด (150 บาท)

ปลาหมึกย่างไฟจนผิวหอมไหม้บาง ๆ หั่นชิ้นพอดีคำ คลุกลาบด้วยเครื่องข้าวคั่ว พริกป่น น้ำปลา มะนาวให้เผ็ดหอมแบบอีสาน แล้วใส่ สัปปะรดหอมสุวรรณจากหัวหิน ลงมาเป็นตัวตัดรส เปรี้ยวหวานฉ่ำ ๆ ของผลไม้พันธุ์นี้ทำให้ลาบมีมิติสดชื่นขึ้นทันที

แกงเปอะไก่ผักซาวอย่าง (320 บาท)

อัดแน่นด้วยผักพื้นบ้านนับ “ซาวอย่าง” ตามชื่อ โดยภาคอีสานเรียกแกงเปอะว่าแกงที่ไม่ใส่กะทิ ใช้น้ำปลาร้าและน้ำผักเป็นตัวให้ความข้น จานนี้จึงทั้งหอมสมุนไพรและมีรสซับซ้อนจากผักหลากชนิด เนื้อไก่นุ่ม ๆ ทำหน้าที่เป็นโปรตีนหลัก ส่วนผักอย่างบวบ ฟักทอง ถั่วฝักยาว เห็ด และใบแมงลักช่วยให้ได้ทั้งความหวานธรรมชาติและกลิ่นเขียวสด ซดแล้วรู้สึกกลมกล่อม
ต้มแซ่บรัญจวนกระดูกหมู (320 บาท)

ชามนี้คือการเอาต้มแซ่บซี่โครงอ่อนมาเจอกับแกงรัญจวนในถ้วยเดียว โดยฐานของซุปเริ่มจากการเคี่ยวซี่โครงหมูให้หวานกระดูก แล้วปรุงเผ็ดเปรี้ยวแบบต้มแซ่บ ก่อนจะเติมกลิ่นสมุนไพรไทยโบราณที่เป็นเอกลักษณ์ของแกงรัญจวน (อย่างโหระพา ตะไคร้ ใบมะกรูด และน้ำปลาร้าเล็กน้อย) กลายเป็นน้ำแกงใสแต่รสซับซ้อน ซดแล้วได้ทั้งความหอมฟุ้งและความเปรี้ยวซ่า ปิดท้ายด้วยไขมันกระดูกหมูละลายเบา ๆ โดยรวมทำให้รสชาติกลมกล่อมแต่เข้มข้น

ก๋วยจั๊บอุบล อย่างคนญี่ปุ่น (280 บาท)

เสิร์ฟแบบราเม็ง น่าตื่นตาตื่นใจ ชามนี้เริ่มจากน้ำสต็อกไก่เคี่ยวใส แต่เชฟเติมมิโซะ กับไขมันจากซี่โครงหมูกับสามชั้นลงไปให้ได้ความนัวแบบญี่ปุ่นเบา ๆ เส้นก๋วยจั๊บอุบลลื่นหนุบ ซี่โครงหมูนุ่มหลุดกระดูก พร้อมไข่โปะกลางชามพอเพื่อให้คนแล้วซุปข้นขึ้น โรยหอมเจียวกับต้นหอมซอยเพิ่มกลิ่นกรอบหอม เพิ่มเห็ดหูหนูและหน่อไม้แช่ซีอิ๊ว เป็นการจับคู่ลงตัวเป็นอย่างยิ่ง โดยยังคงความเป็นก๋วยจั๊บ แต่ได้ความกลมเนียนของราเม็งเข้ามาช่วยด้วย โดยน้ำซุปดีมากๆ เรียกได้ว่าซดจนหยดสุดท้าย
ผัดสามหอม ส้มหมู กุนเชียง (250 บาท)

เป็นจานผัดที่เล่นกับเมนูสามหอมได้อย่างน่าสนใจ โดยจานนี้ใช้ชะอมสด ๆ หอมเขียว กระเทียมโทน และกระถิน ผัดด้วยซอส แล้วใส่ส้มหมู (หมูส้มหมักรสเปรี้ยว) กับกุนเชียงลงไปให้ได้ทั้งเปรี้ยวเค็มมันในจานเดียว
หมูคลุกฝุ่น ข้าวจี่ ไข่ดอง (180 บาท)

