Author: Kreingkrai

เป็นอีกครั้งที่ได้มาเยี่ยมเยือน Oriental Residence Bangkok จากครั้งที่แล้ว เราได้ไป Café Claire ลิ้มลองกับรสชาติของ Lobster and Oysters ที่สุดแสนอร่อย และในวันนี้ หลังจากเลิกจากการทำงานมาเหน็ดเหนื่อย ทาง Kinlakestars ได้มีโอกาสมาผ่อนคลายที่ Oriental Bar ชั้นสองของโรงแรม ซึ่งอยู่ใจกลางถนนวิทยุ ย่านแห่งความมั่งคั่งในกรุงเทพนี่เอง เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองจะเจอกับจุดลงทะเบียนก่อนที่เราจะเข้าไปยังในงาน Hospitality Night โดยงานวันนี้เป็น Gin and Sax Theme เป็นหนึ่งในโดยจะมีนักร้องขับร้องเพลงเบาเบาให้สุนทรีย์กับการจิบ Cocktail ในค่ำคืนนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งวันนี้จะเป็น Hospitality Night มีทั้งสื่อ ทีมงานจากโรงแรมต่างๆ และ แขกอย่างล้นหลาม มา Join happiness ร่วมกัน โดยวันนี้จะมี Cocktails สูตร Special สุดๆ และ Appetizers เป็นพระเอกในงาน ที่ Exclusive ที่สุดก็คือ การนำชาชั้นนำจากประเทศสิงคโปร์ อย่าง TWG มาเป็นส่วนผสมในการทำ Cocktail ทำให้กลิ่นและรสชาติ แตกต่างไปจากร้านอื่น เรียกได้ว่า ห้ามพลาดกันเลยทีเดียว มาเริ่มกันที่ตัวแรก นั่นก็คือSTRAWBERRY MOONLIGHT  ซึ่งมีส่วนผสมของ London Dry Gin แบรนด์เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์สุด Famous จากอังกฤษ และยังใช้ชา TWG Silver Moon Tea ผสมกับ น้ำมะนาว ลิ้นจี่ และเพิ่มความคูลด้วยผลสตรอเบอร์รี่เป็นทอปปิ้ง ถือว่า ดื่มได้เรื่อยๆ เบาๆ และสดชื่น เหมาะกับการดื่มไปและสังสรรค์พูดคุยไปกับเพื่อนได้เป็นอย่างดี มาถึงตัวที่สอง นั่นก็คือ 1837 BLACKBERRY มีการตกแต่งที่ให้ความเป็น Feminine ค่อนค้างสูงกับดอกไม้รอบแก้ว ส่วนผสมข้างในจะเป็น TWG…

Read More

Café Claire ร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศส ที่เปรียบกับผู้หญิงตัวเล็กๆ ใส่เครื่องเพชรน้อยชิ้น ดั่งคำเปรียบที่ว่า less is more และด้วย อาหารที่เข้าถึงรสชาติฝรั่งเศสจากต้นตำหรับแท้ ตั้งอยู่ภายในโรงแรมโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์, Oriental Residence ถนนวิทยุ และเป็นคาเฟ่อีกหนึ่งร้านที่บรรยากาศสวย คลาสสิค  ตั้งอยู่ใจกลางกรุง เดินทางสะดวก  และวันนี้ ทางร้านมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับคนรักความสดและอร่อยถึงขีดสุดของอาหารทะเล อย่างราชาแห่งท้องน้ำ Lobster and Oysters ชุดหนึ่งจะมี เมน ลอบสเตอร์ หนึ่งตัว และหอยนางรมชนิด ฟิน เดอ แคลร์ 6 ตัว สนนราคาเพียง 1,200 บาท++ ต่อชุด (เฉพาะอาหาร) และ 1,800 บาท++ ต่อชุด (รวมสปาร์คกลิ้งไวน์ 2 แก้ว) และนี่คือเมนูไฮไลท์ประจำวันนี้ นั่นก็คือ Lobster & Oyster นั่นเอง ก่อนจะไปถึงมื้ออาหารสุดพิเศษที่ทาง Café Claire จัดมาให้ เรามาดูบรรยากาศโดยรอบของร้านที่ให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่นและเรียบหรู มีกลิ่นอายของความเป็นเมืองผู้ดีฝรั่งเศส และผู้หญิงแต่งตัวสวยคลาสิค ถือ Kelly มีความเก๋ไก๋ จับต้องได้ ระหว่างทางเดินเข้าไปยังตัวร้าน จะเจอ Pop up ชาของ TWG อยู่ทางด้านขวา ซึ่งเรียกสายตาคนดูได้เป็นอย่างดี ทางร้านมีโปรโมชั่น Afternoon Tea ให้แก่ลูกค้า โดยมีชา TWG ให้เลือกหลายหลายกลิ่นหลากหลายรสชาติ พอนั่งโต๊ะ สั่งอาหารปุ๊ป ก็จะมีพนักงานมาเสิร์ฟ ขนมปังอุ่นๆเสิร์ฟคู่กับเครื่องปรุงรส รสชาติถือว่าอร่อยเลยทีเดียว ระหว่างรออาหารก็มองบรรยากาศคลาสสิคโดยรอบๆ ให้ความรู้สึกถึงการนั่งกินอาหารที่ฝรั่งเศสเบาๆ และแล้ว…… เมนูที่เราจะนำเสนอวันนี้ นั่นก็คือ Lobster and Oysters โดยทางร้านมีกุ้ง Lobsters ให้เลือกถึง 4 วิธี และนั่นคือ แบบเทอร์มิดอร์ นึ่ง ต้ม หรือ สไตล์ไทย ซึ่งทางเราได้เลือกมา…

Read More

หากใครเคยมาห้องอาหาร Tsu แห่งนี้แล้ว เราบอกเลยว่าท่านต้องลบภาพและรสเก่าๆออกเสียหมด เพราะทั้งห้องอาหารที่ปรับปรุงใหม่ทางกายภาพ ยังมีการเปลี่ยนเชฟ ซึ่งเชฟทาเคดะที่มาใหม่นั้นผ่านประสบการณ์มาอย่างโชคโชนจากร้านหลายดาว หลายประเทศ เริ่มเป็นเชฟตั้งแต่อายุ 15 และโดดเด่นด้วยการสร้างรสชาติที่สมดุลจากวัตถุดิบชั้นเลิศ ซึ่งเชฟจริงจังมากกับคุณภาพของวัตถุดิบที่ต้อง สด และ พรีเมียม มาถึงกันแล้วที่โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ อยู่ในสุขุมวิท ซอย 2 วันนี้เราจะมาร้าน สึ  (Tsu) กัน โดยสามารถเข้าได้จากทางด้านหน้าโรงแรมฯ ได้เลยครับ โดยจะเป็นเหมือนทางลงชั้นใต้ดิน หรือ ลงจากชั้นล๊อบบี้ลงมาหนึ่งชั้นนั่นเอง ข้างล่างในส่วนนี้ ก็จะมี 2 ร้าน คือ สึ (tsu) ร้านอาหารญี่ปุ่น และ นามิ (nami) ร้านเทปันยากิ โดยภายในร้านจะมีการใช้แผ่นไม้บางๆ นำมาบิดๆ ให้เป็นเหมือนคลื่น ให้เข้ากับชื่อ นั่นก็คือ สึนามิ นั่นเอง เข้ามาในส่วนของร้านสึ มีโต๊ะมากมาย ให้เลือกนั่ง ในส่วนของห้องส่วนตัวก็มีให้บริการเช่นกันครับ ส่วนข้างหน้านั้นก็จะมีสเตชั่นสำหรับครัวเย็น เช่น ทำพวกซูชิ ซาชิมิ ซึ่งในส่วนนี้ เราก็สามารถนั่งข้างหน้าได้ด้วย ได้เห็นเชฟทำกันสดๆ เลยทีเดียว มาประจำแล้ว เริ่มกันเลยดีกว่า วันนี้เราจะลองเมนูใหม่ของทางร้าน นอกจากนี้เซ็ตอาหารนี้ยังถูกรังสรรค์ และถูกคิดมาอย่างพิถีพิถันจากเฮดเชฟคนใหม่ ของที่นี่ อย่างเชฟยูคิโอะ ทาเคดะ อีกด้วย Chef Yukio Takeda – Japanese Head chef  เชฟมากความสามารถ มีประสบการณ์ทำอาหารญี่ปุ่นมาทั่วโลก รวมไปถึงเคยร่วมงานกับร้านเชฟมิชลิน 2 ดาว อย่างร้าน Umu Japanese Restaurant อีกด้วย โดยเชฟมักจะทำอาหารในแบบที่เน้นธรรมชาติของวัตถุดิบ ดึงรสชาติของวัตถุดิบออกมาได้อย่างเต็มที่ วันนี้เชฟจะทำอาหารญี่ปุ่น 6 คอร์สให้เราได้ลิ้มลองกัน โดยตอนนี้เชฟกำลังเริ่มทำจานแรกให้เรา จานแรกของเรา เริ่มจากเบาๆ กับ Homemade white sesame tofu…

