Festive afternoon tea set @ Peacock alley เนื่องในโอกาสพิเศษที่กำลังจะมาถึง สิ้นปีนี้ kinlakestars.com อยากขอแนะนำ Festive Afternoon tea ชุดพิเศษที่จะช่วยเติมเต็มบรรยากาศการเฉลิมฉลองให้พิเศษกว่าทุกๆปี ในโลเคชั่นของห้องอาหารที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ Peacock Alley ประจำโรงแรม Waldorf Astoria ซึ่งจะจัดเฉพาะช่วงเดือน ธ.ค.นี้ จนถึง 5 มกราคม 2563 เท่านั้น Peacock Alley – เลาจน์สุดหรูกลางกรุง ตั้งอยู่บนชั้น Upper Lobby แห่งโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ซึ่งจริงๆแล้ว Peacock Alley นั้น ถูกตั้งขึ้นตามชื่อร้านอาหารในโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย นิวยอร์ก ซึ่งสถานที่แห่งนี้ รู้กันดีว่าเป็นจุดนัดพบรวมตัวพบปะสังสรรค์ของชาวนครนิวยอร์กในสมัยนั้น เพียงแค่เอ่ยวลีที่ว่า “Meet me at the clock” เท่านี้ก็จะรู้กันว่าเจอกันที่ Waldorf Astoria ตัวเลาจน์ตกแต่งได้มีความหรูหรา และพื้นที่โดยรอบเป็นกระจก ให้ทุกท่านได้สามารถดื่มด่ำชมวิวในมุมกว้าง อีกหนึ่งสิ่งที่ยังคงให้ความรู้สึกว่า ที่นี่คือ Waldorf Astoria นั่นก็คือ นาฬิกาใจกลางของชั้นนี้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาเรือนดั้งเดิมที่อยู่ ณ ชั้นล็อบบี้ของโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย นิวยอร์ก นั่นเอง Festive Afternoon tea นี้ถูกรังสรรค์ด้วยฝีมือของ Head pastry chef แอนเดรอา โนลิ (Andrea Noli) เชฟชาวอิตาเลียน ผู้มากความสามารถและมาพร้อมกับรอยยิ้ม เชฟได้ใส่ใจในทุกรายละเอียด ที่ทำให้อาหารในเซ็ตมีความโดดเด่นทั้งในแง่ของรสชาติ และ องค์ประกอบที่สวยงาม อาหารในเซ็ตมาครบตามแบบฉบับของ afternoon คือ แบ่งเป็นสำรับคาว และ หวานถูกจัดมาบนจานกระเบื้องที่บอกได้เลยว่าน้อยแต่มาก มีสีสันที่สวยงาม แต่ยังคงไว้ซึ่งความเรียบหรู เข้ากับเครื่องดื่มได้ดีไม่ว่าจะจับคู่กับชามาคิยาจ แฟรส์ (Mariage Freres) หรือกาแฟ สำรับอาหารคาว (Savory Bites) เมนูเต็มไปด้วยวัตถุดิบพรีเมี่ยมที่เป็นของโปรดของหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็น แซลมอน ล็อบสเตอร์ ฟัวกราส์ ถูกนำมาจัดแสดงหลากหลายแบบ เช่น Cone, Wrap หรือ Tart เน้นโทนสีส้มดูสดใส Lobster Salad, Savory Cone เชฟนำเมนูเด่นประจำห้องอาหาร The Brasserie ที่ตั้งอยู่บนชั้นเดียวกัน คือ Lobster Salad มาจัดลงในโคนกรอบ รสชาติความหวานมันของล็อบสเตอร์เข้ากันเป็นอย่างดีกับโคนกรอบที่ทำจากมันฝรั่ง ทั้งอร่อยและสดชื่น Foie Gras Tart, Raspberry & Yuzu Gel