Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A

สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบการรับประทานอาหารอร่อยทุกท่าน วันนี้พวกเรา Kinandleisure ก็มีสุดยอดร้านอาหาร พร้อมประสบการณ์อันยอดเยี่ยมมานำเสนออีกเช่นเคยครับ โดยในคราวนี้มาในธีมยามเย็นที่แสงสุดท้ายทอดผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา โดยพวกเราได้ก้าวบนชานบันไดหินอ่อนของโรงแรม Four Seasons Bangkok เจริญกรุง เข้าสู่ห้องอาหาร Palmier by Guillaume Galliot ด้วยความรู้สึกคล้ายเปิดประตูสู่ริวีเอร่าฝั่งตะวันออก ด้วยบรรยากาศแนวชายฝั่งที่ประดับประดาด้วยโถงสีไม้โอ๊คสีอ่อน ผนังโค้งแต่งปูนปาดเรียบ และหมู่โต๊ะหินอ่อนขาวสะท้อนประกายแสงอันละมุน โดยไม่ว่าจะนั่งกินลมชมวิวริมแม่น้ำ พร้อมรับลมบางๆ พัดกลิ่นเนยจางๆ จากครัวลอยมาต้อนรับ ราวกับบอกใบ้ถึงมื้อฝรั่งเศสคลาสสิกที่กำลังรออยู่ในค่ำคืนนี้ หรือจะนั่งชิลในห้องอาหารพร้อมเฉลิมฉลองค่ำคืนอันสุดยอดก็เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นตาไม่แพ้กันครับ

ทำความรู้จักกับ Palmier by Guillaume Galliot
แม้จะเพิ่งรีแบรนด์ไปไม่นาน แต่รากเหง้าของ Palmier ยังคงยึดโยงกับเชฟ กิโยม กายโยต์ เจ้าของดาวมิชลินสามดวงจาก Caprice ฮ่องกง ซึ่งเติบโตท่ามกลางทุ่งองุ่นและตลาดสดแห่งลัวร์แวลลีย์ ตามชื่อของห้องอาหารแห่งนี้ โดยเมนูของห้องอาหาร เต็มไปด้วยรอยต่อระหว่างความทรงจำอันน่าคิดถึง กับความประณีตแบบไฟน์ไดนิง ที่พร้อมสรรค์สร้างความน่าตระการตาให้กับทุกท่านได้ยลโฉมกันครับ โดยสามารถเดินทางมาถึงโรงแรมได้อย่างสะดวกด้วยรถยนต์ หรือจะเดินทางผ่านเรือโดยสารมาเทียบท่าที่บริเวณโรงแรมก็เป็นประสบการณ์ที่ดีไปอีกแบบ ซึ่งขอบอกเลยว่า ทุกห้องอาหารของโรงแรมแห่งนี้นั้นเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและบริการอันน่าประทับใจอย่างแน่นอน

จากภาพถ่ายที่คุณแนบมา การออกแบบภายในของร้าน Palmier by Guillaume Galliot ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ถ่ายทอดเสน่ห์ของบรรยากาศฝรั่งเศสเขตร้อน (Tropical Brasserie) ได้อย่างมีเอกลักษณ์ โดยผสานความร่วมสมัยกับกลิ่นอายธรรมชาติไว้อย่างกลมกลืน ดังรายละเอียดต่อไปนี้:

การออกแบบและการตกแต่งภายใน: Palmier by Guillaume Galliot
กลิ่นอายเขตร้อนใต้แสงเทียน

เมื่อก้าวเข้าสู่ Palmier สิ่งแรกที่สะดุดตาคือ ภาพวอลเปเปอร์ขนาดใหญ่ที่วาดลวดลายพฤกษานานาพรรณแบบทรอปิคอลตั้งแต่ต้นกล้วย ไปจนถึงเบิร์ดออฟพาราไดซ์ สร้างอารมณ์ร่วมที่เหมือนหลุดเข้าไปในสวนสไตล์ French Riviera กลางกรุงเทพฯ ผนังไม้โทนเข้มให้ความรู้สึกอบอุ่น ขับเน้นความหรูหราแบบสงบผ่านแสงไฟสีทองอำพันจากโคมเทียนที่ประดับบนโต๊ะ