Read More

วันนี้ทาง  Kinlakestars จะพาทุกท่านไปเยือนร้านอาหารออร์แกนิคใจกลางเมืองด้วยคอนเซ็ปต์ที่ว่า Everyday Farm Food ตามชื่อเลยครับว่าทุกท่านจะได้สัมผัสกับอาหารที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่ส่งตรงจากฟาร์มมาสร้างสรรค์เมนูให้คนเมืองได้รับประทานอาหารที่ดีและอร่อย อีกทั้งยังสะอาด ปลอดสารเคมี และยาฆ่าแมลง 100% กับร้านที่มีชื่อว่า “CORO Harvest” เป็นสาขาแรกในกรุงเทพ ตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าเอสพลานาด รัชดา ชั้น G ร้านติดกับร้าน STARBUCKS ร้าน CORO Harvest เป็นร้านในเครือของ CORO Field เป็นฟาร์มและสถานที่ท่องเที่ยงชื่อดังที่สวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเกิดจากความมุ่งมั่นตั้งใจของสองพี่น้องผู้ก่อตั้งคือ คุณพ็อต มิตรดนัย และคุณพีท พันดนัย สถาวรมณี ที่ต้องการผลักดันให้ภาคการเกษตร เป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งไม่ได้หมายถึงเรื่องการเพาะปลูกเท่านั้น แต่ต้องการให้สถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลในให้กับทุกๆ คน ด้วยสไตล์การตกแต่งร้านที่ให้กลิ่นอายความเป็นฟาร์มนิด ๆ จาลองบางส่วนจากฟาร์ม CORO Field มาประยุกต์ให้เข้ากัน อาทิ นาโครงเหล็กที่ใช้เพาะปลูกในโซน CORO Garden มาตกแต่งไว้โดยรอบ เน้นโทนสีน้าตาล ที่บ่งบอกถึงความเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกอบอุ่น เพิ่มพื้นที่สีเขียวของต้นไม้ไปตามมุมต่าง ๆ ของร้าน เพื่อให้รู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายจากความวุ่นวายภายนอก ปรุงอาหารในครัวที่ทาจากทรายล้างแบบ Open Kitchen เสมือนนั่งรับประทานอาหารที่พึ่งเก็บเกี่ยวจากฟาร์มมาปรุงใจกลางเมือง ภายในร้านมี 4 โซน เริ่มด้วย 1) โซนร้านอาหาร ที่ลูกค้าสามารถ DINE IN สร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ ทั้งอาหารคาว หวาน และเครื่องดื่ม ที่หลากหลายมากกว่า 100 เมนู ในสไตล์ฟิวชั่นผสมกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น ต่อมาด้วย 2) TAKEAWAY BAR เคาน์เตอร์สาหรับสั่งเครื่องดื่มสมูทตี้ ไอศกรีม และเบเกอรี่ที่ใช้ผลผลิตจากฟาร์ม สาหรับผู้ที่เร่งรีบ ไม่มีเวลานั่งทานที่ร้าน 3) GRAB STATION ที่มีสลัดกล่องพร้อมทาน กล่องอาหารเบ็นโตะจากเมนูของเรา หรือจะเป็นน้าผลไม้สกัดเย็น 100% ให้สะดวกหยิบในช่วงพักเที่ยง ช่วงเวลาเร่งรีบ…

