Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A

สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันนี้พวกเรา ทีมงาน Kinandleisure ก็มีร้านอาหารดี ๆ มาแนะนำกันอีกเช่นเคยครับ โดยสำหรับคิวในวันนี้นั้น เป็นร้านอาหารจีนที่ขอบอกเลยว่า มีวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยงามอย่างไม่มีใครเหมือนเลยทีเดียว



ใช่แล้วครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงร้านอาหารของโรงแรม Chatrium Hotel Riverside Bangkok โดยตั้งตระหง่านอยู่ในบนชั้น 36 ซึ่งเป็นมุมพอดิบพอดีที่จะได้รับชมธรรมชาติแห่งสายน้ำ

ไปพร้อมกับแสงไฟยามค่ำคืน โดยเราขอนำเสนอ ห้องอาหาร Silver Waves by Boon ซึ่งเป็นร้านอาหารจีนร่วมสมัย ซึ่งขอบอกว่ารสชาติคุ้มค่าคุ้มราคาอย่างแน่นอนครับ

ก่อนอื่น ขอบอกว่าร้านนี้ ที่จริงได้โลดแล่นมานานกว่าทศวรรษแล้ว แต่กลับมาทำการพลิกโฉมครั้งใหญ่ให้ไฉไลกว่าเดิม ภายใต้ฝีมือ เชฟ Ho Chee Boon เซฟผู้เป็นอดีตหัวเรือใหญ่ของห้องอาหารเครือ Hakkasan ผู้คว้าดาวมิชลินมาแล้ว

ประกอบกับประสบการณ์ในครัวกว่า 35 ปีในวงการ ทำให้เชฟเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าต้องยกระดับอาหารกวางตุ้งอย่างไรให้ร่วมสมัยแต่ไม่ทิ้งรากฐานดั้งเดิม

ด้วยเหตุนี้ ร้านจึงถูกตั้งชื่อเติมท้ายว่า by Boon เพื่อการันตีลายเซ็นของเชฟ โดยสำหรับอาหารทุกจาน สำรับทุกอย่าง มีความใส่ใจและพิถีพิถันตั้งแต่เทคนิคผัดไฟแรงกระตุ้นไอกระทะร้อน ๆ

ไปจนถึงการใช้วัตถุดิบคุณภาพทั้งจากแหล่งดั้งเดิมและท้องถิ่นเพื่อรังสรรค์อาหารจานใหม่อย่างกลมเกลียว

ทิวทัศน์สีครามยามอัสดง

เมื่อก้าวออกจากลิฟต์สู่ชั้น 36 ของ Chatrium Hotel Riverside Bangkok ความประทับใจแรกเริ่มขึ้นทันทีจาก “โถงต้อนรับ” ที่ไม่ได้มาแบบธรรมดา —

ประตูโค้งเคลือบเงาสะท้อนแสงราวกับผิวน้ำยามพลิ้วไหว ช่วยพาผู้มาเยือนก้าวเข้าสู่มิติใหม่ของห้องอาหารจีนในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

คอนเซ็ปต์ของ Silver Waves by Boon ในครั้งนี้คือ “การนิยามร้านอาหารจีนใหม่” โดยหยิบเอากลิ่นอายความคลาสสิกของร้านอาหารจีนดั้งเดิมมาผสานกับเส้นสายและแสงไฟที่ถูกจัดวางอย่างตั้งใจ เส้นโค้งนุ่มนวลในทุกมุมของร้านถูกเน้นย้ำด้วยไฟสีอ่อนอุ่น ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ทันสมัย และมีชั้นเชิง

ภายในร้านแบ่งเป็นหลายโซนอย่างชัดเจน — มีห้องส่วนตัวขนาดใหญ่สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง เหมาะแก่การจัด Working Dinner หรือสังสรรค์ครอบครัวแบบไม่ขาดความสง่างาม ขณะที่โซนห้องอาหารหลักก็ให้ความสำคัญกับระยะห่างของโต๊ะอาหาร ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแม้ในพื้นที่เปิดโล่ง

และที่ถือเป็นไฮไลต์ที่สุดคือ วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เผยโฉมผ่านหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่ ซึ่งไม่ได้มีดีแค่วิวกว้าง แต่ เป็นวิวในมุมที่หาได้ยาก — เพราะที่ตั้งของโรงแรมอยู่ตรงจุดโค้งของแม่น้ำพอดี มองจากโต๊ะอาหารออกไปจึงราวกับกำลังลอยอยู่กลางแม่น้ำ พร้อมฉากหลังของเส้นขอบฟ้ายามพระอาทิตย์ตกดินที่ยิ่งขับเน้นให้ค่ำคืนนั้นพิเศษยิ่งขึ้น

ขอแนะนำให้มาถึงก่อนพระอาทิตย์ตก เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแสงจากสีทองไปสู่สีครามในแบบที่ไม่มีการจัดไฟใดเสริมได้สวยเท่าธรรมชาติ

อีกหนึ่งโซนที่ไม่ควรพลาดคือ Half-Moon Bay ที่จัดที่นั่งไว้ 27 ที่ สำหรับชมพระอาทิตย์ตกอย่างเต็มตา พร้อมลมเย็นริมแม่น้ำที่พัดผ่านเข้ามาอย่างพอเหมาะ

และเมื่อมื้ออาหารสิ้นสุด หากยังไม่อยากให้ค่ำคืนนี้จบลงเร็วเกินไป ขอแนะนำให้เดินต่อไปยัง Cloud 36 Rooftop Bar ซึ่งอยู่ติดกัน ที่นั่นคุณจะได้ลิ้มรสค็อกเทลที่หยิบกลิ่นอายของสมุนไพรและวัตถุดิบจากเอเชียมาใช้ได้อย่างน่าตื่นเต้น

ภายใต้โครงสร้างห้องทรงสูงที่เน้นเส้นโค้งอย่างวิจิตร ภาพรวมของการตกแต่งภายในของห้องอาหาร Silver Waves by Boon นำเสนอภาษาทางสถาปัตยกรรมที่ชัดเจนและทรงพลัง ด้วยการผสมผสานระหว่าง “วัฒนธรรมจีนคลาสสิก” กับ “ความร่วมสมัยเชิงศิลป์” ได้อย่างลงตัว

จุดเด่นที่สุดของห้อง คือแชนเดอเลียขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากฝ้าเพดานโค้งลึก โดยผู้ออกแบบได้แรงบันดาลใจจาก “พลุเฉลิมฉลอง” ซึ่งสื่อถึงจังหวะแห่งการต้อนรับ ความรุ่งเรือง และการเปิดฉากของค่ำคืนพิเศษ องค์ประกอบโคมไฟทำจากแท่งแก้วโปร่งแสงจำนวนมาก แขวนกระจายตัวออกจากศูนย์กลางอย่างมีจังหวะราวกับประกายไฟที่แตกตัวกลางอากาศ ช่วยดึงสายตาขึ้นสู่ด้านบนอย่างมีจุดหมาย และยังให้มิติของความเคลื่อนไหวแม้ในขณะนิ่ง

พื้นที่โดยรอบตกแต่งด้วยผนังสีแดงชาด (Imperial Red) โทนสีที่สื่อถึงมงคล อำนาจ และความเป็นจีนในเชิงวัฒนธรรม พร้อมตัดกับ เฟอร์นิเจอร์เบาะหนังทรงโค้งสีฟ้าอมเขียว ซึ่งช่วยสร้างความสดใหม่และล้อกับแสงธรรมชาติที่สะท้อนผ่านกระจกใส

ด้านหลังของเคาน์เตอร์บาร์ถูกเนรมิตให้กลายเป็น “ผนังโชว์วัตถุ” ซึ่งจัดแสดง เซรามิกโบราณและแจกันจีนหลากหลายยุคสมัย ภายในกรอบเหลี่ยมสัดส่วนสมมาตร ไล่ระดับสีและรูปทรงอย่างตั้งใจ สร้างจังหวะทางสายตาแบบ grid ที่สง่างาม สะท้อนความละเอียดในระดับพิพิธภัณฑ์

พื้นห้องปูด้วยพรมลวดลายเรขาคณิตขาวดำ ซึ่งแตกต่างจากวัสดุปูพื้นแบบกระเบื้องทั่วไป แต่ยังคงสร้างมิติทางสายตาแบบ 2D illusion ที่ให้ความรู้สึกของความลึกและการเคลื่อนไหว เสมือนกำลังเดินอยู่บนพื้นผิวที่ไหลต่อเนื่องไปสู่พื้นที่บาร์และโถงกลาง

