Atelier Tea Reverie: เมื่อ Afternoon Tea กลายเป็นงานศิลป์ในกล่องจิเวอรี่
Afternoon Tea Inspired by SIRIVANNAVARI Atelier Fine Jewellery Collection at Sindhorn Kempinski Bangkok

Afternoon Tea ที่ไม่ได้หยุดแค่ “ขนมและชา”
ในบ่ายวันหนึ่งที่ล็อบบี้เลานจ์ของ โรงแรม Sindhorn Kempinski Bangkok ผมได้ก้าวเข้าสู่โลกที่ Afternoon Tea ไม่ได้หมายถึงเพียงสโคน ชา และของหวานน่ารัก ๆ แต่คือ บทกวีแห่งแฟชั่น ที่ถ่ายทอดผ่านขนมพิเศษทุกชิ้น

“Atelier Tea Reverie” ไม่ได้เป็นเพียงคอร์สน้ำชายามบ่าย แต่มันคือ curated experience ที่บรรจงออกแบบขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากคอลเลกชันเครื่องประดับ Atelier Fine Jewellery Collection ของแบรนด์ SIRIVANNAVARI ผลงานที่สะท้อนโลกของ haute couture และงานดีไซน์อันวิจิตร

แรงบันดาลใจ – จากห้องเสื้อสู่งานพาทิซเซอรี
คำว่า atelier ในภาษาฝรั่งเศส หมายถึง “สตูดิโอออกแบบของกูตูริเยร์” สถานที่ที่ทุกการตัดเย็บและทุกเส้นด้ายถูกพิถีพิถันดุจงานศิลป์ ในโปรเจกต์ครั้งนี้ โรงแรมจึงตีความ “atelier” ให้กลายเป็นการเดินทางบนโต๊ะชา ที่ทุกคำมีเรื่องเล่าและทุกจานมีความหมาย

คอนเซปต์หลักคือ “เครื่องมือธรรมดาในห้องเสื้อ” อย่างสายวัด เข็ม สะดึง กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเครื่องประดับชั้นสูง และต่อยอดมาเป็น presentation ของขนมหวาน – จาก กล่องจิเวอรี่ ที่เปิดออกแล้วพบกับมาการง, สะดึงเย็บผ้า ที่วางขนมชิ้นหลักอย่าง St. Honoré และ Chocolate Tart, ไปจนถึง ตู้เครื่องประดับ ที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์
การเริ่มต้น – ความสดชื่นที่ปลุกประสาทสัมผัส
ประสบการณ์เริ่มขึ้นด้วย Lemon Sorbet

ที่เสิร์ฟมาในลูกเลมอนทั้งผล ราวกับอัญมณีสีเหลืองสด เมื่อช้อนลงไป เนื้อเชอร์เบทเย็นจัดปลุกประสาทสัมผัสให้ตื่นตัว พร้อมสำหรับการเดินทางรสชาติที่กำลังจะตามมา

ถัดจากนั้น รถเข็น trolley ของ Atelier Tea Reverie จะถูกเข็นมาให้เราได้สัมผัสการนำเสนอแบบ tableside service ที่หรูหรา – และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่แท้จริง

Savoury Chapter – เมื่อคาวคือบทแรกของบทกวี
Scallop Ceviche –


เสิร์ฟมาพร้อมแตงกวาสดกรอบ แต่สิ่งที่ทำให้เมนูนี้ไม่ธรรมดาคือ presentation เชฟนำกระดาษบางคลุมถ้วยเซวิเช แล้วจุดไฟเผา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยขึ้นมา ก่อนเผยหอยเชลล์สดหวานในรสซิตรัสเปรี้ยวสดใหม่ บทเปิดที่ทั้งตื่นเต้นและประณีต

Marinated King Prawn with Royal Project Caviar

กุ้งลายเสือหมักอย่างพิถีพิถัน เนื้อแน่นหวาน ตกแต่งด้วยกะหล่ำแดงและคาเวียร์จากโครงการหลวง ความเค็มมันของคาเวียร์ยกมิติรสให้กลมกล่อม

Smoked Salmon Tartare with Crème Fraîche & Dill
ในโลกของอาหารที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยรสชาติที่หนักหน่วง บางครั้งอาหารเรียกน้ำย่อยที่ดีที่สุดก็คืออาหารที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความลึกซึ้ง และ Smoked Salmon Tartare with Crème Fraîche & Dill จานนี้คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของปรัชญานั้น

หัวใจสำคัญของทาร์ตาร์จานนี้อยู่ที่ แซลมอนรมควันเนื้อแน่น ที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเต๋าเล็กๆ อย่างประณีต แซลมอนรมควันชั้นดีจะให้กลิ่นหอมรมควันอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ฉุนจัด แต่แฝงไว้ด้วยความละมุนละไม เนื้อสัมผัสที่แน่นแต่ยังคงความนุ่มนวล เป็นการเปิดฉากที่น่าประทับใจสำหรับมื้ออาหารที่จะตามมา
ส่วนประกอบที่เข้ามาช่วยยกระดับรสชาติให้ทาร์ตาร์จานนี้ขึ้นไปอีกขั้นคือ Crème Fraîche และ Dill ที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม ครีมชีสที่ใช้เป็น Crème Fraîche ไม่ได้มีแค่ความมัน แต่ยังมีความเปรี้ยวเล็กน้อยที่ช่วย ตัดเลี่ยน ได้อย่างชาญฉลาด ความนุ่มนวลของครีมชีสโอบอุ้มชิ้นแซลมอนไว้อย่างอ่อนโยน ในขณะที่ Dill หรือผักชีลาวที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและรสชาติที่สดชื่น ก็เข้ามาช่วยสร้างความสมดุลและเพิ่มมิติให้กับรสสัมผัสโดยรวมได้อย่างลงตัว การผสมผสานนี้ไม่ได้ทำให้รสชาติโดดเด่นไปทางใดทางหนึ่ง แต่เป็นการสร้างความกลมกลืนที่ทำให้ทุกคำที่รับประทานมีความหมาย

ชิ้นนี้จึงไม่ใช่แค่จานเรียกน้ำย่อยทั่วไป แต่เป็น สะพานเชื่อมสู่รสถัดไป อย่างที่กล่าวไว้ เพราะความซับซ้อนที่ถูกสร้างขึ้นอย่างแยบยล ทั้งรสเค็มอ่อนๆ จากแซลมอนรมควัน รสเปรี้ยวบางๆ จากครีมชีส และกลิ่นหอมจากดิลล์ ทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันอย่างมีศิลปะเพื่อเตรียมพร้อมและเปิดต่อมรับรสให้พร้อมสำหรับอาหารจานหลักที่จะมาถึง
Chicken Cookie

หนึ่งในชิ้นที่ playful ที่สุด รูปร่างเหมือนขนมคุกกี้ แต่แท้จริงคือมูสไก่เนื้อเนียน บนหน้ามีแครอทเผ็ดเล็กน้อย เป็นการเล่นสนุกที่สะท้อนสปิริตของแฟชั่น – กล้าผสม กล้าทดลอง
King Crab Sandwich

ขนมปังนุ่มไส้ปูคิงแครบหมัก หอมงาและความหวานธรรมชาติของเนื้อปู ให้รสชาติหรูหราแต่คุ้นเคย
Foie Gras with Blueberry Shortbread

ฟัวกราส์นุ่มละลายในปาก จับคู่กับบลูเบอร์รีและฐานชอร์ตเบรดกรุบกรอบ รสเค็มมันและหวานอมเปรี้ยวตัดกันอย่างลงตัว

Sweet Chapter – ศิลปะแห่งขนมที่พลิกแพลง
Chocolate Bar

ดาร์กช็อกโกแลต 64% เคลือบกานาชถั่วตองกาและวิปคาราเมลรสเค็ม รสเข้มลึกและหรูหราเหมือนจิวเวลรีชิ้นหนึ่ง ประดับประดาเพิ่มความหรูหราน่าสนใจด้วยการปิดแผ่นทองคำเปลวบริสุทธุิ์เกรดรับประทาน

Raspberry Mousse with Cranberry Jelly

มูสราสป์เบอร์รีเปรี้ยวสดฉ่ำ ประดับด้วยเจลลี่แครนเบอร์รี เติมมิติความสดชื่น

Chocolate Praline: การผสานรส Tropical สู่ความหรูหราแบบยุโรป
ในโลกของช็อกโกแลตที่มักจะถูกจำกัดด้วยรสชาติคุ้นเคยอย่างถั่วหรือคาราเมล บางครั้งการได้พบกับความแปลกใหม่ก็เป็นสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นอย่างยิ่ง และ Chocolate Praline with Banana & Coconut Milk ชิ้นนี้คือการเดินทางที่น่าสนใจจากเขตร้อนสู่ยุโรปได้อย่างลงตัว