Read More

 Osha Café – ร้านอาหารไทยชื่อดังจากซานฟรานซิสโก ที่ถูกเปิดสาขาล่าสุดที่ศูนย์การค้าติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา อย่าง เอเชียทีค เดอะ รีเวอร์ฟร้อนท์ ซึ่งร้านโอชาคาเฟ่ จะตั้งอยู่บริเวณโกดัง 10 โดยอาหารไทยของที่นี่จะยึดคอนเซปท์ที่ว่า The Best Authentic Thai Taste with Modern Twist  โดยเมนูอาหารทั้งหมด ถูกรังสรรค์โดยเชฟมากประสบการณ์ อย่าง เชฟปู (เชฟ ปูริดา ธีระพงษ์) ผู้คลุกคลีกับอาหารไทยมาอย่างยาวนาน ตัวเชฟเองบอกว่า สำหรับร้านโอชาคาเฟ่ ก็จะเป็นร้านแนวสบายๆ สไตล์คาเฟ่ ส่วนตัวอาหารเอง ก็ยังคงคอนเซปท์ที่ว่า เป็นอาหารไทยดั้งเดิม อาจจะมีการทำให้ดูทันสมัยขึ้น และ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบโอชา นั่นเอง ร้านหาไม่ยากเลยครับ อย่างที่บอกว่าตัวร้าน จะอยู่บริเวณโกดัง 10 ถ้ามาจากทางเรือจะใกล้มากๆ พอลงเรือปุ๊บ ร้านจะอยู่บริเวณทางด้านขวามือ ส่วนท่านใด ขับรถมา จากบริเวณลานจอดรถ สังเกตชิงช้าสวรรค์ สามารถเดินตรงๆ จากบริเวณชิงช้าสวรรค์ ทะลุโครงการฯ จนสุด ก็จะเจอกับร้านครับ บรรยากาศภายในร้าน ตกแต่งชิวๆ สไตล์คาเฟ่ บริเวณผนังมีลวดลายเป็นรูปชฎา ให้ความรู้สึกแบบไทยๆดีครับ สำหรับคราวนี้ทางโอชาคาเฟ่ ก็มีเมนูใหม่มาแนะนำกัน ทั้งเมนูอาหาร และ เมนูเครื่องดื่มเลยครับ เครื่องดื่มวันนี้ จะมีทั้งหมด 5 แก้ว ตามนี้ครับ Jazzmine ( 160++ บาท ) แก้วนี้เป็น ม็อกเทล ไม่มีแอลกอฮอล์ จะมีกลิ่นหอมของดอกมะลิ ได้รสเปรี้ยวจาก น้ำเลมอน และ น้ำกระเจี๊ยบ ทำให้แก้วนี้ดูมีความเป็นไทยๆ ขึ้นมาอีกด้วย Floral Shandy ( 240++ บาท ) แก้วนี้เป็นค็อกเทลสุดคลาสสิค คือ เป็นการผสมผสานระหว่าง เบียร์ กับ เครื่องดื่มซอฟท์ดริ้งก์ โดยของที่ร้านจะผสมกับสไปรท์ และ…