ทาร์ตที่อัดแน่นไปด้วยรสชาติของฟัวกราส์และมีเจลราสเบอร์รี่และส้มยูสุ ช่วยดับกลิ่นคาวของตัวฟัวกราส์ อาจจะกินยากสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบรสชาติของฟัวกราส์ แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการกินเพื่อตัดรสชาติหวานหลังจากกินขนม Carabineros Prawn Caesar Wrap สลัดซีซาร์ที่มาคู่กับกุ้งทะเลจากสเปน Carabineros Prawn เนื้อกุ้งกรุบเด้งกับสลัดซีซาร์กรอบหอม เป็นอีกชิ้นที่ให้ความสดชื่นได้ในพริบตา …
Author: athiwat tripipitsiriwat
ครั้งนี้ Kinlakestars.com จะพาทุกท่านไปพบกับการกินอาหารสุดแสนสนุกกับเชฟตัวเล็กที่สุดในโลก เลอ เปอติต์ เชฟ ถูกออกแบบขึ้นจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้วยแสง สี เสียงอันเสมือนจริง โดยการสร้างภาพแอนิเมชัน 3D ฉายลงบนโต๊ะอาหารของคุณที่มีผ้าปูโต๊ะและจานอาหารวางอยู่ คุณจะเพลิดเพลินไปกับการท่องโลกพร้อม เฝ้าดูการปรุงอาหารอย่างพิถีพิถันจากเชฟตัวจิ๋วขนาด 58 มิลมิเมตร ในเบื้องหน้าของคุณ เตรียมกระเป๋าของคุณให้พร้อม เชฟจิ๋วจะพาทุกท่านเดินทางผ่านเส้นทางสายไหม ตามรอยเท้าของนักเดินทาง ในตำนานอย่าง มาร์โคโปโล ในมื้ออาหารสุดพิเศษนี้ที่ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท การเดินทางครั้งนี้รองรับได้สูงสุด 12 ท่านต่อหนึ่งรอบ แต่การผจญภัยของเชฟตัวจิ๋วที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นทั้งการเดินทางและอาหารเป็นเรื่องราวของเชฟตัวจิ๋วเก็บกระเป๋ามาถึงไทย พบกับสารพัดวัตถุดิบเครื่องปรุงในครัวแบบไทยๆ ผสมผสานเข้ากับบรรดาอาหารทะเล เรื่องราวจะสนุกสนานขนาดไหนในท้องทะเล ไปชมกันเลยครับ ก่อนจะเข้าสู่ห้อง Director room อันเป็นสถานที่แห่งการผจญภัยไปในท้องทะเลของเชฟตัวจิ๋ว เรามาอุ่นเครื่องเริ่มเปิดเพดานรับรสในปากกันด้วย Amuse bouche / ของกินเล่น Goat cheese foie gras mousse on duck breast with pickled kohlrabi อมูชบูชนี้จะเสิร์ฟมาบนใบชะพลูสีเขียวมันคลับขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่บนถาดไม้ที่เต็มไปด้วยถั่วแดง มูสชีสนมแพะกับตับห่านให้รสมันๆละมุน เสิร์ฟพร้อมกับ อกเป็ดและผักกาดดองที่มีรสเค็มตัดกับเปรี้ยวปลายจากผักดองช่วยอุ่นเครื่องเรียกน้ำย่อย หลักจากแขกทุกท่านเริ่มมาและถึงเวลา น้องพนักงานจะพาเราเข้าสู่ห้อง Director room สำหรับการเดินทางไปกับเชฟตัวจิ๋วด้วยเส้นทาง 6 คอร์สเมนู โดยไฮไลท์อยู่ที่ Appetizer / อาหารเรียกน้ำย่อย Hokkaido scallop carpaccio, marinated radish, ponzu sauce, finger lime and oxalis เมนูนี้เชฟตัวจิ๋วยังไม่เริ่มออกมา จะเป็นการฉายภาพลายกราฟิคสีขาวสลับน้ำเงิน หอยเชลล์ฮอกไกโดคาร์ปาชิโอสดๆบนฝาหอย ตัวใหญ่ สดมาก เนื้อแน่นนุ่ม หวาน หมักหัวไชเท้า เสิร์ฟพร้อมกับ ซอสพอนซึ, มะนาวคาเวียร์ และออกซาลิส ที่ให้รสเปรี้ยว และเค็มปลาย ทำให้เป็นจานที่มีรสโดดขึ้นลงกระตุ้นน้ำย่อย ต่อมรับรส พอน้ำลายสอ อร่อยลงตัว…