โดยรวมแล้ว การตกแต่งของห้องอาหารนี้เน้นการสร้างบรรยากาศที่ “เฉลิมฉลองความหรูหรา” ผ่านแสง วัสดุ และวัตถุตกแต่งที่มีความหมายเชิงวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างประสบการณ์ทางอารมณ์ก่อนที่ผู้มาเยือนจะได้ลิ้มรสอาหารจากเชฟมิชลินในอีกมิติหนึ่ง

ทั้งหมดนี้ ทำให้ Silver Waves by Boon ไม่ได้เป็นแค่ห้องอาหารจีน แต่คือจุดหมายแห่งรสชาติ ทิวทัศน์ และการออกแบบที่หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบในชั้นเดียว

Menu : Silver Waves Journey

Silver Waves Steamed Dim Sum Platter

เริ่มต้นกันด้วยชุดติ่มซำเลิศรส มี 4 อย่าง ประกอบด้วย ฮะเก๋ากุ้ง ประกอบด้วยกุ้งและหน่อไม้ฝรั่ง แป้งบางโปร่งใสลายจีบถี่ เมื่อยกขึ้นจะเห็นเงาเนื้อกุ้งเด้งสีส้มด้านใน กลิ่นไอน้ำทะเลอ่อน ๆ ลอยมาพร้อมไอร้อน ก่อนจบด้วยความหวานกรอบของกุ้งสดเต็มคำ (2) Stream crab meat dumpling สีเขียวสด ด้านในมีส่วนผสมของเนื้อปู ไก่ และวางเก๋ากี้ เพิ่มมิติหวานหอมให้อาหารเรียกน้ำย่อยจานนี้

(3) Italian Parma ham มาในรูปแบบติ่มซำชิ้นสีเหลือง โดยติ่มซำเชื้อชาติอิตาเลียนนี้ ประกอบด้วยพาร์มาแฮม แครอท และมันแกวกับข้าวโพด รสชาติกลมกล่อมได้สัมผัสแฮมเต็มที่ และ(4) Seaweed rolled ประกอบด้วยปลากะพงและหมึกกระดอง วางด้วยขิงและต้นหอม โดยให้ทานไล่ตั้งแต่สีอ่อนไปเข้ม (ขาว เขียว เหลือง ดำ) เพื่อไล่ระดับรสชาติ ซึ่งเชฟทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์โดยที่ไม่ต้องใช้ซอสเพิ่มรสชาติใด ๆ เลย
Lychee Lobster Ball


ลูกชิ้นกุ้งล็อบสเตอร์เคลือบน้ำผึ้งลิ้นจี่ เสิร์ฟบนจานกระเบื้องลวดลายหมึกน้ำเงิน โดยตัวลูกชิ้นมีสีสีส้มอมชูมพูเหมือนลูกลิ้นจี่จริงๆ เป็นหนึ่งในเมนูยอดฮิตของทางร้าน ด้วยด้านในที่มีเนื้อกุ้งแบบแน่นๆ ประกอบกับแป้งที่มีความกรุบกรอบ ในขณะที่ด้านในยังคงมีความฉ่ำของเนื้ออย่างเต็มเปี่ยม

Thai Mud Crab with Huanjiu Soup

ซุปถ้วยนี้อาจดูเรียบง่ายในรูปทรงภายนอก แต่หากได้สัมผัสแล้วจะรู้ว่าแต่ละหยดนั้นผ่านการกลั่นกรองด้วยความประณีตในทุกองค์ประกอบ Thai Mud Crab with Huanjiu Soup คือนิยามของ “ความละเมียด” ที่แท้จริงในรูปแบบของซุปเอเชียร่วมสมัย
สีทองอมอำพันที่เห็นในถ้วยไม่ใช่เพียงแค่สีจากน้ำซุปธรรมดา หากแต่เป็นผลลัพธ์จากการเคี่ยวต้มอย่างพิถีพิถันกว่า 18 ชั่วโมง โดยใช้น้ำสต็อกจากทั้ง ไก่และเป็ด ซึ่งให้ทั้งความลุ่มลึก กลิ่นหอมมัน และรสสัมผัสที่แน่นด้วยคอลลาเจนธรรมชาติ ก่อนจะเพิ่มเติมด้วยกลิ่นและรสของเหล้าหวนจิ่ว (Huanjiu) อายุ 20 ปี ซึ่งเป็นสุราชั้นเลิศจากจีนที่มักใช้ในวังหรือในงานเฉลิมฉลองสำคัญ ๆ เท่านั้น กลิ่นหอมของเหล้าหมักแบบโบราณแทรกตัวอยู่ในซุปอย่างกลมกลืน ให้ความรู้สึกอบอุ่นและลุ่มลึก ไม่แหลมเกิน แต่ทรงพลัง
ก้นถ้วยรองไว้ด้วยไข่ขาวที่ถูกปรุงให้นุ่มละมุน เคี้ยวเพลินราวก้อนเมฆบางเบา ช่วยขับเนื้อสัมผัสของซุปให้มีมิติขึ้น ขณะเดียวกัน ซุปถ้วยนี้ยังอัดแน่นไปด้วย เนื้อปูทะเลไทย ที่ถูกแกะและฉีกออกมาอย่างประณีต เส้นใยเนื้อแน่นแนบสนิทในน้ำซุปให้กลิ่นหอมหวานตามธรรมชาติของทะเล พาให้ทุกคำกลมกล่อมและแน่นไปด้วยรสชาติ

