Author: athiwat tripipitsiriwat

ในครั้งนี้ Kinlakestars.com มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอทริปสุดพิเศษ ที่รีสอร์ตระดับโลกในประเทศไทย นั้นคือ Soneva Kiri หากเราพูดถึงโรงแรมและรีสอร์ทหรู ในหัวหลายๆท่านมักนึกถึงแบรนด์ 5 ดาว ที่อยู่ในแบรนด์ Inter ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเครือ Marriott, Accor, Hyatt, Hilton ฯลฯ ส่วนแบรนด์ไทยๆดังๆก็มีมากมาย แต่ Soneva อาจจะมีหลายท่านที่ไม่คุ้นหู หรือ ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้อง Soneva “Luxury must be comfortable, otherwise it is not…” Coco Chanel quotes นี่เป็นถ้อยแถลงสุดอมตะของผู้ก่อตั้งแบรนด์สุด Luxury ระดับโลก ที่ชี้ให้เห็นว่าความหรูหราต้องสะดวกต้องสบาย ถ้าไม่รู้สึกสะดวกไม่รู้สึกสบายนั้นไม่ใช่ “Luxury” https://youtu.be/8pecK7_peWA ในหลายๆสถานที่ เราอาจรู้สึกว่าดูแพงดูดี งดงาม แต่อาจไม่รู้สึกสะดวกใจสบายอารมณ์ บางครั้งการบริการที่ประกบและมาแบบเป็นทางการมากจนเกินไปอาจทำให้รู้สึกอึดอัด การออกแบบที่อัดแน่นด้วยของแพงๆหรือแม้แต่ทุกอย่างที่ดีอาจไม่ทำให้เรารู้สึกสบาย แต่ไม่ใช่ที่ Soneva แน่นอน เรามาดู 10 เหตุผลกันเลยดีกว่าครับ ! 2-Bedroom-Sunset-Ocean-View-Pool-Retreat-Villa-53 (หลังที่เราพักนั้นเอง) 1. Unique & Sustainable Architecture สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างอาคารและทางเดินที่สร้างไปตามความลาดชันของพื้นที่เดิมและไม่ปิดพื้นผิวเดิมด้วยคอนกรีตแต่เลือกใช้วัสดุที่น้ำซึมผ่านลงชั้นดินได้ สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้วยตัวโรงแรมตั้งอยู่บนเกาะซึ่งไม่ใช่เป็นพื้นที่ราบเป็นพื้นที่ที่มีความสูงชันเดินเขาขึ้นลงดังนั้นเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและกระทบกับพื้นที่เดิมให้น้อยที่สุดผู้ออกแบบจึงแทบจะไม่ไปยุ่งกับความลาดชันเดิมแต่ใช้วิธีให้อาคารเกาะและวางตัวไปตามความลาดชันเดิมซึ่งถือเป็นความท้าทายในการออกแบบ​ ทางเดินภายในโรงแรม นอกจากนี้อาคารทั้งหมดมีการสัมผัสพื้นผิวอย่างแผ่วเบา คือหากถ้าเราดูอาคารทั่วไปที่สร้างอยู่ในเมืองหรือหลายๆที่ อาคารจะมีลักษณะสร้างขึ้นจากพื้นเป็นฐานขึ้นไปเรื่อยๆแต่สำหรับที่โซเนวาคีรีนี้ อาคารเกือบทุกหลังจะตั้งอยู่บนเสาที่ยกระดับขึ้นมาและไม่ใช่ยกระดับเพียงเพื่อพ้นดินมาเล็กน้อยแต่อยู่ในระดับที่สูงพอที่จะทำให้ลมสามารถผ่านใต้อาคารได้ถึงขนาดคนสามารถเดินทะลุผ่านได้ซึ่งทำให้ไม่กระทบกับระบบนิเวศพื้นดินเดิมที่อยู่ภายใต้อาคาร ยังสามารถให้น้ำซึมลงพื้นดินได้และมีพืชขึ้นได้ 2-Bedroom-Sunset-Ocean-View-Pool-Retreat-Villa-53 (หลังที่เราพักนั้นเอง) : ด้านหลังของ Master Bed room นอกจากนี้อาคารต่างๆยังถูกออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนชื้นมีการยื่นชายคาอย่างเหมาะสมและลงตัว ทั้งวัสดุที่ใช้ประกอบอาคารนั้นใช้ไม้ทั้งหมด บางส่วนเสริมโครงสร้างด้วยการยึดจากแผ่นเหล็ก สลิงและการใช้โครงสร้างผ้าใบผสมผสาน Six Sense Spa ตัว Pool villa ของ Soneva ถูกออกแบบมาอย่างดีและกว้างขวาง มีทั้งตัวเรือนหลัก ห้องแต่งตัว ทำจากไม้ที่นำเข้าจากนิวซีแลนด์ทั้งหลังที่ไม่ทาสี ใช้สารเคลือบหรือเคมีใดๆ ถูกขัดและทำความสะอาดอย่างดีไร้เสี้ยนฝุ่นหรือสิ่งสกปรก 2-Bedroom-Sunset-Ocean-View-Pool-Retreat-Villa-53 (หลังที่เราพักนั้นเอง) มีพื้นที่อาบน้ำกลางแจ้ง…

Read More

Ep.1 : นำชมโซนCo-Eating การันตีความอร่อยระดับมิชลินไกด์ (Michelin Guide) Michelin Guide Thai Street Food Deck ‘มุมอาหารไทยระดับมิชลินไกด์’ ประกอบด้วยร้านดัง ไม่ต้องไปไหนไกล ไม่ต้องจ้างใครไปซื้อ ที่นี้มีหมดDr. Athiwat T. ห้างสรรพสินค้า Central @CTW สร้างความฮือฮาอีกครั้ง จัดกิจกรรมฉลองการพลิกโฉมแผนกโฮมคอนเซ็ปต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “Living House” Co-Living & Eating Space ที่ชั้น 7บนพื้นที่ กว่า 5,000 ตารางเมตรให้กลายเป็นจุดหมายปลายแห่งทางใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ช้อปปิ้งให้สนุก และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ให้ได้มาใช้ชีวิต พร้อมเติมเต็มความสุขเสมือนบ้านหลังที่สอง ในครั้งนี้เราขอพาทุกท่านมาพบกับ Living House @ CTW โซนCo-Eating (โค-อีทติ้ง)ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเอาใจคนรักการรับประทานอาหาร ด้วยร้านอาหารที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีหลากร้านหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารจานหลักจานรองที่คุณสามารถเลือกสั่งเมนูโปรดจากร้านใดก็ได้ในโซนนี้มารวมเป็นมื้อเดียวกัน ซึ่งการันตีความอร่อยระดับมิชลินไกด์ (Michelin Guide) Michelin Guide Thai Street Food Deck ‘มุมอาหารไทยระดับมิชลินไกด์’ ประกอบด้วยร้านดัง อาทิ Ten Suns ไร้เทียมทาน ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสูตรเก่าแก่ร้อยกว่าปี เจ้าเก่าแยกวิสุทธิกษัตริย์ ใช้เนื้อคุณภาพดีในราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ต้องหาที่จอดหรือเดินทางไกลก็ได้กินแบบลวกใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ ลิ้มเหล่าโหงว โดดเด่นด้วย คุณภาพ และรสชาติของลูกชิ้นปลาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลิ้มเหล่าโหงว ตำนานบะหมี่ลูกชิ้นปลากระโดดได้ ได้สร้างสรรค์ความอร่อยยาวนานกว่า 80 ปี โดดเด่นด้วย คุณภาพ และรสชาติของลูกชิ้นปลาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ยังคงรักษาเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ที่จะทำอาหารที่อร่อยและมีคุณภาพ ลูกชิ้นปลาของร้านนี้นั้น มาจากปลาทะเลตัวโต สดใหม่ คัดสรรเฉพาะเนื้อปลาล้วนๆ ผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถัน และเต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ จนออกมาเป็น “ลูกชิ้นปลา” ที่มีความอร่อย เหนียวนุ่ม กรอบเด้ง โดยปราศจากแป้ง และสารเคมีเจือปน จึงเป็นที่ถูกใจ เป็นที่ชื่นชอบ และเข้าไปอยู่ในใจของผู้ได้ลิ้มรส เรื่องราวความอร่อยของลูกชิ้นปลาของร้านนี้ ถูกบอกเล่ากันไปแบบปากต่อปาก จนได้รับการขนานนามว่า “ลูกชิ้นปลา กระโดดได้” อองตอง ร้านข้าวซอยตำรับโบราณจากเชียงใหม่ ข้าวซอนเส้นกรอบ ซุปมันข้นรสถูกปากคนภาคกลางไม่เผ็ดไป กลอมกล่อม รสที่ถูกปรับมาแล้วทำให้ถูกปาก…

Read More

เนื่องจากสถานการณ์ COVID19 ทำให้ตารางการเดินเรือของ safforn เปลี่ยนไป จึงขอ update เรื่องการขึ้นเรือไว้ตรงนี้ครับผม (Update: 9Sept2020)เรือแซฟฟรอน ครูซออกจาก: ท่าเรือไอคอน สยาม 2เวลา: 18.30น (ศุกร์ / เสาร์ / อาทิตย์)ใช้เวลาล่องเรือ: 2 ชั่วโมง (โดยประมาณ)ต้องจองล่วงหน้าที่ 02 679 1200 หรือ [email protected] เท่านั้นครับKinlakestars, Banyan Tree Bangkok Fanpage วันนี้ Kinlakstars.com มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้แนะนำ Destination ใหม่ของกรุงเทพฯ ที่จะเปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารบนแม่น้ำเจ้าพระยา แบบสุด Exclusive นั่นคือ Saffron Cruise เรือลำใหม่ จากโรงแรมสุด Classy บันยันทรี กรุงเทพฯ นั่นเองครับ Saffron Cruise เป็นเรือขนาดใหญ่ที่ ซึ่งมีความยาวของตัวเรือถึง 38 เมตร มีห้องครัวร้อนบนเรือ สามารถปรุงอาหารได้สดใหม่ ตัวห้องอาหารอยู่ที่ตัวเรือชั้นล่างได้ตกแต่งเป็นห้องอาหารสุดโรแมนติกด้วยโทนสีดำ และเครื่องทองแดง สไตล์โมเดิร์น นั่งสบาย พร้อมหน้าต่างที่ออกแบบพิเศษใช้กระจกโค้งจากด้านข้างเรือไปจนถึงเพดาน ไม่บดบังทัศนียภาพและสามารถมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อีกด้วย ส่วนชั้นบนของเรือเป็นลักษณะของ บาร์แบบเปิดโล่ง สามารถรับชมวิวของกรุงเทพฯ ครบทั้ง 360 องศาในมุมพิเศษ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความเชี่ยวชาญของโรงแรมบันยันทรี ที่มีร้านอาหารที่โดดเด่นในเรื่องของวิว เช่น Saffron sky bar หรือ Vertigo Moon Bar ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ความสูงออกแบบมากำลังพอเหมาะของตัวเรือ ทำให้เราสามารถถ่ายภาพริมแม่น้ำ ได้ด้วยมุมสุดพิเศษ ซึ่งไม่สามารถพบได้ที่เรือลำอื่น นอกจากนี้ตัวเรือยังมีการตกแต่งอย่างสวยงาม ทั้งส่วนของบาร์ที่มีแสงสีฟ้าสดใส พร้อมโคมไฟประดับที่สั่งมาใช้โดยเฉพาะ ขับให้องค์ประกอบของภาพนั้นสวยงามมากยิ่งขึ้น สำหรับท่านที่สนใจตัวเรือ Saffron Cruise ได้จัดการเดินทางไว้เลือกได้สองรอบคือ รอบ Sunset และรอบ Dinner…

Read More

ท่ามกลางร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีมากมายในปัจจุบัน วันนี้ kinlakestars.com อยากจะพาทุกท่านไปพบกับร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีความโดดเด่นในแง่ของวัตถุดิบ และ เชฟอาหารญี่ปุ่นยอดฝีมือ ชาวญี่ปุ่นแท้ที่เคยได้รับดาวมิชชิลินมาแล้ว นั่นคือ ห้องอาหาร ‘สึ’ (Tsu Japanese Restaurant) ประจำโรงแรม JW Marriot กรุงเทพฯ ที่ตั้ง ห้องอาหาร Tsu แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ โรงแรม JW Marriot ซึ่งห่างจากสถานี BTS เพลินจิตไม่มาก ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาที มุ่งหน้ามาทางสถานีนานาก็จะเจอตัวโรงแรม JW Marriot ในส่วนของ ตัวร้าน Tsu เองนี้ตั้งอยู่บริเวณชั้นใต้ดินของโรงแรม ซึ่งเมื่อเดินลงมาก็จะพบกับห้องอาหาร สึ อยู่ทางด้านซ้ายมือตรงข้ามกับร้าน ‘นามิ (Nami)’ ซึ่งจะเสิร์ฟอาหารประเภท Teppanyaki ตัวร้าน Tsu จะตกแต่งอย่างทันสมัย ด้วยโทนสีขาวเรียบหรู พร้อม downlight สไตล์ avantgrade ดูแปลกตา มีที่นั่งให้เลือกหลายแบบทั้งแบบ counter bar โซฟา และห้องส่วนตัวซึ่งด้านในตกแต่งไว้ด้วยโทนสีขาวล้วน ให้บรรยากาศการรับประทานอาหารญี่ปุ่นแบบใหม่ อาหารญี่ปุ่นและเชฟชั้นเลิศ ถึงแม้ตัวร้านจะถูกตกแต่งด้วย สไตล์ที่ดูนำสมัย แต่อาหารของร้านยังคงความเรียบง่าย เข้าใจง่าย และเคารพต้นตำรับปรัชญาของอาหารญี่ปุ่น นั่นคือการใช้วัตถุดิบที่มีรสชาติดีจากธรรมชาติและสดใหม่ ซึ่งการันตีรสชาติด้วย Head Chef ชาวญี่ปุ่นคือ Yukio Takeda ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำอาหารญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้เชฟยังมีประสบการณ์การทำงานในร้านอาหารญี่ปุ่นชั้นนำมาทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ที่ ดูไบ อียิปต์ ฮ่องกง และลอนดอน ซึ่งที่ลอนดอนเชฟได้ขึ้นถึงเป็นเชฟประจำร้าน Umu ซึ่งเป็นร้านระดับสองดาวมิชลินมิชอีกด้วย และส่วนตัวเชฟเป็นกันเองกับลูกค้า ถ่อมตัว และสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีมาก ดังนั้นเมื่อลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารในร้าน Tsu ก็จะมั่นใจได้ว่าอาหารมื้อนี้จะถูกปรุงอย่างพิถีพิถัน และดึงรสชาติของวัตถุดิบนั้น ๆ ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งในวันนี้เราก็จะนำเมนูตัวอย่างที่ต้องลองของร้านนี้มานำเสนอผู้อ่านทุกท่านครับ Appetizers ครีบปลากระเบน (Eihire) 250 บาท อาหารเรียกน้ำย่อยที่ดูง่ายๆ ธรรมดา…

Read More

วันนี้ Kinlakestars.com จะขอนำทุกท่านไปพบกับ หนึ่งในร้านโอมากาเสะ สไตล์ edomae แท้ ที่อยู่ใจกลางเมือง ซึ่งคือย่านสีลมนั่นเอง ถึงแม้ร้านนี้จะยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ก็เป็นร้านที่รู้จักและแนะนำกันในวงการนักชิมโอมากะเสะ ว่ามีความโดดเด่นในเรื่องของการใช้วัตถุดิบชั้นดี ที่ตั้ง ห้องอาหาร Mizu ตั้งอยู่ที่ตึกชาญอิสระทาวเวอร์ อยู่บริเวณชั้น 1 สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกโดย BTS ศาลาแดง หรือ MRT สีลม ตัวร้านตั้งอยู่ในตึกโซน บริเวณทางที่จะเดินออกไปยังธนิยะ เมื่อเดินทางมาถึงจะพบหน้าร้านเป็นประตูไม้ ตกแต่งแบบเรียบง่าย สไตล์ญี่ปุ่นแท้ ซึ่งตัวร้านไม่ใหญ่มาก หลังจากเลื่อนประตูเข้ามาก็จะเจอโซนโต๊ะอาหารประมาณ 3 โต๊ะ และ ที่นั่ง counter ที่จะให้บริการโอมากาเสะ รองรับลูกค้าได้เพียง 7 ที่นั่งเท่านั้น ทำให้ในหนึ่งวันร้านนี้จะให้บริการโอมากะเสะช่วงดินเนอร์ได้จำกัด หลังจากที่เรามานั่ง ก็มีการบริการผ้าเย็น และถั่วแระญี่ปุ่นระหว่างรอ ซึ่งก็จะได้กลิ่นของโชยุ มิริน น้ำส้มสายชู เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆในร้านอาหารญี่ปุ่นที่เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อถือเวลาที่นัดหมาย ซึ่งในรอบนี้คือ 18.30 น. เชฟก็แนะนำตัวและเริ่มเสิร์ฟอาหาร ซึ่งเชฟที่นี่จะเป็นเชฟคนไทยเป็นหลัก ทำให้สามารถฟังบรรยายอาหาร และถ่ายรูป ฟังเรื่องราวของแต่ละเมนูได้แบบบรรยากาศสบายๆ อาหารเรียกน้ำย่อย อังโคโมะโชยุ เป็นตับปลาอังโค หรือ ปลาแองกอร์ ซึ่งตัวตับปลานี้มีฉายาเรียกกันว่าเป็น ฟัวกราส์แห่งท้องทะเล เชฟนำตับปลาไปแช่ซอสโชยุ 3 คืน โชยุจะหมักพร้อมกับเหล้าหวาน เมื่อกินก็ได้กลิ่นหวานหอมซึ่งกลบกลิ่นคาวของตับได้ทั้งหมด เบลนกับรสชาติของตับ พร้อมรสมะนาวปิดท้าย ให้รู้สึกสดชื่นสดชื่น ชิราโกะเทมปุระ ชิราโกะ หรือ ท่อนำน้ำเชื้อของปลาชิราโกะ เชฟนำมาทำเป็นเทมปุระซื่งแปลกกว่าร้านอื่น ตัวเทมปุระมีอุณหภูมิกำลังเหมาะขณะเสิร์ฟ เราเห็นชัดเจนว่าเชฟจัดตัวชิราโกะอย่างบรรจงลงใบโอบะอยู่พักนึงจึงส่งต่อให้ครัวร้อนเอาเข้าไปทำเป็นเทมปุระ ตัวชิราโกะที่โดนความร้อนจะมีความครีมมี่ เชฟสามารถทอดโดยเนื้อไม่เละ และได้แป้งเทมปุระกรอบสีสวย โดยเชฟได้ตัดแบ่งเป็นสองชิ้น ให้รับประทานชิ้นหนึ่งกับซอสเทมปุระ และ อีกชิ้นหนึ่งกับเกลือและมะนาว เป็นหนึ่งจานที่โดดเด่นของโอมากาเสะคอร์สนี้เลยก็ว่าได้ ซาชิมิ ต่อด้วย selection ของซาชิมิ ซึ่งวันนี้เชฟได้จัดไว้ให้เราสองชนิดคือ ฟุกุมิตากิ ซึ่ง ฟุกุ หมายถึงปลาปักเป้า โดยเชฟจะเสิร์ฟเป็นซาชิมิปลาปักเป้ากับตัวหนังปลาปักเป้า ซึ่งตัวปลาปักเป้านี้มีใบรับรองด้วยว่าแล่เอาพิษออกหมดแล้ว เนื้อปลาเชฟแล่ออกมาได้กำลังดีมีเนื้อเด้ง หนึบ…

Read More

Festive afternoon tea set @ Peacock alley เนื่องในโอกาสพิเศษที่กำลังจะมาถึง สิ้นปีนี้ kinlakestars.com อยากขอแนะนำ Festive Afternoon tea ชุดพิเศษที่จะช่วยเติมเต็มบรรยากาศการเฉลิมฉลองให้พิเศษกว่าทุกๆปี ในโลเคชั่นของห้องอาหารที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ Peacock Alley ประจำโรงแรม Waldorf Astoria ซึ่งจะจัดเฉพาะช่วงเดือน ธ.ค.นี้ จนถึง 5 มกราคม 2563 เท่านั้น Peacock Alley – เลาจน์สุดหรูกลางกรุง ตั้งอยู่บนชั้น Upper Lobby แห่งโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ซึ่งจริงๆแล้ว Peacock Alley นั้น ถูกตั้งขึ้นตามชื่อร้านอาหารในโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย นิวยอร์ก ซึ่งสถานที่แห่งนี้ รู้กันดีว่าเป็นจุดนัดพบรวมตัวพบปะสังสรรค์ของชาวนครนิวยอร์กในสมัยนั้น เพียงแค่เอ่ยวลีที่ว่า “Meet me at the clock” เท่านี้ก็จะรู้กันว่าเจอกันที่ Waldorf Astoria ตัวเลาจน์ตกแต่งได้มีความหรูหรา และพื้นที่โดยรอบเป็นกระจก ให้ทุกท่านได้สามารถดื่มด่ำชมวิวในมุมกว้าง อีกหนึ่งสิ่งที่ยังคงให้ความรู้สึกว่า ที่นี่คือ Waldorf Astoria นั่นก็คือ นาฬิกาใจกลางของชั้นนี้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาเรือนดั้งเดิมที่อยู่ ณ ชั้นล็อบบี้ของโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย นิวยอร์ก นั่นเอง Festive Afternoon tea นี้ถูกรังสรรค์ด้วยฝีมือของ Head pastry chef แอนเดรอา โนลิ (Andrea Noli) เชฟชาวอิตาเลียน ผู้มากความสามารถและมาพร้อมกับรอยยิ้ม เชฟได้ใส่ใจในทุกรายละเอียด ที่ทำให้อาหารในเซ็ตมีความโดดเด่นทั้งในแง่ของรสชาติ และ องค์ประกอบที่สวยงาม อาหารในเซ็ตมาครบตามแบบฉบับของ afternoon คือ แบ่งเป็นสำรับคาว และ หวานถูกจัดมาบนจานกระเบื้องที่บอกได้เลยว่าน้อยแต่มาก มีสีสันที่สวยงาม แต่ยังคงไว้ซึ่งความเรียบหรู เข้ากับเครื่องดื่มได้ดีไม่ว่าจะจับคู่กับชามาคิยาจ แฟรส์ (Mariage Freres) หรือกาแฟ สำรับอาหารคาว (Savory Bites) เมนูเต็มไปด้วยวัตถุดิบพรีเมี่ยมที่เป็นของโปรดของหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็น แซลมอน ล็อบสเตอร์ ฟัวกราส์ ถูกนำมาจัดแสดงหลากหลายแบบ เช่น Cone, Wrap หรือ Tart เน้นโทนสีส้มดูสดใส Lobster Salad, Savory Cone เชฟนำเมนูเด่นประจำห้องอาหาร The Brasserie ที่ตั้งอยู่บนชั้นเดียวกัน คือ Lobster Salad มาจัดลงในโคนกรอบ รสชาติความหวานมันของล็อบสเตอร์เข้ากันเป็นอย่างดีกับโคนกรอบที่ทำจากมันฝรั่ง ทั้งอร่อยและสดชื่น   Foie Gras Tart, Raspberry & Yuzu Gel ทาร์ตที่อัดแน่นไปด้วยรสชาติของฟัวกราส์และมีเจลราสเบอร์รี่และส้มยูสุ ช่วยดับกลิ่นคาวของตัวฟัวกราส์ อาจจะกินยากสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบรสชาติของฟัวกราส์ แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการกินเพื่อตัดรสชาติหวานหลังจากกินขนม Carabineros Prawn Caesar Wrap สลัดซีซาร์ที่มาคู่กับกุ้งทะเลจากสเปน Carabineros Prawn เนื้อกุ้งกรุบเด้งกับสลัดซีซาร์กรอบหอม เป็นอีกชิ้นที่ให้ความสดชื่นได้ในพริบตา  …

Read More

ครั้งนี้ Kinlakestars.com จะพาทุกท่านไปพบกับการกินอาหารสุดแสนสนุกกับเชฟตัวเล็กที่สุดในโลก เลอ เปอติต์ เชฟ ถูกออกแบบขึ้นจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้วยแสง สี เสียงอันเสมือนจริง โดยการสร้างภาพแอนิเมชัน 3D ฉายลงบนโต๊ะอาหารของคุณที่มีผ้าปูโต๊ะและจานอาหารวางอยู่ คุณจะเพลิดเพลินไปกับการท่องโลกพร้อม เฝ้าดูการปรุงอาหารอย่างพิถีพิถันจากเชฟตัวจิ๋วขนาด 58 มิลมิเมตร ในเบื้องหน้าของคุณ เตรียมกระเป๋าของคุณให้พร้อม เชฟจิ๋วจะพาทุกท่านเดินทางผ่านเส้นทางสายไหม ตามรอยเท้าของนักเดินทาง ในตำนานอย่าง มาร์โคโปโล ในมื้ออาหารสุดพิเศษนี้ที่ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท การเดินทางครั้งนี้รองรับได้สูงสุด 12 ท่านต่อหนึ่งรอบ แต่การผจญภัยของเชฟตัวจิ๋วที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นทั้งการเดินทางและอาหารเป็นเรื่องราวของเชฟตัวจิ๋วเก็บกระเป๋ามาถึงไทย พบกับสารพัดวัตถุดิบเครื่องปรุงในครัวแบบไทยๆ ผสมผสานเข้ากับบรรดาอาหารทะเล เรื่องราวจะสนุกสนานขนาดไหนในท้องทะเล ไปชมกันเลยครับ ก่อนจะเข้าสู่ห้อง Director room อันเป็นสถานที่แห่งการผจญภัยไปในท้องทะเลของเชฟตัวจิ๋ว เรามาอุ่นเครื่องเริ่มเปิดเพดานรับรสในปากกันด้วย Amuse bouche / ของกินเล่น Goat cheese foie gras mousse on duck breast with pickled kohlrabi อมูชบูชนี้จะเสิร์ฟมาบนใบชะพลูสีเขียวมันคลับขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่บนถาดไม้ที่เต็มไปด้วยถั่วแดง มูสชีสนมแพะกับตับห่านให้รสมันๆละมุน เสิร์ฟพร้อมกับ อกเป็ดและผักกาดดองที่มีรสเค็มตัดกับเปรี้ยวปลายจากผักดองช่วยอุ่นเครื่องเรียกน้ำย่อย หลักจากแขกทุกท่านเริ่มมาและถึงเวลา น้องพนักงานจะพาเราเข้าสู่ห้อง Director room สำหรับการเดินทางไปกับเชฟตัวจิ๋วด้วยเส้นทาง 6 คอร์สเมนู โดยไฮไลท์อยู่ที่ Appetizer / อาหารเรียกน้ำย่อย Hokkaido scallop carpaccio, marinated radish, ponzu sauce, finger lime and oxalis เมนูนี้เชฟตัวจิ๋วยังไม่เริ่มออกมา จะเป็นการฉายภาพลายกราฟิคสีขาวสลับน้ำเงิน หอยเชลล์ฮอกไกโดคาร์ปาชิโอสดๆบนฝาหอย ตัวใหญ่ สดมาก เนื้อแน่นนุ่ม หวาน หมักหัวไชเท้า เสิร์ฟพร้อมกับ ซอสพอนซึ, มะนาวคาเวียร์ และออกซาลิส ที่ให้รสเปรี้ยว และเค็มปลาย ทำให้เป็นจานที่มีรสโดดขึ้นลงกระตุ้นน้ำย่อย ต่อมรับรส พอน้ำลายสอ อร่อยลงตัว…

Read More

Mocha & Muffins : New look วันนี้ทาง Kinlakestars ขอพักเบรกจากอาหารมื้อหนัก หรือ บุฟเฟ่ต์ พาทุกท่านมาพบกับร้านเบเกอรี่ในตำนาน ของเมืองไทย Mocha & Muffins ที่เพิ่งเปิดตัวโฉมใหม่ อันน่าประทับใจ Mocha & Muffin @ Anantara Siam ร้าน Mocha and Muffins เป็นร้านเบเกอรี่หลักประจำโรงแรมอนันตรา สยาม ตั้งอยู่ที่ชั้นล็อบบี้ ซึ่งมีชื่อเสียงและ เป็นที่รู้จักกันดีในด้านของความอร่อย ด้วยสูตรขนมอันเป็นตำนานสืบต่อกันมาของร้าน และคุณภาพระดับพรีเมียมในวัตถุดิบ โฉมใหม่ของร้านได้ถูกปรับให้นั่งสบายมากขึ้นด้วยเน้นโทนสีเหลืองส้มอันอบอุ่น ช่วยเสริมบรรยากาศร้านขนมอบ พร้อมเครื่องประดับร้านและโซฟา สไตล์โฮมมี่ จัดวางไว้ให้มีหลากหลายมุมทั้งโต๊ะใหญ่ โซฟาให้เลือกนั่งตามสบาย ตำแหน่งของกระจกซึ่งกำหนดแสงสว่างของร้านถูกคิดไว้อย่างดี ได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติอย่างเพียงพอโดยที่ไม่ร้อน ทำให้นอกจากจะถ่ายรูปสวยแล้ว ยังสามารถพักผ่อนนั่งอ่านหนังสือได้ และนอกจากนี้ทางร้านยังจัดปลั๊กไฟไว้ให้ ครอบคลุมเกือบทุกตำแหน่งที่นั่ง อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถนำงานเล็กๆน้อยๆมาทำสบายๆได้อีกด้วย ระหว่างเพลิดเพลินกับการรับประทานอาหาร จะเห็นว่าแค่ปลั๊กไฟ ทางร้านก็เตรียมพร้อมให้ลูกค้าอย่างครบครัน ทั้งหัวเสียบสายชาร์จแบบ USB หรือ สามตาสองตา หัวกลม หัวแบน นอกจากนี้ด้านหน้าร้านยังมีมุมขายขนมอร่อยๆดังๆจากที่อื่นอีกด้วย เมนูของร้านจะเน้นอาหารที่รับประทานได้ง่ายๆ เช่น ซุป สลัด แซนด์วิช และที่พลาดไม่ได้คือ โรลไส้กรอก sausages roll ในตำนาน นอกจากนี้ยังมีเมนูใหม่ที่เพิ่มเข้ามาหลังปรับโฉมคือ คิช (Quiches) ซึ่งจะเสิร์ฟพร้อมสลัดผัก เครื่องดื่มก็มีทั้งชา กาแฟ สมูทตี้ เบียร์ และไวน์ ให้เพลินเพลินได้ตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ หนึ่งในสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่นั้นคือ salad bar ซึ่งลูกค้าสามารถสร้างสลัดของตัวเองได้ด้วยการเลือกได้ว่าในจานจะใส่อะไรบ้างใส่น้ำสลัดอะไร นอกจากจะสนุกแล้วยังได้รสชาติที่ใช่ของที่ชอบ จานเดียวในโลกเลยทีเดียว เมนูอาหารแนะนำ ซุปเห็ด (Soup of the day – 170 บาท) วันนี้ซุปประจำวันคือ ซุปครีมเห็ด ซึ่งสร้างความประทับใจตั้งแต่ display และ presentation…

Read More

วันนี้ Kinlakestars.com จะพาทุกท่านไปพบกับ New Menu ณ Attico, Raddison Blu ซึ่งเป็นแบบ Shared table style ขนาดแต่ละจานเหมาะสมอย่างยิ่งกับการเอามาแบ่งกันรับประทาน หรือใครที่มากันสองคนก็สามารถบอกพนักงานว่าให้จัดแบ่งเป็นสองจานมาได้ โดยจะได้ขนาดจานที่กินได้พอดีต่อท่าน และสวยงามดูเหมือนอาหารที่กินเป็นคอร์สเมนู เชฟ Danilo Aiassa เชฟชาวอิตาลีที่มากประสบการณ์ เคยเป็นเชฟร้านอาหารและโรงแรมชื่อดังเช่น Four Seasons Bangkok และ Ciao italian restaurant ของโรงแรม Mandarin Oriental มาแล้ว ซึ่งเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของนักชิมหลายๆท่าน บรรยากาศสไตลด์ทัสคาเนียนแท้ ในส่วนของร้าน การตกแต่งเป็นสไตล์ทัสคานี ร้านจะสูง โปร่ง หน้าต่างบานใหญ่ สูง แบบ Floor to ceiling ทางเข้าประดับด้วยถังไม้โอ๊ค การตกแต่งโดยใช้โทนสีเอิร์ทโทน ไม้ ถังไวน์ และ ขวดไวน์ รวมทั้งภาพวาดธรรมชาติที่แขวนบนกำแพง พร้อมไฟสีเหลืองนวล ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมือนอยู่บ้านชนบทในแคว้นทัสคานี นอกจากนี้ยังมีห้อง Private ด้านในสุดของห้องอาหาร สามารถจัดงานเลี้ยง งานปาร์ตี้ส่วนตัวได้ ทางด้านนอกก็ยังสามารถพักผ่อนแบบมีสไตล์ได้ที่นอกระเบียงทั้งสองด้านของห้องอาหารแอตติโก้ เป็นมุมในกทม. ที่เห็นพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงาม อาหารอิตาลีชั้นเยี่ยม อาหารที่นี่เป็นอาหารอิตาเลียนแบบดั้งเดิม รังสรรค์เมนูโดยเชฟ Danilo Aiassa เป็นเชฟอิตาเลี่ยน เชฟจะเน้นเรื่องวัตถุดิบ ที่พิถีพิถันในการคัดสรร เช่น เนื้อนำเข้าจากออสเตรเลียและอิตาลี อาหารทะเลนำเข้าจากฝรั่งเศส ชีสนำเข้านานาชนิดแล้ว ยังมีพาสต้า น๊อคกี้แบบโฮมเมด ผักสลัดคุณภาพเยี่ยม ขนมปังอบโฮมเมด และโคลด์ คัท ที่มีให้เลือกมากกว่า 10 ชนิด อาหารที่นี่ Portion ไม่เล็ก สามารถแชร์กินกันได้ ตามสไตล์คนเอเชียครับ ร้านอาหารแอตติโก้ยังมีเมนูพิเศษที่ผลัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาล (Seasonal) ของประเทศอิตาลี และไวน์นำเข้าชั้นดีจากอิตาลีไว้บริการอีกด้วย เริ่มต้นมื้ออาหารกันด้วยขนมปังกัน สำหรับขนมปังที่นี่มีอย่างหลากหลายรูปแบบให้แขกได้เลือกสรรค์ และมีเนยให้เลือกถึง 3 ชนิด ได้แก่ เนย…

Read More

ในไลฟ์สไตล์คนเมืองปัจจุบัน ที่มีทั้งความเร่งรีบ ความเครียดสะสมต่างๆ รวมถึง การเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดสรีระ ล้วนแต่ส่งผลให้ทำให้เรามีความไม่สบายตัว มีอาการปวดเนื้อปวดตัว ทำให้ในบางครั้ง เราก็อยากที่จะหาที่ผ่อนคลาย ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว และพร้อมที่จะกลับมาใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์แบบที่เราต้องการ อย่างเต็มศักยภาพ วันนี้ทาง kinlakestars.com ขอเสนอรีวิวการนวดสปาที่ ซีซั่นสปา ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพ บนถนนวิทยุ ในสปามีบรรยากาศผ่อนคลายในแบบรีสอร์ท ที่ออกแบบมาให้มีความผ่อนคลาย แต่ยังมีความหรูหรา และ ประณีต ซีซั่นส์ สปา Season Spa -โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ โอเอซิสแห่งการเยียวยากายและใจ ที่เข้าถึงศาสตร์การนวดและหัตถการเข้าไว้ด้วยกันฉบับผสมผสานไทยและต่างชาติท่านจะได้รับการปรนนิบัติจากผู้เชี่ยวชาญตามโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาตามหลักวิทยาศาสตร์ ภายในบรรยากาศผ่อนคลายสไตล์รีสอร์ทที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติเขียวขจีผนวกความหรูหราและความประณีตเพื่อให้ท่านเข้าถึงบรรยากาศการผ่อนคลายอย่างแท้จริง ณ ชั้น 7 โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ The Essence ซีซั่นส์ สปาแห่งนี้ ตระหนักดีว่าความสมดุลทางใจมีความสำคัญเฉกเช่นความสมดุลทางกาย ซึ่งมาพร้อมกับความสัมพันธ์ของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซิกเนเจอร์ทรีทเม้นต์ของเราจะช่วยให้คุณเข้าถึงความสุขที่ยั่งยืนผ่านศาสตร์การนวดและหัตถการของเราโดยแบ่งตามกลุ่มของเคมีในสมองได้ดังนี้ เซโรโทนิน (serotonin) การนวดผสมผสานทรีทเม้นต์ที่ช่วยปลดล็อคความไม่สบายกายและความกังวลใจ ที่ช่วยปลอบประโลมจิตให้เดินทางสอดคล้องกับความสงบในจิตใจ ให้คุณได้สมดุลในการใช้ชีวิตกลับคืนมา โดปามีน (dopamine) ให้รางวัลตัวเองด้วยการปรนนิบัติกายใจของคุณ ด้วยการนวดและหัตถการที่ช่วยปลุกประสาทสัมผัส กระตุ้นให้ร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่าผ่านทางร่างกายเข้าสู่จิตใจเพื่อผลลัพท์ที่ดีจากภายใน และเสริมสร้างความรักที่มีให้กับตัวเอง เอนโดรฟิน(endorphins) นวดและหัตถการที่เน้นลงน้ำหนักกระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุขเพื่อลดความเจ็บปวดเมื่อยล้าตามวิถีธรรมชาติ คืนความแข็งแรงให้สุขภาพใจ เพิ่มอำนาจในการเข้าถึงความสุขสมดุลทางใจและกายอย่างแท้จริง The Place ห้องทรีทเม้นต์และหัตถการ –ทั้ง 11 ห้องถูกดีไซน์ให้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไทย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ห้องบุษยมาศ ห้องเตียงคู่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ระดับเพรสสิเดนเชียล สปา สวีท ติดตั้งด้วยอ่างจากุซชี่ตรงกลางห้อง ข้างอ่างทั้งสองจะเป็นเตียงสำหรับทำการนวด ห้องอาบน้ำ ห้องสตรีม และห้องแต่งตัว ห้องลินจง ห้องเตียงคู่ ติดตั้งด้วยอ่างอาบน้ำแบบญี่ปุ่น (Sunken Bath Tub) ห้องอาบน้ำ ห้องสตรีม และห้องแต่งตัว โดยห้องนี้แม้ขนาดไม่ใหญ่เท่าห้องก่อนหน้านี้ แต่ก็มีสเน่ห์ในตัวจากอ่างไม้ใบโต กลิ่นหอม สไตล์ญี่ปุ่น พร้อมห้องทรีทเม้นต์มาตรฐาน 4 ห้อง ห้องนวดไทย 2 ห้อง และ ห้องเตียงคู่ 3…

Read More