Mocha & Muffins : New look วันนี้ทาง Kinlakestars ขอพักเบรกจากอาหารมื้อหนัก หรือ บุฟเฟ่ต์ พาทุกท่านมาพบกับร้านเบเกอรี่ในตำนาน ของเมืองไทย Mocha & Muffins ที่เพิ่งเปิดตัวโฉมใหม่ อันน่าประทับใจ Mocha & Muffin @ Anantara Siam ร้าน Mocha and Muffins เป็นร้านเบเกอรี่หลักประจำโรงแรมอนันตรา สยาม ตั้งอยู่ที่ชั้นล็อบบี้ ซึ่งมีชื่อเสียงและ เป็นที่รู้จักกันดีในด้านของความอร่อย ด้วยสูตรขนมอันเป็นตำนานสืบต่อกันมาของร้าน และคุณภาพระดับพรีเมียมในวัตถุดิบ โฉมใหม่ของร้านได้ถูกปรับให้นั่งสบายมากขึ้นด้วยเน้นโทนสีเหลืองส้มอันอบอุ่น ช่วยเสริมบรรยากาศร้านขนมอบ พร้อมเครื่องประดับร้านและโซฟา สไตล์โฮมมี่ จัดวางไว้ให้มีหลากหลายมุมทั้งโต๊ะใหญ่ โซฟาให้เลือกนั่งตามสบาย ตำแหน่งของกระจกซึ่งกำหนดแสงสว่างของร้านถูกคิดไว้อย่างดี ได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติอย่างเพียงพอโดยที่ไม่ร้อน ทำให้นอกจากจะถ่ายรูปสวยแล้ว ยังสามารถพักผ่อนนั่งอ่านหนังสือได้ และนอกจากนี้ทางร้านยังจัดปลั๊กไฟไว้ให้ ครอบคลุมเกือบทุกตำแหน่งที่นั่ง อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถนำงานเล็กๆน้อยๆมาทำสบายๆได้อีกด้วย ระหว่างเพลิดเพลินกับการรับประทานอาหาร จะเห็นว่าแค่ปลั๊กไฟ ทางร้านก็เตรียมพร้อมให้ลูกค้าอย่างครบครัน ทั้งหัวเสียบสายชาร์จแบบ USB หรือ สามตาสองตา หัวกลม หัวแบน นอกจากนี้ด้านหน้าร้านยังมีมุมขายขนมอร่อยๆดังๆจากที่อื่นอีกด้วย เมนูของร้านจะเน้นอาหารที่รับประทานได้ง่ายๆ เช่น ซุป สลัด แซนด์วิช และที่พลาดไม่ได้คือ โรลไส้กรอก sausages roll ในตำนาน นอกจากนี้ยังมีเมนูใหม่ที่เพิ่มเข้ามาหลังปรับโฉมคือ คิช (Quiches) ซึ่งจะเสิร์ฟพร้อมสลัดผัก เครื่องดื่มก็มีทั้งชา กาแฟ สมูทตี้ เบียร์ และไวน์ ให้เพลินเพลินได้ตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ หนึ่งในสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่นั้นคือ salad bar ซึ่งลูกค้าสามารถสร้างสลัดของตัวเองได้ด้วยการเลือกได้ว่าในจานจะใส่อะไรบ้างใส่น้ำสลัดอะไร นอกจากจะสนุกแล้วยังได้รสชาติที่ใช่ของที่ชอบ จานเดียวในโลกเลยทีเดียว เมนูอาหารแนะนำ ซุปเห็ด (Soup of the day – 170 บาท) วันนี้ซุปประจำวันคือ ซุปครีมเห็ด ซึ่งสร้างความประทับใจตั้งแต่ display และ presentation…