เมื่อซดคำแรก กลิ่นหอมของเหล้าหมักและน้ำสต็อกจะพวยพุ่งขึ้นมาแตะจมูกก่อน ตามด้วยรสสัมผัสเข้มข้นบนลิ้น แล้วจึงตามมาด้วยความหวานละมุนจากเนื้อปูและความเนียนนุ่มจากไข่ขาวอย่างแยบยล ทุกองค์ประกอบถูกวางมาอย่างมีสมดุล ราวบทเพลงที่ค่อย ๆ ดำเนินจากโน้ตต่ำสู่เสียงสูงด้วยความตั้งใจและศิลป์
ซุปถ้วยนี้จึงไม่ใช่เพียงอาหารเรียกน้ำย่อย หากแต่เป็นบทกวีรสชาติ ที่บรรเลงความอบอุ่น หรูหรา และรื่นรมย์ในถ้วยเดียว
Baked Chilean Seabass with Chinese Honey & Fermented Bean Curd

หนึ่งในจานเด่นที่ยากจะมองข้ามจากครัวนี้คือ Baked Chilean Seabass with Chinese Honey & Fermented Bean Curd ปลาหิมะคุณภาพสูงจากชิลีน้ำหนักราว 160 กรัม ถูกนำมาอบอย่างพอดิบพอดีในอุณหภูมิที่ควบคุมอย่างแม่นยำ จนได้เนื้อปลาที่ฉ่ำแต่ไม่เละ มีความแน่นแบบครีมมี่นวลลิ้น ราวเนื้อปลาได้หลอมรวมกับอากาศในเตาอบอย่างมีชีวิต
สิ่งที่ทำให้จานนี้มีเอกลักษณ์ คือการหมักปลาก่อนอบด้วยเต้าหู้ยี้และน้ำผึ้งจีนสูตรเฉพาะ รสเค็มนวลของเต้าหู้ยี้ผสานกับความหวานหอมแบบลึกของน้ำผึ้งเกิดเป็นรสที่ไม่จัดจ้านแต่เปี่ยมเสน่ห์ กลมกล่อมแบบมีชั้นเชิง มีกลิ่นอายของเทคนิคจีนดั้งเดิมในกรอบของการจัดวางแบบร่วมสมัย

เนื้อปลาหลังอบจะปรากฏสีแดงอมทองอย่างเป็นธรรมชาติจากกระบวนการหมัก โดยไม่พึ่งพาการปรุงแต่งสีใด ๆ รสสัมผัสในปากเริ่มต้นด้วยความหวานละมุน ก่อนจะตามด้วยรสเค็มหมักเบา ๆ ที่ปรากฏขึ้นบางเบาแต่ทรงตัว มีน้ำหนักพอให้จานนี้ไม่เลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
เสิร์ฟพร้อมเห็ดทอดกรอบที่ให้เนื้อสัมผัสแตกต่างอย่างลงตัว เพิ่มมิติของจานอย่างชาญฉลาด ทั้งหมดนี้ทำให้เมนูอบจานนี้มิใช่เพียงอาหารหนึ่งจาน แต่เป็นการตีความรสเอเชียผ่านเทคนิคตะวันตกได้อย่างละเมียดละไม และไม่ต้องสงสัยเลยว่า — เมนูนี้คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ใครต่อใครตกหลุมรักร้านนี้ได้ในทันที
Wok-Fried Phuket Lobster Balls with Lemongrass & Chilli