Read More

Ladurée ร้านขนมชื่อดังจากฝรั่งเศส ที่มีอายุยาวนานถึง 150 กว่าปี มีหลากหลายสาขาทั่วโลก โดยสาขาที่ไทยตั้งอยู่ในห้างสยามพารากอน ชั้น M คราวนี้ลาดูเร่ จัดหนัก จัดเต็ม กับคาราวานของหวานแนวฝรั่งเศสแบบต้นตำหรับแท้ๆ แบบไม่อั้นกันเลยทีเดียว ซึ่งมีขนมหวานให้เลือกทานหลากหลายตัวเลยครับ ( หมดเขต 17 กย ) มาอีกด้านเป็นบริเวณข้างหน้าร้าน ร้านดูหรูหราอลังการพอสมควรเลยทีเดียว พอเดินเข้ามา ก็พบกับขนมต่างๆ มากมายภายในตู้ มีรูปลักษณ์ที่สะดุดตา และ สีสันสวยงาม บรรยากาศรอบๆ ภายใน มาถึงที่โต๊ะกันแล้ว เมนูบุฟเฟ่ต์ขนมก็ตามมาเช่นกัน บุฟเฟ่ต์ของเราวันนี้ อยู่ที่ราคาท่านละ 790++ บาท ซึ่งราคานี้จะสามารถสั่งขนมได้ไม่อั้นกันไปเลย ในเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งจริงๆแล้ว นอกจากเค้ก หรือ ขนมอบต่างๆ ในตู้แล้ว ก็จะยังมีพวกครัวซอง แปงอูชอคโกลา หรือ เดนิช ด้วยนะครับ มากับแยมต่างๆ เช่น แยมส้ม นอกจากนี้ก็ยังมีคุกกี้ต่างๆ และ ไอศกรีม อีกด้วยครับ วันนี้มากันทั้งทีแล้ว ก็เลยบอกพี่เขาว่าขอขนมทุกตัวในตู้เลย พี่ๆ เลยจัดมาให้แบบนี้ ขนมมาแล้ว งั้นคงต้องขอสั่งชามาทานคู่กับขนมเลยดีกว่า มีหลายตัวให้เลือกเลยครับ ทั้งเป็นแบบออริจินัล อย่าง เอิร์ลเกรย์ คาโมมายน์ และก็ยังมีชาที่ทางลาดูเร่ ผสมขึ้นเองอีกหลายตัวเช่นกันครับ วันนี้ขอเลือกเป็น Mélange spécial ladurée ซึ่งตัวนี้เขาบอกว่าเป็นชาซิกเนเจอร์ของที่นี่เลย เป็นชาดำของจีน ผสมกับ ชาดำของศรีลังกา นอกจากนี้ยังผสมพวกผลไม้ และ ดอกไม้ต่างๆ ลงไปด้วย มีความรู้สึกว่าหอมหวานดีจริงๆ ครับ อ่อ และต้องบอกก่อนว่าขนมในบุฟเฟ่ต์นี้ เขาจะย่อขนาดขนมจากไซส์ปกติให้เล็กลงหน่อยนะครับ ซึ่งคิดว่า ดีมากๆ เพราะจะทำให้เราสามารถได้ลองขนมได้หลากหลายอย่างเลยครับ ซึ่งขนมไซส์ปกติก็สามารถซื้อได้ที่ร้านของลาดูเร่ข้างๆ ได้เลยนะครับ รวมไปถึงบรรดาเหล่ามาการองเช่นกันนะครับ ขอเริ่มตัวแรกด้วยตัวซิกเนเจอร์ของที่นี่ก่อนเลยนะครับ นั่นก็คือ Ispahan ซึ่งเป็นขนมที่ทำให้ลาดูเร่โด่งดังด้วยรสชาติของสามสิ่งที่เข้ากันสุดๆ นั่นก็คือ ราสพ์เบอรี่ ลิ้นจี่…

Read More

เข้าสู่ปีที่ 4 สำหรับร้านชาชื่อดัง สัญชาติอังกฤษ ที่ตั้งอยู่ในห้างดังกลางกรุงหลายแห่ง อาทิเช่น สยามพารากอน เซ็นทรัลเอมบาสซี่ เป็นต้น ปีนี้ แฮร์รอดส์ ก็ได้รังสรรค์ขนมไหว้พระจันทร์รสใหม่ออกมาหลายรสด้วยกัน ซึ่งด้วยตัวแบรนด์เอง ก็เป็นร้านชา ดังนั้นก็จะมีรสที่ทำจากชาด้วย เช่น ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ชานมกุหลาบ หรือจะเป็น ไส้ชาแบล็คเคอเรนท์ ฮิบิสคัส พุทราจีน และ อินทผาลัม ซึ่งแต่ละไส้นี่ครีเอทกันสุดๆไปเลย แต่ที่สำคัญจุดเด่นของเขา คือ สามารถนำเอาความเป็นตะวันตกใส่ลงไปในขนมตะวันออก อย่างขนมไหว้พระจันทร์ ได้อย่างลงตัว  ซึ่งนอกจากขนมเอง แพคเกจของเขาก็ถูกออกแบบได้อย่างหรูหราเช่นเคย เป็นกล่องทรงสี่เหลี่ยม สีน้ำตาลอ่อนๆ ขลิบทอง สองชั้น โดยสามารถหมุนแยกออกเพื่อเปิดได้ด้วย เหมาะมากๆ สำหรับนำไปมอบให้คนพิเศษ ขนมไหว้พระจันทร์ของที่นี่มีลักษณะที่โดดเด่น เนื่องจากมีการผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันออก กับ ตะวันตกอย่างลงตัว โดยปีนี้มีให้เลือกกันถึง 5 ไส้ ด้วยกันได้แก่ ไส้ชานมกลิ่นกุหลาบ ตัวไส้เนียนนุ่ม มีความหอมของกุหลาบอ่อนๆ ไส้ชาแบล็คเคอเรนท์ ฮิบิสคัส พุทราจีน และ อินทผาลัม มีความหวานที่อมเปรี้ยวเล็กน้อย หอมกลิ่นของชา และ พุทราจีน ไส้คัสตาร์ดไข่แดง มีความหอมของไข่ หวานกำลังดี แต่ไส้มีความแห้งไปเล็กน้อย ไส้คัสตาร์ดไวท์ทรัฟเฟิล เป็นไส้คัสตาร์ดที่ผสมน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลขาว มีความหอมอ่อนๆ เป็นเอกลักษณ์ของเห็ดทรัฟเฟิล และ ความหวานมันจากคัสตาร์ด วางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 4 ตุลาคม 2560 ที่ Harrods ทุกสาขา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งจองได้ที่ Harrods Tea Room ชั้น G สยามพารากอน โทร 092-252-6753 Harrods, The Plantation Rooms ชั้น 2 เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ โทร 092-225-4052 Harrods Café ชั้น G ดิ เอ็มควอเทียร์ โทร…

Read More

เทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือ วันไหว้พระจันทร์ ในปี พ.ศ. 2560 นี้ คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจีน ตรงกับวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง ชาวจีนจึงเรียกว่า “จงชิว” (Zhong Qiu) แปลว่า “กลางฤดูใบไม้ร่วง” ซี่ง วันไหว้พระจันทร์ เป็นประเพณีที่ชาวจีนถือปฏิบัติสืบต่อกันมานับพันปี วันไหว้พระจันทร์ เป็นวันที่พระจันทร์ส่องแสงงดงามที่สุด และเต็มวงที่สุด ชาวจีนจึงให้พระจันทร์เป็นสัญลักษณ์ของความสวยงาม เป็นสื่อกลางของการคิดถึงซึ่งกันและกัน เมื่อคนในครอบครัวจากบ้านเกิดไปไกล คิดถึงครอบครัวก็ให้มองดวงจันทร์ ส่งความรู้สึกที่ดี ส่งความคิดถึงไปสู่ครอบครัวและคนที่รักผ่านดวงจันทร์ นอกจากนี้ยังถือว่า วันไหว้พระจันทร์เป็นวันที่คนในครอบครัวจะได้แสดงความสามัคคีกัน และได้ชมดวงจันทร์พร้อมหน้ากัน จึงนิยามได้ว่าวันไหว้พระจันทร์ คือ “วันแห่งการอยู่พร้อมหน้าของครอบครัว” สำหรับปีนี้ทางห้องอาหาร ซิลค์ โร้ด และ เดอะ เบเกอรี่  โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน ได้จัดหนัก จัดเต็มสุดๆ สำหรับชุดขนมไหว้พระจันทร์ ซึ่งตัวขนมถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างตั้งใจ และพิถีพิถัน ด้วยรสชาติสูตรต้นตำรับของโรงแรมฯ โดยเชฟมืออาชีพ เพื่อเทศกาลสำคัญที่กำลังจะมาถึงนี้ ให้คุณเลือกสรร สำหรับเป็นของขวัญแก่คนสำคัญ และนำพาความโชคดีสู่ผู้รับตลอดปี ซึ่งสำหรับปีนี้ทางโรงแรมฯ ได้ทำขนมไหว้พระจันทร์มาถึง 4 รสชาติ ด้วยกัน ได้แก่ · ทุเรียนหมอนทอง ซึ่งตัวทุเรียนที่ใช้ เป็นทุเรียนเมืองจันท์ มีกลิ่นของทุเรียนกำลังดี ไม่แรง ไม่อ่อนเกินไป · ลูกบัว สำหรับตัวนี้ไส้มีความเหนียวนุ่ม รสชาติไม่หวานมาก · ผลไม้รวมและถั่ว หรือ ไส้โหงวยิ้ง นั่นเอง ตัวไส้จะออกเป็นคล้ายๆ ลูกบัว แต่จะใส่ถั่ว และ ธัญพืชต่างๆ เข้าไปหลากหลายชนิด รสชาติไม่หวานมาก มีเนื้อสัมผัสกรุบๆ จากถั่วชนิดต่างๆ พอให้เคี้ยวเพลินๆ · หมูแผ่นสิงคโปร์และถั่ว จะคล้ายๆ กับไส้โหงวยิ้ง…

Read More

ถึงคราวของโรงแรมในตำนาน อย่าง โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ที่กำลังจะปิดตัวลงปีหน้า เพื่อปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม เพราะพื้นที่ตรงนี้ จะกลายเป็น ทั้งโรงแรม เรสซิเดนซ์ อาคารสำนักงาน และ ศูนย์การค้า รวมกันอยู่ในพื้นที่เดียว โดยขนมไหว้พระจันทร์ปีนี้ถือว่า เป็นการส่งท้ายของขนมไหว้พระจันทร์ของดุสิตธานี เนื่องจากปีหน้าจะไม่มีแล้ว ถ้าอยากทาน ต้องรอกันไปนานเลย เพราะฉะนั้นสำหรับสาวกขนมไหว้พระจันทร์ของที่นี่ พลาดไม่ได้จริงๆ รสใหม่สำหรับปีนี้ เป็นไส้พิเศษ คือ ไส้อินทผาลัมน้ำผึ้ง (268 บาท) ซึ่งตัวอินทผาลัมของเขา ถูกนำเข้ามาจากอิหร่าน กันเลยทีเดียว จุดเด่นของไส้นี้คือ มันจะมีความหอมเฉพาะตัวของอินทผาลัมอย่างโดดเด่น และ ตามมาด้วยกลิ่นของน้ำผึ้งอ่อนๆ ไส้มีความเนียนนุ่ม แต่รสอาจจะออกหวานนิดหนึ่ง แต่จิบชาพร้อมทานขนมไปด้วย ก็ถือว่า ยังโอเคอยู่ ครับ ต่อมาเป็น ไส้ลูกบัวผสมรังนก (268 บาท) โดยทางโรงแรมฯ นำเอารังนกเข้ามาผสมในไส้นี้ เพื่อดึงสรรพคุณจากรังนก ใส่เข้าไปในขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นนี้ ซึ่งไส้นี้ จะมีส่วนผสมของลูกบัวเป็นหลัก และ ผสมรังนก เมล็ดแตง และ ไข่แดงเค็ม เข้าไป เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยมีความแตกต่างจากไส้ลูกบัวมาก เนื่องจากธรรมชาติของตัวรังนกเอง มีลักษณะเป็นวุ้นๆ เป็นคอลลาเจน ดังนั้นพอผ่านความร้อนสูง เลยอาจจะทำให้ละลายซึมเข้าไปในตัวไส้จนหมด ทำให้ไม่ได้เนื้อสัมผัสของตัวรังนกจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสรรพคุณก็อาจจะคงอยู่ในตัวขนมอยู่ ซึ่งถือว่าไส้นี้เป็นไส้พิเศษอีกไส้ของดุสิตธานีปีนี้ ไส้ทุเรียน (198 บาท) สำหรับไส้ทุเรียน ก็ถือว่าเป็นไส้มาตรฐานของขนมไหว้จันทร์เลย คือ ทุกที่ต้องมีไส้นี้ อาจจะต่างด้วยวัตถุดิบ หรือ กรรมวิธีเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับของที่นี่ รู้สึกว่าเขาทำได้ดีมากเลยทีเดียว มีความเหนียวหนึบหนับดีเลยทีเดียว หอมกลิ่นทุเรียนกำลังดี เพราะทางเชฟกล่าวว่า “ใช้เนื้อทุเรียน 100% ไม่ผสามเบสด้วยลูกบัว” ซึ่งไส้ทุเรียนของเขา จะใช้ทุเรียนจาก จันทบุรี ครับ และ ไส้ของขนมนั้น ใช้ทุเรียนล้วนๆ เคี่ยวกับน้ำตาล จนได้ไส้ทุเรียนชั้นเลิศ แบบนี้ ไส้คัสตาร์ด (188 บาท) ตัวไส้เนียนนุ่ม หอมหวาน และหอมไข่ เวลาทานรู้สึกตัวแป้ง…

Read More

ใกล้เข้ามาแล้วกับ เทศกาลไหว้พระจันทร์ หนึ่งในเทศกาลสำคัญของชาวจีน ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับเทศกาลนี้ ก็คือ ขนมไหว้พระจันทร์  โดยปีนี้ ทางห้องอาหารไบยุน แห่งโรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ ได้ทำขนมไหว้พระจันทร์ ออกมาหลากหลายรสชาติกันเลยทีเดียว สำหรับปีนี้ทางโรงแรมฯ ได้ทำออกมาถึง 8 รสชาติเลย ได้แก่ เม็ดบัว งาดำ เกาลัค คัสตาร์ด โหงวยิ้ง พุทราผสมวอลทนัท ชาเขียว และ ทุเรียน  ไส้ทุเรียน มาเริ่มที่ ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ที่เหมือนเป็นซิคเนเจอร์ของโรงแรมฯ ก่อนเลยแล้วกันครับ นั่นก็คือ ไส้ทุเรียน โดยตัวไส้ เขาจะใช้ทุเรียนหมอนทอง จากทางใต้ มาเป็นวัตถุดิบหลัก และ เขาจะใส่เมล็ดแตงเข้าไปแทรกในตัวไส้ด้วย สำหรับไส้นี้ ส่วนตัวคิดว่า ก็สมชื่อของเขา เพราะตัวไส้ มีความเหนียว หนึบหนับ คือ ตัวทุเรียนถูกกวนมาได้อย่างดี รสชาติอาจจะหวานไปเล็กน้อย แต่มีไข่แดงเค็มตัด เลยทำให้โดยรวมของไส้นี้ออกมา กำลังดีครับ ส่วนตัวแป้งก็ทำออกมาได้ดีพอสมควร มีความบาง และ เข้าได้ดีกับตัวไส้ ไส้ลูกบัว ต่อมา ไส้ลูกบัว ไส้พื้นฐานของขนมไหว้พระจันทร์หลายๆเจ้า สำหรับตัวไส้ลูกบัว มีความเนียน นุ่ม มากับ เมล็ดแตง และ ไข่แดงเค็ม เช่นกัน ไส้โหงวยิ้ง คือ ตามความหมายของภาษาจีน แปลว่า ถั่ว 5 ชนิด ซึ่งดั้งเดิมก็จะใช้ถั่วที่มีความหมายมงคล 5 ชนิดมาทำตัวไส้ แต่ปัจจุบันก็มีการดัดแปลงอาจจะมีการใส่ผลไม้แห้งลงไปบ้าง หรือ ถั่วที่ใส่อาจจะมีมากกว่า 5 ชนิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเป็นการปรับรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น สำหรับโหงวยิ้งของที่นี่ รู้สึกว่าทำออกมาค่อนข้างดีทีเดียว ด้วยรสชาติ และ วัตถุดิบคุณภาพ ถั่วต่างๆ มีความสด ตัวไส้จะมีความหนึบๆเล็กๆ และ มีความกรุบๆ ของถั่ว  มีกลิ่นของมะกรูดอ่อนๆ โดยส่วนตัวคิดว่า ค่อนข้างลงตัว ไม่ว่ารสชาติ กลิ่น และ ความสดของวัตถุดิบ…

Read More