วันนี้ Kinlakestars.com จะพาทุกท่านไปพบกับ New Menu ณ Attico, Raddison Blu ซึ่งเป็นแบบ Shared table style ขนาดแต่ละจานเหมาะสมอย่างยิ่งกับการเอามาแบ่งกันรับประทาน หรือใครที่มากันสองคนก็สามารถบอกพนักงานว่าให้จัดแบ่งเป็นสองจานมาได้ โดยจะได้ขนาดจานที่กินได้พอดีต่อท่าน และสวยงามดูเหมือนอาหารที่กินเป็นคอร์สเมนู เชฟ Danilo Aiassa เชฟชาวอิตาลีที่มากประสบการณ์ เคยเป็นเชฟร้านอาหารและโรงแรมชื่อดังเช่น Four Seasons Bangkok และ Ciao italian restaurant ของโรงแรม Mandarin Oriental มาแล้ว ซึ่งเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของนักชิมหลายๆท่าน บรรยากาศสไตลด์ทัสคาเนียนแท้ ในส่วนของร้าน การตกแต่งเป็นสไตล์ทัสคานี ร้านจะสูง โปร่ง หน้าต่างบานใหญ่ สูง แบบ Floor to ceiling ทางเข้าประดับด้วยถังไม้โอ๊ค การตกแต่งโดยใช้โทนสีเอิร์ทโทน ไม้ ถังไวน์ และ ขวดไวน์ รวมทั้งภาพวาดธรรมชาติที่แขวนบนกำแพง พร้อมไฟสีเหลืองนวล ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมือนอยู่บ้านชนบทในแคว้นทัสคานี นอกจากนี้ยังมีห้อง Private ด้านในสุดของห้องอาหาร สามารถจัดงานเลี้ยง งานปาร์ตี้ส่วนตัวได้ ทางด้านนอกก็ยังสามารถพักผ่อนแบบมีสไตล์ได้ที่นอกระเบียงทั้งสองด้านของห้องอาหารแอตติโก้ เป็นมุมในกทม. ที่เห็นพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงาม อาหารอิตาลีชั้นเยี่ยม อาหารที่นี่เป็นอาหารอิตาเลียนแบบดั้งเดิม รังสรรค์เมนูโดยเชฟ Danilo Aiassa เป็นเชฟอิตาเลี่ยน เชฟจะเน้นเรื่องวัตถุดิบ ที่พิถีพิถันในการคัดสรร เช่น เนื้อนำเข้าจากออสเตรเลียและอิตาลี อาหารทะเลนำเข้าจากฝรั่งเศส ชีสนำเข้านานาชนิดแล้ว ยังมีพาสต้า น๊อคกี้แบบโฮมเมด ผักสลัดคุณภาพเยี่ยม ขนมปังอบโฮมเมด และโคลด์ คัท ที่มีให้เลือกมากกว่า 10 ชนิด อาหารที่นี่ Portion ไม่เล็ก สามารถแชร์กินกันได้ ตามสไตล์คนเอเชียครับ ร้านอาหารแอตติโก้ยังมีเมนูพิเศษที่ผลัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาล (Seasonal) ของประเทศอิตาลี และไวน์นำเข้าชั้นดีจากอิตาลีไว้บริการอีกด้วย เริ่มต้นมื้ออาหารกันด้วยขนมปังกัน สำหรับขนมปังที่นี่มีอย่างหลากหลายรูปแบบให้แขกได้เลือกสรรค์ และมีเนยให้เลือกถึง 3 ชนิด ได้แก่ เนย…