จานนี้คือบทบรรเลงของวัตถุดิบท้องถิ่นที่ถูกยกระดับด้วยเทคนิคอันประณีต Wok-Fried Phuket Lobster Balls หรือเนื้อล็อบสเตอร์จากภูเก็ตที่ถูกนำมาปั้นเป็นก้อนแน่น เคล้ากลิ่นสมุนไพรและซอสปรุงเฉพาะ ก่อนจะผ่านการผัดด้วยไฟแรงแบบจีนดั้งเดิมในกระทะเหล็ก (wok hei) เพื่อดึงกลิ่นหอมของวัตถุดิบให้ลอยเด่นขึ้นในทันทีที่เสิร์ฟ
แก่นของจานนี้อยู่ที่การผัดเนื้อล็อบสเตอร์กับ ตะไคร้สด และ ซอสโทบันสูตรเฉพาะของเชฟ ซอสนี้ได้แรงบันดาลใจจาก Chilean chili sauce แต่ปรับรสให้มีมิติและความกลมกล่อมมากขึ้น โดยคงกลิ่นหอมเฉพาะตัวของ พริกชี้ฟ้าแดง ที่ไม่ได้เผ็ดจัด หากแต่ค่อย ๆ ปล่อยรสเผ็ดอ่อนในลำคออย่างมีชั้นเชิง

ในขณะที่ตัวเนื้อล็อบสเตอร์ให้ความหวานมันธรรมชาติ นุ่มแน่นและเด้งในปาก การผัดกับซอสนี้ช่วยเสริมให้เนื้อกุ้งมีความเข้มข้นโดยไม่บดบังรสทะเลดั้งเดิม เมื่อสัมผัสแรกผ่านไป รสจะค่อย ๆ ไต่ระดับจากความกลมกล่อมสู่ความร้อนแรงบาง ๆ แล้วจบด้วยกลิ่นหอมสมุนไพรไทยที่นัวนุ่มและละมุนลิ้น
การจัดจานยังถือว่ามีความคิดสร้างสรรค์และสง่างาม — เสิร์ฟพร้อม กระดองและหนวดย่าง ที่ตั้งชูขึ้นราวกับศิลปะจัดวาง เป็นองค์ประกอบตกแต่งที่ไม่เพียงเพิ่มมิติด้านรูปลักษณ์ หากยังส่งกลิ่นไหม้จาง ๆ ของเปลือกทะเลย่างไฟให้ลอยคลอไปกับกลิ่นตะไคร้ที่ตีขึ้นทันทีเมื่อวางจานลง

จานนี้คือการเดินทางของรสชาติที่มีจังหวะ มีไดนามิก และมีจุดสูงสุดที่สมดุล — จากความหอมทะเล สู่สมุนไพร ไปจนถึงปลายรสที่เผ็ดแบบเย้ายวน
Roasted Truffle Duck

เป็ดกวางตุ้งหนังกรอบถูกแล่บาง โดยเริ่มจากการนำเป็ดไปทอด แล้วนำมานึ่ง และใช้น้ำสต็อกของในการทำน้ำซุปด้านล่าง ในขณะที่ด้านบนวางด้วยเห็นทรัฟเฟิลของอิตาลี ตัวเป็ดเรียงสลับชั้นไขมันสีชมพูระเรื่อ เมื่อกัดคำแรก จะได้ทั้งความกรุบของหนังและความนุ่มของเนื้อ ในขณะที่กลิ่นทรัฟเฟิลจู่โจมเต็มโพรงจมูก ขณะที่น้ำซอสจากเป็ดก็ตัดเลี่ยนด้วยรสเค็มละมุน ชวนให้นึกถึงเป็ดปักกิ่ง แต่หรูหรากว่าด้วยกลิ่นทรัฟเฟิลและองค์ประกอบทุกอย่างที่ลงตัว

Grilled Tofu with Wild Pepper & Homemade Chilli

เป็นของหวานที่น่าแปลกใจ โดยการนำเต้าหู้ ผัดกับซอสเสฉวน โรยด้วยถั่ว เติมด้วยไข่ โดยตัวนี้ไม่เผ็ดมากเพราะมีไข่มาดับความเผ็ด ผิวเต้าหู้คงความกรอบนอกในขณะที่เนื้อในยังนุ่มละลาย รสซอสมีทั้งเค็มถั่วหมัก รวมถึงรสชาติเผ็ดชาเล็ก ๆ รวมถึงความหวานเบาๆ ที่สร้างมิติให้อย่างน่าประทับใจ