วาฟเฟิลข้าวจี่ ทำจากข้าวทับทิมชุมแพ หอมกลิ่นไหม้เตาถ่านเบา ๆ ด้านบนวางไข่แดงดองน้ำปลา พร้อม
หมูคลุกฝุ่น (หมูทอดเคลือบผงข้าวคั่ว) กรอบนอกนุ่มใน จิ้มแจ่วมะตูมที่ทำจากมะตูมเชื่อมเคี่ยวกับมะขาม เปรี้ยวหวานหอมสมุนไพร

ข้าวกล้องทับทิมชุมแพ

ข้าวหอมนุ่มจากชุมแพ สีแดงทับทิมสวย เม็ดไม่แข็งกระด้างแต่ยังมีแรงเคี้ยว หุงด้วยวิธีให้มีความชื้นกำลังดี กินกับ
แกงเปอะหรือเห่าดงแล้วรสชาติเข้ากันกว่าข้าวขาว เพราะมีความหอมและหวานปลายลิ้น
ของหวาน
เค้กมะตูม (จากตรอกมะตูม) ไอศครีมชาไทย กราโนล่าข้าวเม่า (250 บาท)

เค้กมะตูมเนื้อเด้งหนึบเล็ก ๆ หอมกลิ่นมะตูมจากตรอกมะตูม ราดซอสเข้มข้น วางคู่ไอศครีมชาไทยกลิ่นชัด ไม่หวานบาดคอ
โรยกราโนล่าข้าวเม่ากรุบ ๆ ให้มีสัมผัสแตกต่างแต่ลงตัว

ไอศครีมกาลาแมร์ หนมเหนียว (190 บาท)

ไอศครีมรสน้ำตาลโตนด (กาลาแมร์) หอมคาราเมลแบบไทย ๆ เสิร์ฟบนหนมเหนียว ที่ทอดกรอบข้างนอก นุ่มข้างใน และมีข้าวแต๋นน้อย ๆ แปะด้านบนเพิ่มความกรุบ ซอสหวานเค็มเล็กน้อยช่วยให้รสกลมกล่อม

ไอศครีมสัปปะรดโยเกิร์ต (220 บาท)

รสสดชื่นที่สุดในสามตัว เนื้อไอศครีมเปรี้ยวอ่อน ๆ จากโยเกิร์ต ตัดกับส้ม สัปปะรดฉ่ำ ๆ จานนี้ทำหน้าที่รีเฟรชหลังอาหารคาวได้ดี

Drinks

นอกจากอาหารเลิศรสหลากรสชาติแล้ว ทางร้านยังมีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดได้ทดลองเช่นกัน ซึ่งทุกแก้วล้วนสะท้อนถึงภูมิปัญญาพื้นบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสาโกหรือเหล้าหมักชนิดต่าง ๆ ที่เปี่ยมคุณภาพ

เครื่องดื่มสมุนไพรที่น่าสนใจ เช่น น้ำตรอกมะตูม หรือ คอมบูชะโฮมเมด ที่แก่นกรุงทำชาหมักเองหลายรส ช่วยรีเฟรชหลังเมนูจัดจ้าน เลือกได้ตั้งแต่เลมอนขิง กลิ่นหม่อน และกลิ่นลิ้นจี่ที่หวานหอมเบา ๆ ทุกขวดเสิร์ฟแช่น้ำแข็งมาเย็นฉ่ำ ดื่มแล้วตัดเลี่ยนได้ทันที แถมยังคงคอนเซ็ปต์ทำเอง ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ของร้านครบถ้วน

สุดท้ายนี้ ต้องขอบอกว่า ร้านแก่นกรุง เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารไทยที่ควรมาลิ้มลองเป็นอย่างยิ่ง โดยร้านมีเมนูให้เลือกหลากหลาย มีการพัฒนาเมนูใหม่อยู่เรื่อย ๆ ภายใต้บรรยากาศสบายๆ ราคาสบายกระเป๋าเป็นอย่างยิ่ง โดยหากสนใจสามารถติดต่อสอบถามหรือสำรองที่นั่งได้ที่ 087 324 4619 โดยเป็นหนึ่งในร้านที่ได้รับการคัดเลือกอยู่ใน Michelin Guide ในย่านถนนอรุณอมรินทร์ เปิดให้บริการ พฤหัสบดี – จันทร์ (หยุดวันอังคารและพุธ)
Kin Review
Kinandleisure.com
Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์
รูปและเนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของทาง Kinandleisure.com ไม่อนุญาตให้นำไปใช้จนกว่าจะได้รับการอนุญาตจากทางผู้บริหาร หากฝ่าฝืนผู้บริหารพร้อมดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด