“ข้าวแช่เจ้าพระยา” สำรับฤดูร้อนที่สะท้อนชีวิตริมน้ำ อย่างวิจิตรและละเมียดละไม ห้องอาหารไทยดั้งเดิมริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ ยังคงยืนหยัดในฐานะจุดหมายปลายทางของผู้หลงใหลรสมือชาววังและเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง ปีนี้ เพื่อเฉลิมฉลองการมาถึงของฤดูร้อนอย่างสง่างาม ทางห้องอาหารได้เชิญชวนทุกท่านร่วมสัมผัสประสบการณ์ “ข้าวแช่เจ้าพระยา” สำรับอาหารชาววังระดับพรีเมียมที่ถูกบรรจงรังสรรค์ขึ้นใหม่ในรูปแบบที่ทั้งสง่างามและเปี่ยมด้วยความหมาย ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2568 นี้ แขกผู้มาเยือนจะได้ลิ้มลองข้าวแช่หอมเย็นชื่นใจ เสิร์ฟคู่เครื่องเคียงโบราณมากกว่า 20 ชนิด ทุกรายการล้วนผ่านการคัดสรรวัตถุดิบชั้นเยี่ยม และกรรมวิธีอันพิถีพิถันไม่ต่างจากตำรับในราชสำนักโบราณ ไม่ว่าจะเป็นลูกกะปิทอด หอมแดงยัดไส้ ปลาช่อนแห้งฝอย หรือไชโป๊วหวาน ซึ่งแต่ละชนิดล้วนมีการเตรียมอย่างประณีตหลายขั้นตอน เพื่อให้ได้ทั้งรสชาติ ลักษณะเนื้อสัมผัส และกลิ่นหอมสมบูรณ์แบบ ที่โดดเด่นเป็นพิเศษ คือการจัดวางสำรับอาหารที่ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการเสิร์ฟ หากแต่เป็นการเล่าเรื่องราวผ่าน “ตู้กับข้าว” และ “เรือไม้” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์วิถีชีวิตไทยริมน้ำในอดีต ทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ภาชนะไม้สลักลวดลาย ไปจนถึงการเลือกใช้เครื่องถ้วยเบญจรงค์และผ้ารองสำรับลายไทยโบราณ ล้วนสะท้อนความตั้งใจในการสืบทอดมรดกวัฒนธรรมด้วยหัวใจอันลึกซึ้ง “ข้าวแช่เจ้าพระยา” ชุดนี้ จึงมิใช่เพียงอาหาร หากเป็นงานศิลปะที่เชื้อเชิญให้ผู้ลิ้มลองได้ดื่มด่ำกับรสสัมผัสเย็นฉ่ำ เคล้าเสียงสายน้ำเจ้าพระยา และย้อนเวลาสัมผัสชีวิตเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยรสนิยมของชาวสยามในอดีตได้อย่างเต็มเปี่ยม ฤดูร้อนปีนี้ หากปรารถนาจะมองหาอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ทั้งปลุกเร้าทุกประสาทสัมผัส และมอบความสุขใจอย่างลึกซึ้ง “ข้าวแช่เจ้าพระยา” จากห้องอาหารริมเจ้าพระยาแห่งนี้ คือหนึ่งในสำรับที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เปิดสำรับด้วยของว่างโบราณ ม้าฮ่อในแสงเงาร่วมสมัย: เมื่อวรรณศิลป์แห่งรสชาติคืนชีวิตบนจาน หากอาหารคือภาษาหนึ่งของวัฒนธรรม ม้าฮ่อคงเปรียบได้กับกลอนบทหนึ่งของชาววัง ที่มิได้เพียงให้ความอิ่มเอมแก่ร่างกาย หากแต่กระตุ้นต่อมความทรงจำ ความละเมียดละไม และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับแผ่นดิน—ผ่านรสชาติที่ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายด้วยคำสามัญธรรมดา ม้าฮ่อเบื้องหน้านี้ จึงมิใช่เพียงภาพถ่ายอาหาร หากเป็นร่องรอยของวาทกรรมร่วมสมัยที่เชฟผู้รังสรรค์จงใจสนทนากับอดีต กล่าวกับมรดกแห่งครัวไทยด้วยความเคารพ พร้อมทั้งกล้าหาญพอจะก้าวข้ามแบบแผนเดิมอย่างสุขุมรอบคอบ ตัวผลไม้ สับปะรดฝานเป็นวงหนา ไม่ได้ถูกเลือกเพียงเพื่อความเปรี้ยวหวานหอมฉ่ำ หากยังเป็นผืนผ้าใบที่เปิดพื้นที่ให้กลิ่นไหม้อ่อนจากเตาย่างกลั่นกลิ่นควันไม้ให้กึกก้องอยู่เงียบ ๆ ใต้ผิวทองกรอบ เปรียบประหนึ่งบทนำที่เงียบงันแต่หนักแน่น ก่อนจะเปิดทางให้เครื่องไส้ด้านบนทำหน้าที่เป็นใจความ ไส้ม้าฮ่อสูตรดั้งเดิมมักประกอบด้วยกุ้ง หมู และเครื่องเทศผัดจนเหนียวข้น กลมกล่อม แต่ในจานนี้ สิ่งที่เชฟนำเสนอคือการลดทอนโปรตีนจากสัตว์ลงอย่างกล้าหาญ และแทนที่ด้วยถั่วลิสงคั่วบดผัดรสเข้มข้น ผสานกลิ่นหอมของรากผักชี กระเทียม พริกไทย และน้ำตาลมะพร้าวละลาย รสสัมผัสเหนียวแน่นนั้นยังอยู่ แต่ความหมายกลับแปรเปลี่ยน กลายเป็น “ความกรุณา” ที่เสิร์ฟคู่กับรสชาติ องค์ประกอบตกแต่ง เม็ดทับทิมแดงระยับ วอลนัตอบหอม พริกจินดาซอยบาง และชิ้นมะนาวที่สลักเสลาให้คล้ายหยาดฝน ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับ หากคือบทสร้อยท้ายของบทกลอน เป็น “เสียงสะท้อน” จากองค์ประกอบหลักที่ช่วยเสริมความสมบูรณ์ทั้งรสชาติและทัศนียภาพ เป็นภาพแห่งความอ่อนโยนที่แทรกอยู่ในรสเผ็ดเปรี้ยว เป็นดุลยภาพของความขัดแย้งที่พอดี…
Author: Kittin Assavavichai
สัมผัสช่วงเวลาแห่งความงดงามของฤดูกาลใบไม้ผลิ กับ “Sense of Sakura Afternoon Tea” ณ ห้องอาหารอัพ แอนด์ อะบัฟ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ ด้วยรสชาติอันอ่อนหวานที่ผสานกันอย่างลงตัวราวกับบทเพลงที่ขับขานถึงฤดูใบไม้ผลิ ลองจิตนาการถึงช่วงบ่ายที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมละมุนของดอกซากุระที่บานสะพรั่งและพาคุณเดินทางค้นพบศิลปะญี่ปุ่นอันประณีต พร้อมให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป ราคา 2,200++ บาท ต่อเซต สำหรับ 2 ท่าน ขอเชิญทุกท่านสัมผัสประสบการณ์ของศิลปะของขนมหวานอันละเมียดละไมตามแบบฉบับญี่ปุ่นผสมผสานความหรูหรา ของการจิบน้ำชายามบ่ายแบบอังกฤษได้อย่างลงตัว ให้ “Sense of Sakura Afternoon Tea” ส่งมอบช่วงเวลาอันแสนพิเศษ ที่เต็มไปด้วยความพิถีพิถันและมนต์เสน่ห์ของฤดูใบไม้ผลิ ชุดน้ำชายามบ่ายฤดูกาลนี้ได้รับการรังสรรค์อย่างประณีตบรรจง ทุกองค์ประกอบล้วนบ่งบอกถึงเรื่องราวของฤดูใบไม้ผลิอันสดใสให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์กับวัตถุดิบชั้นเลิศจากประเทศญี่ปุ่นคัดสรรให้เข้ากันกับศิลปะการทำอาหารร่วมสมัยอย่างลงตัว ทำให้คุณได้ดื่มด่ำกับความสดชื่นและรสชาติของฤดูใบไม้ผลิในทุกคำ เริ่มต้นด้วยความสดชื่นด้วย ‘Watermelon with Wild Hokkaido Smoked Salmon and Yuzu’ แตงโมกับแซลมอนรมควันจากฮอกไกโดและยูซุ ต่อด้วยความหวานละมุนที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว กับ ‘Beetroot and Cheese Mousse Tartlets’ ทาร์ตบีทรูทและมูสชีส สัมผัสความกลมกล่อมอันเป็นเอกลักษณ์กับ ‘Chor-Phraka-Krong’ ช่อผกากรองใส่ไก่และหัวไชเท้า ปิดท้ายด้วยความกรุบกรอบของ ‘Cheese Croquettes’ ชีสโครเกต์เสิร์ฟมาพร้อมซอสเมนไทโกะและมายองเนส สัมผัสประสบการณ์เลิศรสของฤดูใบไม้ผลิกับขนมหวานอันแสนละมุน อาทิ ‘Koji Amazake’ ถั่วแดงญี่ปุ่นสายพันธ์อะซูกิและโมนากะ (Monaka) หรือเวเฟอร์ญี่ปุ่น ‘Sakura Genmaicha’ พุดดิ้งฮอกไกโดเนื้อนุ่ม ‘Strawberry Sakura Marble Cake’ เค้กสตรอว์เบอร์รีซากุระ ‘White Sakura Lychee Tartlet’ ทาร์ตลิ้นจี่ซากุระขาวแสนสดชื่น ‘Strawberry and Sakura Cream Roll’ และ ‘Sakura Macaron’ มอบช่วงเวลาแห่งความสุขหวานละมุนกับ ‘Crunchy Raspberry Sable’…
ข้าวแช่ อาหารที่มาคู่กับฤดูร้อน อันเป็นที่ได้รับความนิยมยิ่ง ให้ทั้งความดับร้อน สดชื่น และเป็นของเฉพาะฤดู แน่นอนว่าทั้งรส ทั้งกลิ่นที่หอมสดชื่น และขั้นตอนการทำที่ยากและสลับซับซ้อน อีกทั้งการเตรียมเครื่องที่วุ่นวายอยู่พอควรจึงทำให้เป็นอาหารที่ไม่ได้มีขายในทุกที่และในครั้งนี้ KinAndLeisure จึงขอแนะนำข้าวแช่เด็ดจากทั่วกรุงฯ แน่นอนครับ นี่คือลีลาการเขียนใหม่ในรูปแบบที่ภาษางดงามละเมียดละไม แฝงด้วยกลิ่นอายของนักกวีและบรรยากาศเชิงวรรณศิลป์: ดั้งเดิมนั้น จากถ้อยคำที่เล่าขานกันมาดุจตำนานในม่านหมอกกาลเวลา ว่ากันว่า กษัตริย์มอญผู้ยังไร้โอรสธิดาไว้สืบสายบัลลังก์ ได้ตั้งจิตอธิษฐานบนบานศาลกล่าวต่อเทวสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งด้วยใจแน่วแน่ ครั้นเมื่อคำขอสัมฤทธิ์ผล ก็ทรงจัดเครื่องบวงสรวงถวายแด่เทวา ด้วยซาบซึ้งในพรที่ได้รับ เครื่องเซ่นเหล่านั้นได้แก่ หมูเส้น ลูกกะปิ หอมยัดไส้ และไชโป๊วหวานซึ่งล้วนเป็นของหายากที่เก็บรักษาได้นาน อบอวลด้วยภูมิปัญญาในการถนอมอาหาร—ใส่ไว้ในไหดินเผาเพื่อยืดวันเก็บมิให้เน่าเสีย กาลผ่านไปจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ชาวมอญจึงถือข้าวแช่เป็นภัตตาหารศักดิ์สิทธิ์ สำหรับสังเวยเทวดาในช่วงเทศกาลตรุษสงกรานต์และด้วยความละเมียดละไมในรสและรูป ความเย็นชื่นใจดั่งสายน้ำเย็นในฤดูร้อน—ข้าวแช่จึงค่อยๆ เผยแผ่เข้าสู่แผ่นดินไทย นานเนิ่นจนกลายเป็นหนึ่งในมรดกแห่งสำรับไทยดังปรากฏหลักฐานในกลอนเก่าแก่ของ “สุนทรภู่” กวีเอกแห่งรัตนโกสินทร์ต้นกรุงซึ่งได้กล่าวถึงข้าวแช่ไว้ในบท “รำพันพิลาป” ไว้อย่างอ่อนหวานว่า: ฤดูร้อน ก่อนเก่า ทำข้าวแช่น่าชมแต่ เครื่องกับ สำรับฉันช่างทำเป็น ดอกจอก และดอกจันทร์งามจนชั้น กระชายทำ เหมือนจำปา มะม่วงดิบ หยิบดู จึ่งรู้จักช่างน่ารัก ทำเป็น เช่นมัจฉา สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ข้าวแช่ไม่เพียงเป็นอาหาร หากแต่เป็นงานศิลป์แห่งครัวเรือนเมื่อเข้าสู่ราชสำนักไทย จึงถูกถ่ายทอดผ่านตำหนักต่างๆ พร้อมการแต่งแต้มรสชาติและการจัดสำรับอันวิจิตร บรรจงงดงามดังจิตรกรรมบนภาชนะ จากของเซ่นไหว้ กลายเป็นสำรับแห่งฤดูร้อนจากวัฒนธรรมมอญ สู่ห้องครัวไทยข้าวแช่จึงไม่เคยเป็นเพียงอาหารแต่คือบทกวีที่กินได้ของฤดูกาล 1. ข้าวแช่เจ้าพระยา ณ Siam Tearoom Asiatique เสน่ห์ตำรับชาววังกว่า 24 ไอเทมในบรรยากาศริมน้ำสุดละเมียด “ข้าวแช่เจ้าพระยา” สำรับฤดูร้อนที่สะท้อนชีวิตริมน้ำ อย่างวิจิตรและละเมียดละไม ห้องอาหารไทยดั้งเดิมริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ ยังคงยืนหยัดในฐานะจุดหมายปลายทางของผู้หลงใหลรสมือชาววังและเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง ปีนี้ เพื่อเฉลิมฉลองการมาถึงของฤดูร้อนอย่างสง่างาม ทางห้องอาหารได้เชิญชวนทุกท่านร่วมสัมผัสประสบการณ์ “ข้าวแช่เจ้าพระยา” สำรับอาหารชาววังระดับพรีเมียมที่ถูกบรรจงรังสรรค์ขึ้นใหม่ในรูปแบบที่ทั้งสง่างามและเปี่ยมด้วยความหมาย ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2568 นี้ แขกผู้มาเยือนจะได้ลิ้มลองข้าวแช่หอมเย็นชื่นใจ เสิร์ฟคู่เครื่องเคียงโบราณมากกว่า 20 ชนิด ทุกรายการล้วนผ่านการคัดสรรวัตถุดิบชั้นเยี่ยม และกรรมวิธีอันพิถีพิถันไม่ต่างจากตำรับในราชสำนักโบราณ <คลิกที่นี่เพื่ออ่านต่อ> 2. ข้าวแช่ “วังเดิม” ผสานกลิ่นอายอีสาน ประจำปี 2568 จากร้านแก่นกรุง Kaenkrung :…
เมื่อสายลมร้อนต้นฤดูมกราบลงผ่านหลังคาเรือนไทย คือสัญญาณแห่งวาระประจำปีที่ผู้หลงใหลในครัวไทยโบราณเฝ้ารอ — การกลับมาของ “ข้าวแช่ วังเดิม” จากร้านแก่นกรุง หนึ่งในสำรับข้าวแช่ร่วมสมัยที่คงหัวใจดั้งเดิมไว้อย่างน่าชื่นชม พร้อมทั้งแฝงด้วยชั้นเชิงแห่งการรังสรรค์อาหารที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ปีนี้ ร้านแก่นกรุงเปิดสำรับข้าวแช่ตรงฤดูกาล ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึง 17 พฤษภาคม 2568 โดยยังยึดครรลองของข้าวแช่ชาววังตำรับวังเดิมไว้อย่างมั่นคง แต่เพิ่มลูกเล่นรสชาติด้วยการแทรกกลิ่นอายของรสมอญผ่านเมนูใหม่ “ยำมะม่วงเบา” และของหวานที่ชวนให้หัวใจหวานซ่านอย่าง “เค้กส้มฉุนมะยงชิด” เรียกได้ว่าทุกองค์ประกอบในสำรับนี้คือความประณีตแห่งฤดูร้อนที่แฝงไว้ซึ่งวัฒนธรรม ความตั้งใจ และศิลป์แห่งการปรุงอาหารไทย ข้าวแช่: เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ข้าวหอมที่เลือกใช้คือข้าวจากแหล่งปลูกชั้นดีในภาคอีสาน ผ่านการขัดสีอย่างพอเหมาะจนได้เมล็ดขาวใส มีความเรียวงาม เมื่อนำมาหุงด้วยน้ำสะอาดแล้วพักจนเย็น จึงนำไปแช่ในน้ำลอยดอกไม้ไทยสูตรพิเศษของทางร้าน น้ำลอยดอกไม้ประกอบด้วยดอกมะลิ ดอกชมนาด และกุหลาบมอญไทย ปรุงผ่านกรรมวิธีอบควันเทียนด้วยเทียนอบสูตรดั้งเดิม ใช้เวลาอบหลายชั่วโมงเพื่อให้กลิ่นหอมแทรกซึมเข้ากับน้ำ โดยยังคงความใสบริสุทธิ์ของน้ำไว้ได้อย่างน่าชื่นชม เมื่อเสิร์ฟเย็นจัดในภาชนะเซรามิกเย็นยะเยือก พร้อมน้ำแข็งหลอดใสขนาดเล็ก คำแรกที่ได้ลิ้มรสคือความเย็นสดชื่นที่มาพร้อมกลิ่นหอมละมุนเหนือคำบรรยาย เครื่องเคียง 9 อย่าง: ชั้นเชิงแห่งการปรุงและความหลากหลายของรสสัมผัส พริกหยวกยัดไส้หมูกุ้งห่อไข่พริกหยวกขนาดพอเหมาะ นำมาเจาะไส้และยัดด้วยหมูบดผสมเนื้อกุ้งสับละเอียด ปรุงรสด้วยสามเกลอ (รากผักชี กระเทียม พริกไทย) แล้วนำไปนึ่งจนสุก ก่อนห่อด้วยแพไข่บางเฉียบ ทอดอีกครั้งให้ไข่ตึงผิว รสสัมผัสเนียนนุ่มแต่มีความหนึบของไส้ แทรกด้วยกลิ่นหอมของไข่ที่ทอดจนเกรียมบาง ๆ พริกแห้งยัดไส้ทอดพริกแห้งเม็ดใหญ่ผ่านการแช่น้ำให้เนื้อนุ่ม จากนั้นนำมายัดด้วยไส้หมูบดผสมปลาเค็ม ปรุงรสจัดแบบครัวหลวง นำไปทอดจนผิวนอกแห้งตึง ได้สัมผัสกรอบนอก นุ่มใน และรสเค็มเผ็ดมันอย่างละเมียด ปลายี่สนกวนปลายี่สนแห้งคุณภาพดีนำมาย่างด้วยไฟอ่อน แล้วแกะเนื้อออกโขลกละเอียด ผัดกับหัวกะทิจนหอมมัน แล้วค่อย ๆ เติมน้ำตาลมะพร้าวจากเพชรบุรี เพื่อให้เนื้อปลาแน่นขึ้นและได้รสหวานเค็มละมุน กินแล้วให้สัมผัสคล้ายเส้นไหมขึงแน่นในปาก เคี้ยวเพลินไม่รู้จบ หอมแดงทอดสอดไส้ไก่หอมแดงหัวใหญ่คว้านไส้ออกจนได้โพรง แล้วนำเนื้อไก่บดหมักสมุนไพรยัดลงไป ชุบแป้งบาง ๆ แล้วทอดจนกรอบนอกแต่ยังชุ่มใน กลิ่นหอมของหอมแดงเมื่อถูกทอดเผยออกมาอย่างชัดเจน ประสานกับรสเนื้อไก่นุ่มแน่นกำลังดี ลูกกะปิใช้กะปิอย่างดีจากชุมชนตำบลบ้านเพ จ.ระยอง นำมายีกับเนื้อปลาช่อนนา ตะไคร้ หอมแดง กระชาย ข่า พริกแห้ง และหัวกะทิ ตั้งกระทะทองเหลืองผัดจนหอม ก่อนปั้นเป็นก้อนกลม แล้วชุบไข่ทอดจนสีทอง รสเข้ม กลิ่นหอมแรงตามแบบฉบับกะปิคุณภาพ ลูกไข่แดงเค็มไข่แดงเค็มจากเป็ดเลี้ยงธรรมชาติในลุ่มน้ำปากพนัง ปั้นเป็นลูกขนาดพอคำแล้วนำไปนึ่งให้ไข่มันเยิ้มแต่ยังอยู่ทรง รสเค็มมัน ตัดเลี่ยนได้ดีในทุกคำ เห็ดกรอบหอมแดงเจียวเห็ดฟางสดแล่บาง…
ข้าวแช่บันยันทรี – สุนทรียรสแห่งฤดูร้อน บนความสูงเสียดฟ้า ชั้น 52 ใจกลางกรุงเทพฯ Story : Pitsinee A. / Photo : Pol.Capt. Kittin A เมื่อฤดูร้อนมาเยือน การได้ลิ้มรสข้าวแช่เย็นชื่นใจตำรับชาววัง คือความสุขสงบอย่างหนึ่งของชีวิต แต่หากจะมีที่ใดสามารถยกระดับประสบการณ์นี้ให้พิเศษยิ่งกว่าที่เคย คงต้องยกให้กับ “ห้องอาหารแซฟฟรอน” โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ – สถานที่ซึ่งเสิร์ฟข้าวแช่ สูงที่สุดในกรุงเทพฯ บนชั้น 52 ท่ามกลางทัศนียภาพของเมืองที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา ระหว่างที่จิบชาดอกไม้เย็น ๆ มองทอดสายตาไปยังโค้งน้ำเจ้าพระยาและตึกระฟ้าเมืองหลวง ความรู้สึกในใจจะเริ่มสงบลงทีละน้อย เหมือนถูกเชื้อเชิญเข้าสู่พิธีกรรมแห่งวัฒนธรรมและความละเมียดละไมของครัวไทยโบราณ ที่นำเสนอผ่านเมนูข้าวแช่ในแบบที่งดงามที่สุดเท่าที่ใจจะจินตนาการ ข้าวในน้ำอบ – กลิ่นหอมที่ลอยอยู่เหนือความวุ่นวาย เริ่มต้นด้วยข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งผ่านการขัดละเอียดกว่า 20 รอบจนได้เมล็ดเรียวงาม นุ่มแต่ไม่เละ หุงอย่างประณีตแล้วนำมาแช่ในน้ำอบควันเทียนลอยดอกมะลิ ชมนาด และกุหลาบหอม สายลมเย็นเบา ๆ จากระเบียงกระจกเบื้องข้าง ทำให้ทุกคำของข้าวแช่เย็นยิ่งมีมิติของกลิ่นและอารมณ์ที่พิเศษไม่ซ้ำใคร เครื่องเคียง 7 ชนิด – อัศจรรย์แห่งรสและศิลป์ชั้นครู การเสิร์ฟข้าวแช่ที่นี่มิใช่เพียงอาหารหนึ่งจาน แต่เป็นการแสดงฝีมือของครัวไทยชั้นสูง ผ่านเครื่องเคียงตำรับชาววังที่บรรจงจัดเรียงในจานพอร์ซเลนอย่างงดงาม: ลูกกะปิทอด – ผสมกะปิดีจากระยองกับเนื้อปู กระชาย ตะไคร้ พริกแห้ง และปลาช่อน ก่อนนำไปผัดจนหอมละมุน คลุกไข่แล้วทอดจนเหลืองทอง กลิ่นหอมกำลังดี ไม่เค็มจัด รสละเมียดละไม หอมแดงยัดไส้เนื้อปู – คว้านหอมแดงยัดเนื้อปูปรุงสามเกลอ ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน ให้รสหวานเค็มกลมกล่อม เคี้ยวแล้วมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว พริกหยวกยัดไส้กุ้ง – ใชเดนื้แกุ้งล้วนไม่เหมือนใคร ปรุงด้วยสามเกลอ และนึ่งจนเนื้อนุ่ม ก่อนคลุมด้วยแพไข่บางเบา รสชาติชัดแต่ไม่รุกเร้า เป็นคำที่ลงตัวทั้งรสและสัมผัส ไชโป๊วผัดหวาน – ใช้น้ำตาลทรายแดงผัดจนกรุบ หนึบ หวาน เงาวาวโดยไม่ใส่ซีอิ๊ว โรยหอมเจียวกรอบด้านบน เพิ่มมิติทั้งกลิ่นและรส ปลายี่สนผัดหวาน – ปลายี่สนย่างโขลกละเอียดผัดกับหัวกะทิและน้ำตาลมะพร้าวจนได้กลิ่นหอมเค็มหวาน เป็นเครื่องเคียงที่ละเมียดจนอยากวางช้อนช้า ๆ หมูฝอย…
ห้องอาหารเดอะ สยาม ที รูมท์ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ห้องอาหารไทยดั้งเดิมริมแม่น้ำเจ้าพระยา เชิญชวนทุกท่านต้อนรับฤดูร้อนด้วย “ข้าวแช่เจ้าพระยา” อาหารชาววังรสเลิศ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงตำรับโบราณสุดประณีต ให้บริการตลอดเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2568 ปีนี้ ข้าวแช่เจ้าพระยา นำเสนอสำรับสุดพรีเมียมที่สะท้อนมรดกแห่งวิถีชีวิตริมน้ำ ด้วยเครื่องเคียงกว่า 20 ชนิด คัดสรรจากวัตถุดิบชั้นเยี่ยม เสิร์ฟมาในสำรับที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ตู้กับข้าวและเรือไม้ อันเป็นเอกลักษณ์ เริ่มต้นมื้อพิเศษด้วยของว่างคลาสสิก เช่น ม้าฮ่อสับปะรดย่าง เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่ม ส้มฉุนลิ้นจี่ โรยหอมแดงทอด เพิ่มความสดชื่น ก่อนสัมผัสเมนูไฮไลท์ ข้าวแช่สองสี ทำจากข้าวสุรินทร์และข้าวอัญชัน เสิร์ฟในน้ำลอยดอกไม้หอมอบร่ำ ตามด้วยเครื่องเคียงตำรับชาววัง อาทิ พริกหยวกสอดไส้หมูกุ้ง หรือสไบแพร ที่ย่างหอมถ่าน ห่อด้วยไข่ฟู พริกแห้งบางช้างสอดไส้ปลาแซลมอนผัด ลูกกะปิปลาช่อนชุบทอด ทำจากกะปิคลองโคลนและปลาช่อนนา ปลายี่สนผัดหวานปั้นก้อน ปลาใบฉาบหวาน หอมน้ำตาลโตนด ปลาช่อนนาฉาบหวาน ม้าอ้วนหมูเนื้อปูก้อน หมูเปียปลากุเลา ยำมะม่วงแก้วขมิ้นเคล้ามะพร้าวคั่ว ไชโป๊ผัดหวาน ด้วยน้ำตาลโตนด ปอเปี๊ยะไส้ไชโป๊หวาน ตำรับราชสกุลวรวรรณหมูฝอยหวานหอมเจียว เนื้อฝอยหวานลูกผักชี อัญชันสอดไส้ไก่ หอมแดงสอดไส้ไก่ ไข่แดงเค็มชุบทอด กุ้งไม้ฉาบ ปลาหมึกวงฉาบเค็มพริกแห้ง แซลมอนผัดหวาน ตำรับเก่าของหม่อมหลวงเติบชุมสาย ผักสดแนบแกะลาย ปิดท้ายด้วยของหวานสุดพิเศษ มะม่วงแก้วขมิ้นเชอร์เบทน้ำปลาหวานกุ้งแห้ง ท็อปปิ้งด้วยมะม่วงหนึบ มอบรสสัมผัสที่สดชื่นลงตัว ดื่มด่ำกับรสชาติแห่งฤดูร้อนผ่านสำรับข้าวแช่สุดประณีต ที่รังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศ พร้อมเสิร์ฟในบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาอันเงียบสงบ ณ ห้องอาหาร เดอะ สยาม ที รูมท์ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เวลา 12:00 – 16:00 น. ราคา 999++ อีกทั้งยังสามารถสั่งกลับบ้านบรรจุในกระเป๋าสานสุดหรูในราคา 720++ สมาชิกแมริออท…
เทศกาลข้าวแช่ คลายร้อนต้อนรับปีใหม่ไทย ต้อนรับฤดูร้อนนี้ด้วย “ข้าวแช่” เมนูพิเศษสุดประณีต ต้นตำรับชาววัง ณ โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพ นำเสิร์ฟครบเครื่องทั้งสำรับคาวหวานให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินเพิ่มความสดชื่นต้อนรับเทศกาลปีใหม่ไทย ตั้งแต่วันที่ 5 – 30 เมษายน 2568 ห้องอาหารแซฟฟรอน และ ห้องอาหารร่มไทร ขอเชิญทุกท่านมาลิ้มลองเมนูข้าวแช่ อาหารไทยโบราณสูตรชาววังอันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในช่วงฤดูร้อน ปรุงรสอย่างพิถีพิถันโดยเชฟมากฝีมือผู้ใส่ใจในทุกขั้นตอนและการคัดสรรวัตถุดิบชั้นเลิศเพื่อส่งมอบความสุขต้อนรับปีใหม่ไทย สำรับพิเศษนี้ประกอบด้วย ข้าวแช่ในน้ำลอยดอกมะลิ ให้สัมผัสเย็นชื่นใจในทุกคำ รับประทานคู่กับเครื่องเคียงที่ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถัน อาทิ ลูกกะปิทอด สีทองสวย, หมูฝอย รสกลมกล่อม, ไชโป๊ผัดหวาน ปรุงรสอย่างลงตัว, หัวหอมยัดไส้ และ พริกหยวกยัดไส้ ที่ช่วยเสริมรสชาติให้ครบเครื่องในทุกสัมผัส เติมเต็มประสบการณ์อาหารชาววังพร้อมเสริมความเป็นสิริมงคลด้วยขนมไทยมงคล จ่ามงกุฎ เนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและโชคดี ตามด้วย ทับทิมกรอบน้ำกะทิ หวานละมุนและมอบความสดชื่นปิดท้ายมื้ออาหารสุดพิเศษ ร่วมสัมผัสมนต์เสน่ห์ของ “ข้าวแช่” ณ ห้องอาหารไทยแซฟฟรอน และ ร่มไทร พร้อมให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 5-30 เมษายน2568 เวลา 12.00 น. – 16.00 น. ในราคาชุดละ 750 บาทสุทธิหรือจะสั่งกลับบ้านในรูปแบบตะกร้าสานลายสวยงาม ราคาชุดละ 1,199 บาท ดาวน์โหลดรูปภาพได้ที่: บันยันทรี กรุงเทพ ข้าวแช่: บันยันทรี กรุงเทพ ข้าวแช่ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งได้ที่ +66 (0) 2679-1200 หรืออีเมล์ [email protected] Kin News Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ รูปและเนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของทาง Kinandleisure.com ไม่อนุญาตให้นำไปใช้จนกว่าจะได้รับการอนุญาตจากทางผู้บริหาร…
ห้องอาหารนิมิตร โรงแรม 137 พิลลาร์ สวีท แอนด์ เรสซิเด้นซ์ กรุงเทพฯ ร่วมกับ วานา บริววิ่ง นำเสนอ มื้ออาหารค่ำ 5 คอร์สจับคู่กับคราฟเบียร์ไทย 5 รสชาติ ที่เข้ากันอย่างลงตัว ในวันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน 2568 เวลา 19:00 น. – 22:00 น. รังสรรค์ประสบการณ์โดยทีมเชฟมากความสามารถ และผู้เชียวชาญด้านคราฟเบียร์ไทยระดับรางวัล ราคา 1,888++ บาทต่อท่าน สำหรับอาหารไทยรสชาติเข้มข้น 5 คอร์ส ที่รังสรรค์อย่างมีศิลปะ พร้อมร้อยเรียงรสชาติเข้ากับคราฟเบียร์ไทย 5 รสชาติ พร้อมรับที่รองแก้วเซรามิก “137 พิลลาร์ x วานา บริววิ่ง” ของที่ระลึกพิเศษสำหรับค่ำคืนนี้เท่านั้นเมี่ยงคำหอยเชลล์ – หอยเชลล์ย่างเสิร์ฟพร้อมสมุนไพรไทย มะพร้าวคั่ว และซอสรสกลมกล่อม บนใบชะพลูกรอบจับคู่กับ คริสปี้บอย เฮลส์ ลาร์เจอร์ด (Crispy Boy Helles Lager) ต้มกระดูกหมูอ่อนหน่อไม้ไผ่ตง – ซุปหน่อไม้ไผ่ตงกระดูกหมูอ่อนจับคู่กับ วาฬ เพล เอล (Whale Pale Ale) แกงเหลืองปลาแซลมอน – แกงเหลืองปลาแซลมอนท๊อปไข่ปลาแซลมอน จับคู่กับ วิฬาร์ ไวเซ่น (Wila Weizen) มัสมั่นแกะ – แกงมัสมั่นแกะเสิร์ฟพร้อมข้าวสวย จับคู่กับ ราเวน ไอพีเอ (Raven IPA) ขนมเปียกปูน – พุดดิ้งชาร์โคล เสิร์ฟพร้อมครีมกะทิ แปะก๊วย มะพร้าวขูดและมูสมะพร้าว จับคู่กับ อนันต์ ดีดีเดช ฮาเซ่ ไอพีเอ (Anan DDH Hazy IPA) ไฮไลต์ของค่ำคืนนี้ ผู้ร่วมรับประทานอาหารจะได้พบกับ คุณธราธิป ธงชัยภูมิ อาร์ท ไดเรกเตอร์ แห่ง เบียร์วานา ไทยแลนด์ ผู้อยู่เบื้องหลังงานศิลป์ที่ช่วยเสริมเอกลักษณ์และความสำเร็จของ วานา บริววิ่ง ร่วมสัมผัสค่ำคืนที่อาหารไทยรสชาติเข้มข้นผสมผสานกับงานศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมดื่มด่ำกับคราฟต์เบียร์ไทยชั้นเยี่ยม และเพลิดเพลินกับบทสนทนาอันน่าประทับใจ ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าหลงใหลของห้องอาหารนิมิตร ราคายังไม่รวมค่าบริการ 10% และภาษี 7% สำรองที่นั่งหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ โทร 02 079 7000 หรือ ไลน์ออฟฟิเชียล (@137pillarshotels) Kin News Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ…
เอ๊ดช่า (etcha) ห้องอาหารไฟน์ไดนิ่งแห่งใหม่ของกรุงเทพฯที่ให้คุณได้สัมผัสกับสุนทรียศาสตร์ของการรับประทานอาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรมอันหลากหลาย ด้วยแนวคิด “Borderless Dining” หรือ รสชาติอันไร้พรมแดน (รสชาติที่ไร้ขอบเขตหรือสัญชาติมาเป็นตัวกำหนด) ที่เราจะพาคุณก้าวข้ามขอบเขตการรับประทานอาหารแบบเดิมๆ ที่ผสมผสานเทคนิคการทำอาหารจากยุโรปเข้ากับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมทั่วโลกนำทีมโดย เชฟจาโคโม พริมันเต้ (Chef Giacomo Primante) เชฟที่ผสมผสานจากประสบการณ์การทำอาหารระดับโลกของเขาไปสู่การสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด ทุกเมนูให้ความสำคัญกับการใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล แต่ละจานถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหาร ที่ห้องอาหาร etcha ชั้น 7 โรงแรม ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ คือที่ที่รสชาติจากทั่วโลกมาบรรจบกัน ด้วยการสร้างสรรค์เมนูจากความประณีตเพิ่มความใส่ใจในทุกรายละเอียด เราพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2568 Etcha Restaurant – สถานที่แห่งความสง่างามและความประณีต ห้องอาหาร etcha โดดเด่นด้วยการตกแต่งที่เน้นความเรียบง่ายอบอุ่นแต่แฝงไปด้วยความสง่างาม สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความประณีต การตกแต่งแบบมินิมอลที่เน้นความยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนได้ของ etcha ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับองค์ประกอบจากธรรมชาติ โดยใช้โทนสีเอิร์ธโทนที่อบอุ่นอย่างสีดินเผา เบจ และเขียว ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงลึกซึ้งกับธรรมชาติ ภายในห้องอาหารได้รับการเติมเต็มด้วยการตกแต่งด้วยผ้าม่านแทนฉากกั้นหรือกำแพงที่ตายตัว เพื่อให้ความรู้สึกที่ผ่อนเบา และสามารถปรับเปลี่ยนได้เป็นการสร้างสมดุลที่ลงตัวระหว่างความงดงามอันประณีตและความเรียบง่าย ด้วยบรรยากาศที่สะอาดตาประกอบกับการจัดแสงที่อบอุ่น สถานที่แห่งนี้จึงพร้อมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่น่าประทับใจผสานจินตนาการแห่งรสชาติและความทรงจำไม่รู้ลืมเข้าไว้ด้วยกัน The Art of Borderless Dining – ศิลปะแห่งการรับประทานอาหารไร้ขอบเขต ที่ห้องอาหาร etcha เมนูทุกจานเปรียบเสมือนการเดินทางสำรวจรสชาติใหม่ๆ เชฟจาโคโม พริมันเต้ นำวัตถุดิบท้องถิ่นกับวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วทุกมุมโลกมาผสมผสานกับเทคนิคชั้นสูงของการทำอาหารออกมาเป็นผลงานศิลปะที่สื่อออกมาทั้งรูป รส กลิ่น สัมผัส ที่มอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัด นำเสนอเมนูแนะนำได้แก่ Grey Pomfret with Mint and Pomegranate: ที่ผสมผสานความกลมกล่อมของรสชาติ ด้วยปลาเต๋าเต้ยดรายเอจอย่างพิถีพิถันดึงรสชาติออกมาอย่างกลมกล่อมและเข้มข้นมากขึ้น ท็อปด้วยกรานิตาและราดน้ำทับทิมแดงสดให้รสชาติเปรี้ยวหวานสดชื่นและสมดุลอย่างลงตัว เมนูเส้นพาสต้าปลาหมึกซอสเพสโต้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความทรงจำในวัยเด็กที่บ้านเกิดของเชฟจาโคโม พริมันเต้ โดยเชฟได้ใช้นำเทคนิคการทำซาชิมิแบบญี่ปุ่นมาสร้างเป็น “พาสต้า” จากปลาหมึก สร้างสรรค์รสชาติด้วยกะทิท้องถิ่นไทยและซอสเพสโต้แบบอิตาเลียน Monkfish จานนี้เป็นการนำเสนอตัวตนและประสบการณ์ของเชฟได้เป็นอย่างดี ด้วยการคัดสรรที่พิถีพิถัน พร้อมเทคนิคการปรุงอาหารแบบยุโรป ปลาเนื้อแน่นคุณภาพดี เสิร์ฟคู่กับซุกินี่ ท็อปด้วยโฟมกาแฟหอมละมุน พร้อมซอสเสาวรสและส้ม ที่ให้ความสดชื่นกลมกล่อมอย่างลงตัว Black sourdough,…
ข้าวแช่ “คลายร้อน” สำรับฤดูร้อนจากสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ Story : Pitsinee A. / Photo : Pol.Capt. Kittin A เครื่องจรดฤดู… รสแห่งวัง ความละเมียดแห่งใจ ในโมงยามแห่งฤดูร้อนที่อากาศรุ่มร้อนแทบทุกช่วงเวลา หากได้ลิ้มรส “ข้าวแช่” สักสำรับก็ประหนึ่งได้รับความเย็นชื่นใจรินรดตั้งแต่ปลายลิ้นจรดหัวใจ สำรับข้าวแช่จึงเปรียบได้กับงานศิลป์แห่งรสชาติที่ต้องใช้ทั้งกาลเวลา ความประณีต และความเข้าใจลึกซึ้งในวัฒนธรรมไทยร่วมรังสรรค์ให้สำเร็จเป็นมื้ออาหารแห่งฤดูร้อนอย่างสมบูรณ์แบบ โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ นำเสนอ “ข้าวแช่ตำรับชาววัง” ประจำฤดูร้อน ปี 2568 ณ ห้องอาหารเฟลอริช โดยเชฟชัชษร ประทุมมา ได้นำองค์ความรู้จากสูตรดั้งเดิมในราชสำนักมาร้อยเรียงกับศาสตร์แห่งกลิ่น รส และศิลป์ร่วมสมัย เพื่อให้ข้าวแช่ชุดนี้มิใช่เพียงแค่ “อาหาร” แต่เป็นประสบการณ์แห่งฤดูร้อนที่สัมผัสได้ในทุกรูปแบบ—ทั้งรส กลิ่น สัมผัส และความทรงจำ ประวัติศาสตร์แห่งความเย็นในถ้วยข้าว ข้าวแช่มีต้นกำเนิดจากมอญที่อพยพเข้ามาในแผ่นดินไทยช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาถูกดัดแปลงและยกระดับเป็นอาหารชาววังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยความพิถีพิถันในการปรุงและการจัดสำรับจนกลายเป็นธรรมเนียมที่นิยมเสิร์ฟในฤดูร้อนเพื่อคลายร้อนแก่เจ้านายฝ่ายใน และขยายสู่ประชาชนทั่วไปจนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมสืบมาถึงปัจจุบัน ข้าวแช่ในวันนี้ยังคงอิงรากจากต้นตำรับแต่ปรับให้เข้ากับยุคสมัย โดยไม่ลดทอนความงามในวิธีการและความละเมียดในจิตวิญญาณ องค์ประกอบแห่งความประณีตในหนึ่งสำรับ สำรับข้าวแช่ของโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ ประกอบด้วยข้าวแช่น้ำอบหอมเย็น และเครื่องเคียงตำรับชาววัง 7 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดล้วนผ่านกรรมวิธีการปรุงที่ซับซ้อน และสะท้อนศิลปะแห่งการปรุงอาหารไทยขั้นสูงได้อย่างลึกซึ้ง ทุกเมล็ดข้าวล้วนถูกเลือกเฟ้นดั่งอัญมณีแห่งท้องทุ่ง สรรหาจากข้าวหอมมะลิชั้นเลิศ ซึ่งผ่านการหุงด้วยกรรมวิธีแสนพิถีพิถัน จนได้ข้าวที่เรียงเม็ดงามดุจกลีบมะลิแรกแย้ม ขาวใสเป็นมุกเรืองรอง เมื่อสุกแล้วจึงนำไปอบควันเทียนกลิ่นอ่อนละมุน เติมเสน่ห์ให้อวลไปด้วยหอมกรุ่นแผ่วเบา ดั่งกลิ่นความทรงจำของวันวานในเรือนคุณย่า สำหรับน้ำลอยดอกไม้ซึ่งเป็นดั่งหัวใจของข้าวแช่ เชฟชัชษรเปี่ยมด้วยความละเอียดละออ นำน้ำสะอาดต้มจนเดือด ทิ้งไว้ให้เย็นข้ามคืนปล่อยให้กลิ่นคลอรีนค่อย ๆ ระเหยลอยหายไปกับราตรี ก่อนจะนำดอกไม้หอมทั้งมะลิสดและกลีบกุหลาบมอญที่ล้างสะอาดจนหมดจด ลงลอยในน้ำใสที่เตรียมไว้ แล้วอบควันเทียนจนกลิ่นหอมล้ำราวบทเพลงฤดูร้อนที่บรรเลงในภวังค์ สร้างสัมผัสแห่งความหอมละไม ละมุนใจในทุกหยดเมื่อได้ลิ้มลอง แต่ละคำของข้าวแช่จะสมบูรณ์มิได้เลย หากไร้เงาของเครื่องเคียงทั้งเจ็ดตำรับ ที่เชฟชัชษรบรรจงรังสรรค์อย่างวิจิตร ประหนึ่งภาพวาดอาหารที่ร่ายด้วยใจ ลูกกะปิทอด กะปิชั้นเยี่ยมจากคลองโคลนถูกย่างให้หอมจนกลิ่นทะเลลอยฟุ้ง ผสมเนื้อปลาดุกย่างอย่างพิถีพิถัน โขลกเข้ากับเครื่องเทศสดอย่างกระชาย ตะไคร้ และข่า แล้วปรุงรสจนกลมกล่อม ปั้นเป็นก้อนกลมพอดีคำชุบไข่ทอดจนผิวกรอบเป็นสีทองอร่าม รับประทานคู่กับกระชายซอยบาง เป็นรสสัมผัสที่ปลุกฤทัยให้สดชื่น หอมแดงไส้ปลายี่สนผัดหวาน หอมแดงลูกโตสดใสถูกรังสรรค์ให้เป็นภาชนะธรรมชาติ คว้านไส้ออกแล้วสอดไส้ปลายี่สนผัดหวาน—เนื้อปลานำไปต้ม แกะก้างออกอย่างประณีต ผัดกับน้ำตาลโตนดและน้ำมันหอมเจียวจนได้รสหวานนวลละไม…