สิ่งที่ทำให้พราลีนชิ้นนี้โดดเด่นคือการนำเอาวัตถุดิบที่คุ้นเคยในครัวไทยอย่าง กล้วยและกะทิ มาผสานรวมกับเทคนิคการทำขนมของยุโรปจนเกิดเป็นรสชาติที่น่าทึ่ง ไส้ พราลีนกล้วยกับกะทิ ที่ซ่อนอยู่ภายในไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบขนมไทยจ๋า แต่กลับให้รสชาติที่กลมกล่อมและซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ ความหวานหอมของกล้วยสุกถูกยกระดับขึ้นด้วยความละมุนและมันของกะทิ กลายเป็นเนื้อสัมผัสที่นุ่มนวลและรสชาติที่นุ่มลึกอย่างไม่น่าเชื่อ
การหุ้มด้วยไวท์ช็อกโกแลตชั้นบางเบา และการตกแต่งด้วยลวดลายสีทองที่ดูประณีต ทำให้พราลีนชิ้นนี้ดูราวกับไข่มุกที่เปล่งประกาย การนำเสนอที่อยู่ในโหลแก้วพร้อมเกล็ดมะพร้าวละเอียดก็ยิ่งเพิ่มความรู้สึกเหมือนได้เปิดกล่องสมบัติแห่งเขตร้อน ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงแนวคิดของการผสานวัฒนธรรมได้อย่างแนบเนียน
Coconut Financier: ฟิน็องซิเยร์ที่ผสานความหอมหวานแบบไทยๆ เข้ากับความสดชื่นแบบเมดิเตอร์เรเนียน
หากจะมองหาขนมชิ้นเล็กๆ ที่สามารถสร้างความประทับใจได้อย่างยิ่งใหญ่ ฟิน็องซิเยร์ (Financier) คือหนึ่งในคำตอบที่ยอดเยี่ยม และฟิน็องซิเยร์ชิ้นนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประยุกต์รสชาติได้อย่างน่าทึ่ง

ฟิน็องซิเยร์ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อสัมผัสที่แน่นแต่นุ่มชุ่มฉ่ำในตัว และการใช้ มะพร้าว เป็นวัตถุดิบหลักก็ช่วยยกระดับขนมตัวนี้ขึ้นไปอีกขั้น กลิ่นหอมหวานของมะพร้าวอบที่ฟุ้งกระจายออกมาตั้งแต่คำแรกที่สัมผัส เป็นการเชื้อเชิญให้เราได้ลิ้มลองความอร่อยที่ซ่อนอยู่ภายใน เนื้อขนมเต็มไปด้วยความหอมมันของมะพร้าวและเนย แต่ก็ไม่หนักจนเกินไป ทำให้ทุกคำที่รับประทานเต็มไปด้วยความรื่นรมย์

แต่ความสมบูรณ์แบบที่แท้จริงของขนมชิ้นนี้อยู่ที่การนำ เจลมะนาว เข้ามาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เจลใสสีอ่อนนี้ทำหน้าที่เป็นตัวตัดรส (cleanser) ที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ รสเปรี้ยวจัดจ้านของมะนาวช่วย ตัดความหอมหวานของมะพร้าว ได้อย่างลงตัว ทำให้รสชาติของฟิน็องซิเยร์ไม่เลี่ยนจนเกินไป และยังเป็นการ เพิ่มความสดใสและล้างรส ได้เป็นอย่างดี เตรียมพร้อมให้ลิ้นของเราได้เปิดรับรสชาติของขนมหรืออาหารชิ้นถัดไป
Sharing Delights – จุดไคลแมกซ์ของงานศิลป์

Apple-Cinnamon St. Honoré: ชิ้นงานศิลปะแห่งความกรอบ เบา และหอมหวาน
ในโลกของขนมหวานที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ช่างทำขนมบางคนก็เลือกที่จะกลับมาให้ความเคารพแก่ขนมคลาสสิกอย่าง St. Honoré แต่รังสรรค์ให้มันมีชีวิตชีวาและงดงามยิ่งขึ้น ดังเช่น Apple-Cinnamon St. Honoré ชิ้นนี้ที่ไม่ได้เป็นแค่ขนม แต่เป็นผลงานศิลปะที่ละเอียดอ่อนและล้ำลึก

ตัวฐานคือ แป้งพัฟกรอบเบา ที่ถูกอบมาอย่างเชี่ยวชาญจนมีชั้นแป้งที่ละเอียดซับซ้อน พอได้สัมผัสเข้าปากแล้วให้ความรู้สึกกรุบกรอบและเบาหวิวคล้ายปีกผีเสื้อ ก่อนจะละลายหายไปในพริบตา สัมผัสนี้เป็นบทนำที่น่าประทับใจก่อนที่จะได้พบกับพระเอกตัวจริงที่อยู่ด้านบน
เลเยอร์ถัดมาคือ ครีม Chantilly ที่ถูกบีบออกมาเป็นวงเกลียวอย่างประณีตราวกับเปลือกหอยสังข์ ครีมตัวนี้ไม่ได้หวานเลี่ยน แต่มีรสชาติที่นุ่มนวลละมุนลิ้น ช่วยตัดรสชาติและความเข้มข้นของส่วนประกอบอื่นๆ ได้อย่างลงตัว ราวกับเป็นผืนผ้าใบสีขาวที่รอการแต่งแต้ม