ในไลฟ์สไตล์คนเมืองปัจจุบัน ที่มีทั้งความเร่งรีบ ความเครียดสะสมต่างๆ รวมถึง การเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดสรีระ ล้วนแต่ส่งผลให้ทำให้เรามีความไม่สบายตัว มีอาการปวดเนื้อปวดตัว ทำให้ในบางครั้ง เราก็อยากที่จะหาที่ผ่อนคลาย ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว และพร้อมที่จะกลับมาใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์แบบที่เราต้องการ อย่างเต็มศักยภาพ วันนี้ทาง kinlakestars.com ขอเสนอรีวิวการนวดสปาที่ ซีซั่นสปา ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพ บนถนนวิทยุ ในสปามีบรรยากาศผ่อนคลายในแบบรีสอร์ท ที่ออกแบบมาให้มีความผ่อนคลาย แต่ยังมีความหรูหรา และ ประณีต ซีซั่นส์ สปา Season Spa -โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ โอเอซิสแห่งการเยียวยากายและใจ ที่เข้าถึงศาสตร์การนวดและหัตถการเข้าไว้ด้วยกันฉบับผสมผสานไทยและต่างชาติท่านจะได้รับการปรนนิบัติจากผู้เชี่ยวชาญตามโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาตามหลักวิทยาศาสตร์ ภายในบรรยากาศผ่อนคลายสไตล์รีสอร์ทที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติเขียวขจีผนวกความหรูหราและความประณีตเพื่อให้ท่านเข้าถึงบรรยากาศการผ่อนคลายอย่างแท้จริง ณ ชั้น 7 โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ The Essence ซีซั่นส์ สปาแห่งนี้ ตระหนักดีว่าความสมดุลทางใจมีความสำคัญเฉกเช่นความสมดุลทางกาย ซึ่งมาพร้อมกับความสัมพันธ์ของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซิกเนเจอร์ทรีทเม้นต์ของเราจะช่วยให้คุณเข้าถึงความสุขที่ยั่งยืนผ่านศาสตร์การนวดและหัตถการของเราโดยแบ่งตามกลุ่มของเคมีในสมองได้ดังนี้ เซโรโทนิน (serotonin) การนวดผสมผสานทรีทเม้นต์ที่ช่วยปลดล็อคความไม่สบายกายและความกังวลใจ ที่ช่วยปลอบประโลมจิตให้เดินทางสอดคล้องกับความสงบในจิตใจ ให้คุณได้สมดุลในการใช้ชีวิตกลับคืนมา โดปามีน (dopamine) ให้รางวัลตัวเองด้วยการปรนนิบัติกายใจของคุณ ด้วยการนวดและหัตถการที่ช่วยปลุกประสาทสัมผัส กระตุ้นให้ร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่าผ่านทางร่างกายเข้าสู่จิตใจเพื่อผลลัพท์ที่ดีจากภายใน และเสริมสร้างความรักที่มีให้กับตัวเอง เอนโดรฟิน(endorphins) นวดและหัตถการที่เน้นลงน้ำหนักกระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุขเพื่อลดความเจ็บปวดเมื่อยล้าตามวิถีธรรมชาติ คืนความแข็งแรงให้สุขภาพใจ เพิ่มอำนาจในการเข้าถึงความสุขสมดุลทางใจและกายอย่างแท้จริง The Place ห้องทรีทเม้นต์และหัตถการ –ทั้ง 11 ห้องถูกดีไซน์ให้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไทย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ห้องบุษยมาศ ห้องเตียงคู่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ระดับเพรสสิเดนเชียล สปา สวีท ติดตั้งด้วยอ่างจากุซชี่ตรงกลางห้อง ข้างอ่างทั้งสองจะเป็นเตียงสำหรับทำการนวด ห้องอาบน้ำ ห้องสตรีม และห้องแต่งตัว ห้องลินจง ห้องเตียงคู่ ติดตั้งด้วยอ่างอาบน้ำแบบญี่ปุ่น (Sunken Bath Tub) ห้องอาบน้ำ ห้องสตรีม และห้องแต่งตัว โดยห้องนี้แม้ขนาดไม่ใหญ่เท่าห้องก่อนหน้านี้ แต่ก็มีสเน่ห์ในตัวจากอ่างไม้ใบโต กลิ่นหอม สไตล์ญี่ปุ่น พร้อมห้องทรีทเม้นต์มาตรฐาน 4 ห้อง ห้องนวดไทย 2 ห้อง และ ห้องเตียงคู่ 3…
The Sunday Brunch @ 204 Bistro Swissôtel Ratchada Bangkok ในช่วงใกล้สิ้นปีที่มีวันหยุดยาวมากมาย และใกล้ช่วงปิดไตรมาสที่สำหรับประจำปี ถ้าท่านกำลังมองหา Sunday brunch ง่ายๆ เพื่อฉลอง และ พักผ่อนหลังการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย วันนี้ทาง Kinlakestars.com ขอนำทุกท่านไปพบกับหนึ่งใน Sunday brunch ที่คุ้มค่าที่สุดในเวลานี้ที่ 204 Bistro Ratchada Bangkok 204 Bistro เป็นห้องอาหาร buffet ประจำโรงแรม Swissôtel Ratchada Bangkok ที่ขึ้นชื่อในแง่ของกิมมิกที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมานำเสนอให้แก่ลูกค้า และ มี Swedish menu ที่หาไม่ได้จากไลน์บุฟเฟ่ต์อื่นๆ The Vibe ตัวร้าน 204 Bistro ตั้งอยู่ในชั้นล็อบบี้ของโรงแรม แต่จัดมุมไว้ให้เห็นเฉพาะส่วนที่เป็นสวนต้นไม้ภายในโรงแรม ร่มรื่น และหลบหนีแสงสะท้อนจากถนนใหญ่ เน้นแสงส่วนใหญ่เป็นแสงธรรมชาติจากกระจกบานสูง และมีส่วนที่นั่งโซฟา ที่ใช้ดาวน์ไลท์และแบ็คดรอบสีน้ำเงิน ดีเทลเรียบง่าย และที่นั่งค่อนข้างกว้างขวาง ทำให้ได้บรรยากาศผ่อนคลาย สไตล์รีสอร์ตริมทะเล The Buffet ไลน์ buffet ของ 204 Bistro แบบนานาชาติ จัดวางไว้อย่างเข้าใจง่าย อาจจะแคบเล็กน้อยถ้ามีลูกค้ามาก แต่ก็ทำให้สามารถเดินอย่างทั่วถึงได้เร็ว และไม่ไกลจากบริเวณที่เป็นที่นั่งมากนัก ไฮไลต์ที่ห้ามพลาดของที่นี่คือ จานอาหาร Swedish, Seafood on ice และของหวาน มุมไฮไลต์สไตล์สวิสแท้ๆ มุมนี้ เอาใจคนรักอาหารสวิสด้วยความที่เป็นโรงแรมที่มีสาขาแม่จากสวิสเซอแลนด์ ดังนั้นจึงพลาดไม่ได้กับการที่จะต้องมีเมนูอาหารต้นตำรับประจำประเทศซึ่งหาไม่ได้ในที่อื่นแน่นอน Swedish Rosti & Zurich Geschnetzeltes Rosti เป็นวัฒนธรรมอาหารหนึ่งของ Swiss โดยเป็นมันฝรั่งหั่นฝอย ทำออกมาคล้ายตัวพิซซ่า หรือแพนแค้ก มี texture ด้านในคล้าย hashbrown…