Lotus Rice with Dried Scallop, Dried Shrimp, Mushroom & Peanut

เสิร์ฟพร้อมข้าวอบลูกบัว ประกอบด้วยลูกบัว กุ้งแก้ง หอยเชลล์ ถั่ว และเห็ด โดยเชฟนำไปหุงจนได้รับความหอมอูมามิอย่างเต็มที่ โดยได้กลิ่นหอมที่เป็นกลิ่นดินจากเห็ด และกลิ่นอูมามิจากวัตถุดิบที่ใส่ลงไป เมื่อเคี้ยวแต่ละคำพร่างด้วยรสอูมามิของหอยเชลล์แห้งและกุ้งแห้งหวานทะเล เติมความกรุบจากถั่วอย่างพอดิบพอดี

Dessert
Mango Pomelo Sago

มะม่วง ส้มโอ และสาคู ส่วนผสมที่ลงตัว เสิร์ฟในรูปแบบแก้วแชมเปญ โดยเชฟอยากให้ยกดื่มแบบแก้วแชมเปญเลย เนื้อส้มโอด้านบนวีขาวกรอบ หอมหวานตามสไตล์ผลไม้เขตร้อนแทรกความขมสดน้อย ๆ ทำหน้าที่รีเซ็ตเพดานปากหลังจานหลักที่เข้มจัด
Passion Fruit Cheesecake

ขณะที่จานเสาวรสจานนี้ มี 3 องค์ประกอบ ประกอบด้วย ไอศกรีมซอร์เบเสาวรส กล้วยที่นำมา caramelize น้ำตาล และชีสเค้กอยู่ด้านใน โดยด้านบนเป็นเจลลี่เสาวรส ใส่มาในลูกเสาวรส วิธีการทานให้ทานเสาวรสในทีเดียวเลย โดยให้ทานทุกอย่างพร้อมกัน โดยกล้วยให้กลิ่นคาราเมลไหม้นิด ๆ ตัดกับซอร์เบต์เสาวรสเย็นเจี๊ยบ ประกอบกับรสชาติเปรี้ยวนุ่มนวลของชีสเค้กและเจลลี่เสาวรส ทำให้ทั้งสามองค์ประกอบ สามเนื้อสัมผัส นี้เป็นการสร้างความน่าประทับที่ยากลืมเลือนจริงๆ ครับ

Drinks



นอกจากอาหารเลิศรสต่างๆ แล้ว ทางห้องอาหารและบาร์ก็มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดพร้อมให้บริการเช่นกัน ทั้งเครื่องดื่มมีแอลกอฮอลล์ ไร้แอลกอฮอล ชาชนิดต่าง ๆ ที่ล้วนเป็นชาคุณภาพสูง เช่น เถี่ยกวนยิน หรืออูหลง Prestige ตลอดจนเครื่องเดิมคอกเทลและมอกเทลเลิศรสชาตที่มีชื่อเรียกที่เท่มาก ๆ โดยขอยกตัวอย่าง Signature Cocktail ของร้าน

อาทิ Yaowarat Mule สีทองอร่าม หวานน้ำผึ้ง มีรสเก๋ากี้ โดยมีเหล้าเบอร์เบินพร้อมอุ่นคอ นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ ที่น่าสนใจ ทั้ง Charoen Krung Road Kombu Margarita Rani’s Sipping หรือ Korean Town ซึ่งทุกเมนูจะมีส่วนผสมที่แสดงออกถึงลักษณ์และตัวตนของชาตินั้น ๆ อย่างเต็มเปี่ยม

สุดท้ายนี้ ขอบอกว่า Silver Waves by Boon ไม่ได้ขายแค่วิว แต่ขายทั้งศิลปะทางอาหารที่น่าประทับใจ ที่ประกอบไปด้วยทั้งความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่ยังสามารถคงรสชาติดั้งเดิมของเมนูต่าง ๆ เอาไว้ได้ ให้อารมณ์เหมือนนั่งดูวงดนตรีจีนร่วมสมัยบรรเลงกลางแม่น้ำ โดยทีมบริการอธิบายต้นกำเนิดวัตถุดิบและเทคนิคการทำได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้มื้อค่ำสามชั่วโมงผ่านไปโดยน่าประทับใจ โดยสำหรับท่านที่สนใจ สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ โทร : +66 (0) 2307 8888 อีเมล : [email protected] หรือ Facebook / IG / LINE : @silverwavesbyboon ร้านเปิด มื้อกลางวัน 11.30–15.00 น. / มื้อเย็น 18.00–22.00 น. (รับออร์เดอร์สุดท้าย 21.30 น.)
Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์