การจัดวางพื้นที่ที่เป็นส่วนตัว
ที่นั่งแบบ booth ซ่อนตัวอยู่ในซอกมุมไม้ ทำให้แขกแต่ละกลุ่มได้ความเป็นส่วนตัวโดยไม่รู้สึกอึดอัด พื้นที่ถูกจัดสรรอย่างมีจังหวะ จนรู้สึกเหมือนเดินผ่านบทสนทนาในยุโรปใต้ นุ่มนวลแต่มีชีวิตชีวา

เคาน์เตอร์บาร์: หัวใจของความร่วมสมัย

บาร์ของร้านเน้นเส้นสายเรียบหรู มีบอร์ดเขียนเมนูด้วยชอล์กที่เสริมกลิ่นอายบราสเซอรี่แบบดั้งเดิม รายละเอียดทองแดงจากอุปกรณ์บาร์ รวมถึงผนังกระจกโชว์เครื่องดื่ม เพิ่มมิติความร่วมสมัยให้พื้นที่โดยไม่ลดทอนความคลาสสิก

รายละเอียดที่คิดมาแล้วอย่างพิถีพิถัน
เฟิร์นสีเขียวที่ห้อยประดับจากเพดาน ช่วยตัดความแข็งของไม้และเพิ่มความชุ่มชื่นสายตา ผสมผสานงานคราฟต์กับความเนี้ยบแบบโรงแรมห้าดาวได้อย่างกลมกล่อม

มุมที่นั่งด้านนอก: วิวเจ้าพระยาในจังหวะที่หายใจลึกขึ้น
แม้จะโดดเด่นด้วยการตกแต่งภายในที่ชวนหลงใหล แต่ Palmier ยังมี “ห้องรับลม” อันแสนสงบในโซนที่นั่งด้านนอก ซึ่งทอดยาวขนานไปกับแนวระเบียงริมน้ำ โครงสร้างเพดานตีระแนงไม้สีอ่อนรับกับแนวเสาของตัวอาคาร ช่วยกรองแสงและลมให้ไหลเวียนได้พอดี—ไม่ร้อนอบอ้าวแต่ยังคงสัมผัสธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด

เบาะนั่งโทนเขียวหม่นแบบหมอกเช้าในโพรวองซ์ (Provence Mist) เข้าคู่กับหมอนลายเรขาคณิตสีอ่อนที่จัดวางอย่างตั้งใจ โต๊ะหินอ่อนทรงกลมตัดด้วยขาไม้หนาทรงคลาสสิก มอบความรู้สึกเป็นกันเองแบบบราสเซอรี่ยุโรป กลมกล่อมกับเสียงลม เสียงคลื่นเบาๆ จากแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่เบื้องหน้า

แม้จะเป็นที่นั่งกลางแจ้ง แต่มุมนี้ได้รับการออกแบบอย่างประณีตให้รู้สึก “เหมือนนั่งอยู่ในโซฟาในบ้านริมแม่น้ำ” มากกว่าร้านอาหารโรงแรมหรู ความใกล้ชิดกับพืชพรรณเขตร้อนเขียวชอุ่มที่ปลูกเรียงรายตลอดแนวระเบียง ยังเสริมให้ทุกโต๊ะกลายเป็นพื้นที่พักผ่อนส่วนตัวอย่างแท้จริง

Palmier ไม่ได้เป็นแค่ร้านอาหารฝรั่งเศส แต่คือ “โอเอซิส” แห่งดีไซน์ที่ชวนหลบหนีจากความเร่งรีบของเมืองใหญ่ สู่พื้นที่ที่ทั้งอบอุ่น มีชีวิต และเต็มไปด้วยเรื่องราวในทุกมุมมองการตกแต่ง ถ้าด้านในของ Palmier คือโรงละครหรูแห่งรสชาติ ด้านนอกคือระเบียงอิสระที่เปิดโอกาสให้บทสนทนาและอาหารดำเนินไปอย่างเรียบง่ายภายใต้บรรยากาศธรรมชาติของแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งคู่คือสองฝั่งของความละเมียดละไมที่เชื่อมโยงด้วยดีไซน์และความตั้งใจในรายละเอียดอย่างไม่ขาดตอน

White Asparagus Promotion
White Asparagus Velouté with Bacon and Orange (ราคา 980 บาท)

เริ่มต้นเทศกาลของหน่อไม้ฝรั่งขาว ด้วยการทำให้โดดเด่นด้วยสองคู่ตรงข้าม คือ เบคอนรมควันและ ส้มสด ที่ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ครีมซุปจึงทั้งอบอวลและปลุกเร้าในเวลาเดียว เมื่อช้อนตักลึกลงไปถึงก้นถ้วย จะได้ความหวานกรอบของหน่อไม้ฝรั่งเคล้ากับครีมที่คลี่ตัวคลุมลิ้นอย่างอ่อนโยน ก่อนจะถูกปลุกด้วยรสเปรี้ยวฉ่ำของกลีบส้มและความกรุบกรอบของอัลมอนด์คั่วและเบคอนล้วนทำให้การเริ่มต้นการเดินทางแห่งอาหารนี้มีความสมบูรณ์แบบ

Classic White Asparagus with Mousseline Sauce” (1,480 บาท)

แท่งหน่อไม้ฝรั่งขาวนอนทอดตัวกลางจานพอร์ซเลนขอบโค้วเว้าลายวินเทจ เสิร์ฟพร้อม ซอสมูสเซอลีน ซึ่งคล้ายๆ ฮอลแลนเดสที่ตีครีมจนขึ้นฟองเนียน สีครีมอ่อนจุดวานิลลา เสิร์ฟพร้อมไข่มิโมซาร่วน ๆ สีเหลือง ขาวสับหยาบ โรยต้นหอมซอยและเฮเซลนัตคั่วกรอบเพิ่มมิติอะโรมาติก ตรงกลางแต่งผักสลัดฟิลด์กรีนเล็กน้อยให้ตัดสีสวยงาม

โดยเชฟลวกหน่อไม้ฝรั่งจนเนื้อฉ่ำ ก้านยังคงเด้งเบา ๆ ไม่มีเสี้ยน ไส้ในละลายปลายลิ้นคล้ายครีมข้าวโพด เมื่อทานไปได้กลิ่นหอมเนยอุ่น ๆ ตามด้วยหวานธรรมชาติในเนื้อผัก ตัวซอสเจ้าหน้าที่จะมาตัดบรรจงราดให้ถึงที่โต๊ะ ให้ความรู้สึกแน่นแต่ไม่เลี่ยน ส่วนไข่มิโมซาช่วยสร้างจังหวะเคี้ยวสั้น ๆ บนผืนสัมผัสที่ส่วนใหญ่จะนุ่มลื่น เมื่อกลืนลงไปจะเหลือรสเค็มมันบาง ๆ เตือนให้อยากตักต่อทันที

White Asparagus with Morel Mushrooms, Green Peas and Creamy Polenta (ราคา 1,480 บาท)
เป็นการร้อยเรียงวัตถุดิบฤดูใบไม้ผลิสามชนิดให้สนทนากันอย่างอ่อนโยน ได้แก่หน่อไม้ฝรั่งขาว เห็ดมอเรลป่าและข้าวโพดบดครีมมี คำแรกจะได้รสหวานกลมของข้าวโพดอุ่น ๆ ตามด้วยความฉ่ำนุ่มของหน่อไม้ฝรั่งที่มีกลิ่นหอมดินปลายจมูก เห็ดมอเรลให้ความเคี้ยวหนึบและอูมามิเข้มข้น ขณะที่เมล็ดถั่วลันเตาเพิ่ม “เสียงกรอบ” เล็ก ๆ ในปาก อีกทั้งกลิ่นตัดกับโน้ตถั่วของมอเรลได้อย่างประณีต
Green asparagus with morel mushrooms, dry ham, mint and yellow wine sauce (ราคา 1,680 บาท)
หน่อไม้ฝรั่งขาวท่อนอวบลวกจนสุกฉ่ำวางเรียงในแอ่งซอสไวน์เหลืองฟองนุ่ม กลิ่นสมุนไพรและไวน์ผสานกันหอมหวานและเปรี้ยวพอดี ด้านบนโปะเห็ดมอเรลผัดเนยรสอูมามิเข้ม จานนี้ให้รสหวานดินของหน่อไม้ฝรั่งกับความลึกของมอเรลได้ลงตัว และซอสไวน์ช่วยเชื่อมทุกอย่างโดยไม่กลบวัตถุดิบหลักอย่างมีมิติ

Bourguignonne-Style In-shell Baked Escargot (6 ตัว 520 บาท / 12 ตัว 1,020 บาท)

หอยทากเอสคาร์โกต์ครึ่งโหล อบเนยกระเทียมและพาร์สลีย์สไตล์บูร์กอญ แต่ละฝาเปลือกโค้งมนขึ้นเงาเบา ๆ พร้อมกลิ่นกระเทียมผัดเนยฝรั่งเศสแท้ ๆ ลอยอบอวล เคล้าโน้ตเขียวสดของใบพาร์สลีย์ ด้านบนเป็นสีเขียวมรกตของซอสที่เกาะตัวหอยตามความร้อน ส่องประกายมันวาว เมื่อดึงหอยออกมาจากฝา จะเห็นว่าซอสเนยกระเทียมได้สอดแทรกเข้าเคลือบทุกอณู เนื้อเอสคาร์โกต์เด้งแต่ไม่แข็ง เคี้ยวแล้วค่อย ๆ คลี่รสหวานดินอ่อน ๆ ตามธรรมชาติ สลับกับรสเค็มมันหอมเนยและเงากระเทียมคั่วที่โอบรัดไว้อย่างเข้มข้น

Seafood Tower

ไม่มีจานไหนสะกดสายตาและปลุกความตื่นเต้นได้ดีไปกว่า L’Assiette de Fruits de Mer—แปลตรงตัวว่า “จานแห่งผลไม้ทะเล” แต่ในที่นี้ มันคือทิวทัศน์บนจานที่งดงามราวฉากละครแห่งโพไซดอนพร้อมเหล่าธิดาเงือกที่ระบำล้อมรอบ

บนเตียงน้ำแข็งโปรยเกล็ดวาว เย็นฉ่ำราวอรุณรุ่งกลางสมุทร ผลไม้ทะเลสดจัดเรียงดุจงานศิลป์:

ลังกูสตีน (langoustine) เปลือกส้มอมชมพูมันวาว เสมือนอำพันละลายอยู่ใต้แสงเช้า เนื้อแน่น หวานฉ่ำ ละลายแทบจะก่อนถึงลิ้น ให้รสสัมผัสที่ทั้งนุ่มและแน่นในจังหวะเดียวกัน

กุ้งทะเล สีสวยสดนอนเอ้งเม้งราวกับเพิ่งหลุดจากฝันกลางคลื่น ขับความหวานกรุบจากเนื้อใสที่แย้มกลิ่นเค็มบางเบา

หอยเชลล์สด สีขาวมุกสลับลายส้มนวล เนื้อเด้งใส เมื่อกัดให้ความรู้สึกเหมือนฟองคลื่นซัดหาดหินเบา ๆ ก่อนจางลงในรสหวานละมุน

หอยหวาน ตัวเล็กกลมเนื้อแน่น เคี้ยวแล้วกรึบพอได้แรง เสมือนเก็บกลิ่นหวานน้ำทะเลไว้ในเปลือกเล็กจิ๋วทุกอณู ยิ่งเมื่อได้จิ้มกับซอสเปรี้ยวบางชนิด ยิ่งปลุกความสดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


และ หอยนางรม จากหลากหลายสายพันธุ์ อาทิ Fine de claire, Ostra, Kys—แต่ละตัวแย้มฝาเผยเนื้ออวบใต้ผืนน้ำแข็ง เย็นใสราวหยาดน้ำค้าง คล้ายกำลังเชื้อเชิญให้จิบไอโอดีนของทะเลลึกเข้าไปถึงหัวใจ

ทั้งหมดนี้เสิร์ฟเคียงกับซอสสี่สหาย—แซฟฟรอนครีม, ค็อกเทล, ชัลลอตวินิเกรตต์, และ เลมอนสด—ที่เปรียบดั่งออร์เคสตร้าในห้องแสดงดนตรีระดับโลก แต่ละตัวช่วยเสริมรสเฉพาะของวัตถุดิบอย่างแยบคาย ไม่กลบรสแท้แต่ดึงจังหวะเด่นให้เด่นขึ้น ราวกับมีวาทยกรเงาที่เข้าใจทุกโน้ตในทะเล

จานนี้เสิร์ฟใน 2 ขนาด:
La Petite – สำหรับสองท่าน ในราคา 2,550 บาท
La Grande – สำหรับสี่ท่าน หรือใจใหญ่สำหรับสอง ในราคา 4,750 บาท
ล็อบสเตอร์ เพิ่มได้ตามใจปรารถนา เพียง 2,750 บาทต่อหนึ่งตัว—ให้รสชาติเหมือนพระอาทิตย์ตกที่ควรค่าแก่การดูอีกรอบ
Steak Frites (1,650 บาท) จานคลาสสิกที่แฝงไว้ด้วยศิลปะแห่งการย่าง
ในจักรวาลของอาหารฝรั่งเศสที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยเทคนิค ไม่มีจานใดจะเป็นตัวแทนของความประณีตในความเรียบได้เท่า Steak Frites จานนี้ เสต็กเนื้อวากิวออสเตรเลีย ส่วน bavette หรือที่เรียกว่าสะโพกในแถบพื้นบ้าน เนื้อที่ขึ้นชื่อเรื่องรสลึกและสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์

เนื้อถูกสไลซ์เป็นริ้วหนาอย่างมั่นใจ จัดเรียงเยื้องกันราวบัลเลต์ที่ซ้อนชั้นกันในความพริ้ว ทันทีที่จานมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมของเนื้อที่เพิ่งถูกพักจากเตาย่างยังลอยอ้อยอิ่ง ราวกลิ่นไม้แห้งที่เพิ่งปะทุในเตาฝรั่งเศสโบราณ
ภายนอกเนื้อให้รอยย่างสีเข้มติดขอบอย่างได้จังหวะ ขณะที่ภายในยังคง medium-rare สมบูรณ์แบบ เผยสีโรสพิงก์ระเรื่อที่ฉ่ำวาวราวผลทับทิมสุกในยามเย็น ไขมันวากิวแทรกบางเบาอยู่ระหว่างชั้นเนื้อ เหมือนริ้วควันขาวในภาพพิมพ์ญี่ปุ่น ให้ความละลายบนปลายลิ้นราวเนยอุ่นๆ ที่ปาดลงขนมปังสด

โรยเกลือบางเบา เผยรส “เนื้อแท้” ที่กลมกล่อม ไม่ต้องพึ่งเครื่องปรุงใดให้ฟุ่มเฟือย เมื่อเคี้ยว ให้สัมผัสที่นุ่มแต่ยังต้านแรงกรามเล็กน้อยอย่างมีเสน่ห์ ราวผ้าแพรเนื้อดีที่ยังมีโครง
เคียงมาด้วย ซอสแบร์เนส สีเหลืองครีมอ่อนดุจแสงแดดยามเช้า รสชาติหอมไข่ ผสานกลิ่นน้ำส้มสายชูและเอสตรากอน ให้มิติเปรี้ยวเบาแทรกความมันอย่างพอดี ราวการแปรงสีลงบนผืนผ้าใบที่ใกล้จะสมบูรณ์ อีกถ้วยเป็น ซอสมะเขือเทศโฮมเมด สีแดงสุกดั่งลูกพลับสุกในฤดูใบไม้ร่วง ให้รสหวาน-เปรี้ยวที่ละมุนราวกลีบดอกไม้ในชาฝรั่งเศส

เฟรนช์ฟรายส์ที่เสิร์ฟคู่กัน ตัดเป็นแท่งขนาดพอดีนิ้วมนุษย์ ถูกทอดสองรอบจนสีทองเหลืองอร่าม เมื่อเคาะขอบถ้วยให้เสียงกรอบดัง “กรึบ” เหมือนระฆังไม้ในบาร์เบลเยียม รสสัมผัสกรุบกรอบภายนอก แต่ใจกลางยังอ่อนนุ่ม เสมือนกินเมฆฝ้ายเคลือบแสงอาทิตย์
ทั้งหมดรวมกันในจานเดียว เปรียบเสมือนบทเพลงจากวงออเคสตร้าที่บรรเลงด้วยเสียงเพียงสามเครื่องดนตรี—เนื้อย่าง, ซอส, และมันฝรั่งทอด—แต่กลับสะกดผู้ชมไว้ได้ทั้งค่ำคืน
Catch of the day (1,680 บาท)

ในวันที่ได้ทาน เป็นรอบของปลากะพงขาวเนื้อหนาตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยมพาดแนวนิ่งอยู่ครึ่งซ้ายของจาน หนังด้านบนถูกอบจนเกรียมบาง ขึ้นลายข้างเกล็ดประณีต เปลี่ยนสีน้ำตาลทองแวววาวคล้ายเปลือกไม้ เมื่อใช้ส้อมแตะเบา ๆ ยังได้ยินเสียงกรอบแผ่ว ส่งสัญญาณว่าไขมันใต้หนังเพิ่งละลายจนผิวตึงตลอดแผ่น ใต้หนังด้านในเป็นปลาเนื้อขาวละเอียดที่แยกเป็นเกล็ดสั้น ๆ ฉ่ำวาว

เสิร์ฟพร้อมซอสเบอร์บลังก์ สีเหลืองอ่อน กลิ่นเนยฝรั่งเศสที่เคี่ยวกับไวน์ขาวและเชาล็อตอบ เบสด้วยกรดนุ่มอ่อนของน้ำส้มสายชูไวน์และความสดชื่นผ่านสมุนไพร เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งที่มันไปกงฟีแล้วจัดเป็นทรงลูกบอลกลมด้วย และ Tomato Concasse ที่ช่วยเพิ่มมิติรสชาติให้กับตัวปลา พร้อมตัดเลี่ยนได้อย่างดี
Beef Tartare à la Parisiènne (980 บาท)
จานที่เริ่มต้นด้วยเสียงของการตีซอสด้วยมืออย่างแผ่วเบา และจบลงด้วยรสชาติที่สะกดลิ้นทุกผู้ที่ลิ้มลอง – นี่คือ Beef Tartare à la Parisienne ที่เปรียบเสมือนการแสดงสดทางอารมณ์ในห้องอาหารหรูสไตล์บิสโทรฝรั่งเศส ซึ่งทุกองค์ประกอบถูกคัดสรรและเตรียมด้วยความละเอียดละเมียดประหนึ่งการวาดพู่กันลงผืนผ้าไหม

เนื้อวัวคุณภาพดีถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กขนาดเท่าหยดน้ำฝน หยาบพอให้ได้รสสัมผัสแต่ละเอียดพอให้หลอมรวมกับซอสได้อย่างแนบเนียน ผสมเข้ากับมัสตาร์ดฝรั่งเศส ครีมสด และไข่แดงสดที่เพิ่งแยกจากเปลือกไม่กี่วินาทีก่อนหน้า ก่อนนำมาตีให้เข้ากันในชามหินเย็นจัดที่วางบนถาดน้ำแข็ง จังหวะการตีซอสและเนื้อช่างละมุนราวจังหวะของนักไวโอลินยามแสดงเดี่ยว เกิดเป็นซอสเนื้อทองหม่นข้นเงา สะท้อนแสงไฟเหนือโต๊ะอาหารอย่างน่าหลงใหล

กลิ่นหอมของน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์นั้นแตะปลายจมูกแต่แรก หอมแดงฝรั่งเศสสับละเอียดกับพาสลีย์สดซอยละเอียดเติมความสดใหม่อย่างมีชีวิตชีวา แคปเปอร์ดองและแตงกวาดองถูกสับแบบ brunoise จนเล็กเท่ากลิตเตอร์แห่งรสชาติ ช่วยเพิ่มมิติของความเปรี้ยวและเค็มอย่างพอเหมาะพอดี เคี้ยวแล้วมีเสียง “กรุบ” เล็กๆ ในปาก ราวกับหยาดฝนแรกที่ตกกระทบหน้าต่างไม้
ซอสคอนยัคที่ราดปิดท้ายนั้นไม่ฉุนเกินเหตุ แต่คล้ายกลิ่นไม้โอ๊คเก่าที่เพิ่งลุกไฟเบา ๆ ให้กลิ่นจาง ๆ อบอวลในลำคอ ทันทีที่ทุกอย่างรวมกัน ซอสเข้มเคลือบเนื้ออย่างทั่วถึงจนแวววาวราวผ้าแพรที่ถูกแต้มด้วยน้ำผึ้งเหลว

ด้านบนโรยด้วยไข่แดงและไข่ขาวสุกสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขาวสลับเหลือง ดูราวกับกลีบดอกไม้ปักประดับบนพรมกำมะหยี่ ส่วนขนมปังกระเทียมที่เสิร์ฟคู่กันนั้นอบจนหอมกรุ่น กรอบนอกนุ่มใน เหมือนแผ่นดินเหนียวตากแดดที่ยังมีไอน้ำซ่อนอยู่ภายใน

เมื่อตักทุกอย่างลงบนขนมปัง – กลิ่นไข่ ครีม สมุนไพร เนื้อ และกลิ่นควันบาง ๆ จากคอนยัคผสานกันอย่างสมดุล เคี้ยวแล้วเหมือนวัตถุดิบแต่ละชิ้นปลุกเสียงของกันและกันขึ้นมาเป็นเพลงบรรเลง ทั้งความเค็มกรุบ เปรี้ยวบาง หวานนุ่ม และหอมมันผุดขึ้นทีละชั้น ทีละช่วงเสียงอย่างแม่นยำ

Dessert
Classic lemon tart (380 บาท)

ทาร์ตเลมอนชิ้นย่อมของ Palmier มาในรูปทรงกลมเรียบง่าย ด้านบนบีบเมอแรงก์เป็นริ้วโค้งแล้วพ่นไฟให้พอมีสีน้ำตาลทอง กลิ่นน้ำตาลไหม้บาง ๆ พอช่วยลดความคมของเลมอนครีมที่อยู่ข้างใน ตัวครีมให้รสเปรี้ยวสดชัดแต่ไม่ถึงกับจี๊ดจนเกินไป ขณะที่แป้งทาร์ตอบกรอบพอเหมาะ ไม่แข็งจนแตกกระจายเมื่อใช้ส้อมตัด เคียงข้างด้วยไทม์ซอร์เบต์คำเล็ก ๆ ช่วยรีเซ็ตความหวานมันหลังเมอแรงก์ได้ดีโดยไม่เด่นแย่งรสหลัก

Banana chocolate mille-feuille cocoa sorbet (580 บาท)


เพสทรีกรอบสลับกับกล้วย แล้วปิดหน้าด้วยแผ่นดาร์กช็อกโกแลตมันวาว ส่วนด้านข้างหยดซอสช็อกโกแลตเพื่อสำหรับเพิ่มมิติรสชาติและความสวยงาม ด้านบนโปะเควนลโกโก้ซอร์เบต์ เนื้อเนียนและไม่หวานจัด ตัวแป้งมิลเฟยอบมาอย่างสวยงาม กรอบแต่ไม่แข็งเกิน กล้วยไม่กลบกลิ่นโกโก้ ดาร์กช็อกโกแลตมีความขมปลายลิ้น ช่วยรักษาสมดุลโดยรวมให้ไม่เลี่ยน เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของเชฟที่ควรลิ้มลองด้วยประการทั้งปวงครับ

Petit four

ปิดท้ายมื้ออาหารอันน่าประทับใจนี้ด้วย Chocolate Bonbon โดมช็อกโกแลตสีน้ำตาลมุกสี่เม็ดเรียงสวย ผิวเคลือบเงาวับสะท้อนแสงไฟยามค่ำคล้ายลูกแก้ว ด้านในซ่อนแกนกานาชดาร์กช็อกโกแลต เมื่อกัด เปลือกบางแตกเผยเนื้อครีมเนียนเคลือบลิ้นด้วยรสโกโก้เข้มแต่ไม่ขมจัด และ Pistachio Macaron เป็นมาการองสีเขียวจากถั่วพิสตาชิโอสดใส กลิ่นถั่วพิสตาชิโอนุ่มนวลลอยขึ้นมาทันทีที่ฟันกัดผ่าน กลิ่นหอมและหวานชุ่มฉ่ำ
Wine
Charton et Trébuchet – Montagny 1er Cru “Les Bouchots”

ไวน์ขาวจากแคว้นบูร์กอญจากเขต Montagny ทางตอนใต้ของ Côte Chalonnaise แหล่งชาร์ดอเนย์ที่มักให้โทนผลไม้ขาวสดและแร่ธาตุเด่น เมื่อรินลงแก้ว แรกเห็นคือสีเหลืองฟางใสตัดขอบเขียวอ่อน บ่งบอกความสดวัยยังไม่ผ่านการบ่มนานในไม้ ให้กลิ่นดอกไม้นำหน้า ตามด้วยกลิ่นซีตรัสและเลม่อนอ่อน ให้ความสดชื่น มีกรดคมแต่ยังมีความนุ่มนวล เป็นไวน์ที่เหมาะกับจานปลาเป็นอย่างยิ่ง
Palmier by Guillaume Galliot พร้อมให้บริการสร้างความสุขให้กับทุกท่าน ณ Four Seasons Bangkok ด้วยการเป็นร้านที่หยิบสูตรฝรั่งเศสคลาสสิกมาขัดเกลาใหม่อย่างเคารพต้นฉบับ แต่ไม่กลัวจะเล่นสนุกกับวัตถุดิบและความคิดสร้างสรรค์ หากคุณมองหามื้อฝรั่งเศสที่จริงจังพอให้ประทับใจแขกต่างชาติ แต่สบายพอจะนั่งยาวชมแม่น้ำ ร้านนี้คือคำตอบด้วยประการทั้งปวง โดยสามารถสำรองที่นั่งได้ที่ 02 032-0887 ร้านเปิดทั้งช่วงมื้อกลางวันและมื้อเย็น ในวันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 11.30 – 14.30 น. และมื้อเย็น เวลา 18.00 – 22.30 น. ครับ
Kin Review
Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์