Hishou @ Hotel Nikko Bangkok เทมปุระ เป็นหนึ่งในอาหารญี่ปุ่นยอดนิยมของคนไทย แต่ในบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นนั้น เทมปุระมักจะเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบรอง ๆ เท่านั้น วันนี้ kinlakestars.com ขอนำเสนอ บุฟเฟ่ต์เทมปุระพรีเมี่ยม อันโดดเด่น เป็นที่แรกของประเทศไทยจากห้องอาหารญี่ปุ่น “ฮิโช’ ประจำโรงแรม Hotel Nikko ย่านทองหล่อ Hishou ร้านฮิโช ตั้งอยู่ ชั้นล็อบบี้ของโรงแรม Hotel Nikko ซึ่งอยู่ใจกลางทองหล่อสามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าจาก BTS ทองหล่อ หรือถ้าขับรถมาก็สะดวกตัวลานจอดรถที่ค่อนข้างกว้างขวาง ตัวร้าน Hishou เป็นหนึ่งในห้องอาหารญี่ปุ่นหลักของตัวโรงแรม Hotel Nikko เองทำให้มั่นใจได้ในเรื่องของรสชาติญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และการบริการที่ดีเยี่ยม พร้อมด้วยบรรยากาศของร้านที่ตกแต่งด้วย style ร่วมสมัย แต่ยังคงใกล้ชิดธรรมชาติในสไตล์ของชาวญี่ปุ่นด้วย มีการเน้นแสงธรรมชาติ และโทนสีอบอุ่น เพดานที่ออกแบบพิเศษเป็น แนวไม้ไผ่พร้อมแสงลอดผ่าน จำลองแสงของหิ่งห้อยที่แทรกตามปล้องไม้ไผ่ ในส่วนของพื้นที่ให้บริการจะมีทั้ง บริเวณที่เป็นสาเกบาร์ ที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยขวดของสาเก และโชจู นอกจากนั้นยังมีบริเวณ living kitchen สามารถมองเห็นการทำอาหาร และเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารสไตล์เทมปุระบาร์ ที่สามารถรับเทมปุระสดใหม่จากเชฟได้โดยตรง และ ยังมีห้องส่วนตัวสองห้องเพื่อรองรับแขกที่ต้องการฉลองเนื่องในโอกาสพิเศษ จุสูงสุดถึง 20 ท่าน Tempura Buffet บุฟเฟ่ต์เทมปุระจะเสิร์ฟเฉพาะมื้อเย็น ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลา 17.30 – 22.30 ไม่จำกัดระยะเวลาการรับประทาน โดยตัวบุฟเฟ่ต์เทมปุระ โดยอาหารของร้านจะควบคุมโดยตรงจากเชฟชาวญี่ปุ่น แน่นอนว่ารับประกันในเรื่องของรสชาติ และ กรรมวิธีการทอดเทมปุระ ตัวเทมปุระบุฟเฟต์นี้ นอกจากจะเสิร์ฟพร้อมกับ น้ำจิ้มเทมปุระ ยังมีจุดที่โดดเด่น เฉพาะร้านฮิโชด้วย นั่นก็คือ … เกลือหกชนิด ได้แก่ Moshio (เกลือรสธรรมดา), Wasabi Shio (เกลือวาซาบิ), Karei Shio (เกลือผงกระหรี่), Sansho Shio…
ท่ามกลางกระแสนิยมของ “โอมากาเสะ” ในปัจจุบันทำให้มีร้านอาหารที่ให้บริการแบบโอมากาเสะมากขึ้น ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่นำเสนอจุดเด่นของร้านแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของวัตถุดิบชั้นเลิศ ฝีมือของเชฟ ความแปลกใหม่ หรือ ในแง่ของราคา ซึ่งวันนี้ Kinlakestars จะขอนำเสนอร้านโอมากาเสะ ที่โดดเด่นในแง่ของ รสชาติและความคิดสร้างสรรค์ การันตีด้วยรางวัลมิชลินสองดาว ในสาขาแม่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ร้าน Sushiyoshi เป็นร้านที่เลื่องชื่อ ในกลุ่มผู้ชื่นชอบโอมากะเสะมาอย่างยาวนาน ก่อตั้งมาเกือบ 30 ปี โดยความพิเศษของร้านนี้เกิดจากฝีมือของมาสเตอร์เชฟ ฮิโรกิ นากาโนะอุเอะ ซึ่งได้ผสานสไตล์การเตรียมโอมากาเสะแบบดั้งเดิม (Edomae) เข้าร่วมกับกรรมวิธีการปรุงอาหารสไตล์ฝรั่งเศส เป็นแบบการสร้างสรรค์ร่วม หรือที่ทางร้านใช้คำว่า Co-Creation ด้วยความโดดเด่นในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ ประกอบกับประสบการณ์อันยาวนาน ทำให้ร้าน Sushiyoshi ได้รับดาวมิชลินสองดาวติดต่อกันหลายปี และถือว่าเป็นโอกาสอันดีของนักชิมชาวไทย ที่ร้านนี้ได้มาเปิดที่ประเทศไทย นับเป็นสาขาที่ 2 นอกประเทศญี่ปุ่นของร้าน Sushiyoshi ต่อจากฮ่องกง ร้าน Sushiyoshi ตั้งอยู่ ที่โรงแรมทำเลดีใจกลางเมือง ดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ (W hotel Bangkok) ซึ่งสร้างบรรกาศความหรูหรา และผ่อนคลายเป็นอย่างดี เมื่อเดินเข้าที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่งก็จะพบประตูไม้ขนาดใหญ่สะดุดตาของร้าน Sushiyoshi การต้อนรับและบรรยากาศภายในร้าน ประตูร้านจะถูกปิดสนิทจนกว่าจะถึงเวลาเปิดร้าน ซึ่งรอบแรกคือ 17.30 น.ตรง เมื่อถึงเวลานัดหมาย หัวหน้าบริกรจะออกมาต้อนรับตรวจสอบรายชื่อการจองของท่านและพาไปนั่งที่ counter ของร้าน ซึ่งตั้งแต่เดินเข้ามาก็จะพบการตกแต่งของร้านเป็นสไตล์โอมากาเสะมาตรฐานคือมี counter ล้อมรอบครัวที่เป็นส่วนประกอบอาหาร ทำให้ได้บรรยากาศร้านอาหารญี่ปุ่นชั้นดี เจือกลิ่นน้ำส้มสายชูและมิริน ประกอบเสียงปิ้งอาหารจากเตาถ่านช่วยกระตุ้นความอยากอาหารเต็มที่ ในแต่ละรอบจะสามารถรองรับลูกค้าได้เพียง 12 คนเท่านั้น การจำกัดคนเพียง 12 ท่านนี้ทำให้ทุกที่นั่งสามารถรับอาหารแต่ละเมนูจากมือเชฟได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก และให้ความรู้สึกสบายไม่กดดัน ระหว่างรออาหารคอร์สแรก และเพื่อนร่วมมื้ออาหารท่านอืนๆ ท่านจะสามารถสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นไวน์หรือสาเกมาดื่มก่อนอาหารได้ ซึ่ง Riesling wine ที่เราสั่งมาก็ถือว่ารสชาติดีและเข้ากับอาหารของเชฟฮิโรกิเป็นอย่างดี เชฟและเมนู ถึงแม้รอบนี้เราจะไม่ได้เจอเชฟฮิโรกิ โดยตรงแต่ก็ได้เชฟซูชิชาวญี่ปุ่นที่เชฟฮิโรกิไว้ใจ และมีประสบการณ์ทางด้านโอมากาเสะมากกว่าสิบปี คือ เชฟซาโตรุ คุโบตะ และ เชฟทาคาโนริ ฮาระ ช่วยปั้นซูชิให้ทุกคำ นอกจากนี้เชฟชาวไทยที่ช่วยประกอบอาหารเมนูอื่นๆ…