จุดเด่นที่ทำให้ขนมชิ้นนี้แตกต่างและน่าหลงใหลคือ คอมโพ้ตแอปเปิ้ลหอมอบเชย ที่ซ่อนอยู่ด้านใน แอปเปิ้ลถูกเคี่ยวจนได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มนวลแต่ยังคงความเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ได้เคี้ยวเพลินๆ กลิ่นหอมอบอุ่นของอบเชยที่แฝงมานั้นไม่ใช่แค่เครื่องเทศ แต่เป็นตัวช่วยชูรสชาติของแอปเปิ้ลให้มีความซับซ้อนและน่าค้นหามากขึ้น กลิ่นหอมนี้จะลอยขึ้นมาแตะจมูกทันทีที่ตักเข้าปาก เหมือนกับได้เดินเข้าไปในสวนแอปเปิ้ลในฤดูใบไม้ร่วง
ส่วนที่ทำให้ขนมชิ้นนี้กลายเป็นไฮไลต์ที่ไม่อาจละสายตาได้คือ เจลแอปเปิ้ลสีแดงใสวาวราวกับทับทิม ที่วางอยู่ตรงกลาง เจลนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นตัวช่วยเพิ่มรสชาติแอปเปิ้ลที่เข้มข้นและสดชื่นเข้ามาอีกมิติหนึ่ง เมื่อแสงส่องกระทบ เจลจะเปล่งประกายคล้ายอัญมณีล้ำค่า เป็นการยืนยันว่าขนมชิ้นนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรูป รส หรือกลิ่น
Apple-Cinnamon St. Honoré ชิ้นนี้จึงเป็นมากกว่าขนมหวาน มันคือประสบการณ์ที่ครบครัน ทั้งรสสัมผัสที่หลากหลายจากความกรอบ เบา และนุ่มนวล กลิ่นหอมอบอุ่นที่ชวนฝัน และรูปลักษณ์ที่งดงามราวกับงานศิลปะชั้นสูง เป็นตัวอย่างชั้นดีของการผสมผสานระหว่างเทคนิคการทำขนมแบบดั้งเดิมกับความคิดสร้างสรรค์สมัยใหม่ได้อย่างลงตัว
Chocolate Passion Fruit Mousse Tarte: การเต้นรำของความเข้มข้นและความสดชื่น
ในโลกของช็อกโกแลตที่บางครั้งก็ถูกจำกัดด้วยความหนักแน่นและเข้มข้น มีช่างทำขนมบางรายที่กล้าฉีกกรอบและสร้างสรรค์รสชาติที่เหนือความคาดหมาย ดังเช่น Chocolate Passion Fruit Mousse Tarte ชิ้นนี้ ที่เป็นบทเพลงอันไพเราะของความเข้มข้นและความสดชื่นที่บรรเลงร่วมกันอย่างลงตัว

หัวใจหลักของทาร์ตชิ้นนี้คือ ดาร์กช็อกโกแลต 70% จากชุมพร ซึ่งเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพของโกโก้ ดาร์กช็อกโกแลตเบสตัวนี้ให้รสชาติที่ลึกซึ้งและซับซ้อน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของโกโก้ไทยที่ไม่ได้มีแค่ความขม แต่ยังมีความหอมของผลไม้และดอกไม้บางๆ แฝงอยู่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่แพ้ช็อกโกแลตจากแหล่งอื่นๆ ของโลก เนื้อสัมผัสของมูสช็อกโกแลตนั้นเนียนนุ่มละมุนลิ้นราวกับก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า เมื่อตักเข้าปากมันจะค่อยๆ ละลาย เผยให้เห็นถึงรสชาติช็อกโกแลตที่เข้มข้นแต่ไม่หนักจนเกินไป
ความโดดเด่นที่ทำให้ทาร์ตชิ้นนี้ไม่ธรรมดาคือการจับคู่กับ แพสชันฟรุต (Passion Fruit) หรือเสาวรส ที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวสร้าง contrast ที่น่าทึ่ง รสชาติเปรี้ยวสดชื่นและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเสาวรสเข้ามาช่วยตัดความเข้มข้นของดาร์กช็อกโกแลตได้อย่างชาญฉลาด มันไม่ใช่แค่การเพิ่มรสชาติ แต่เป็นการสร้างมิติใหม่ให้กับประสบการณ์การรับประทาน จากเดิมที่อาจจะรู้สึกหนักหน่วงด้วยช็อกโกแลต แต่เมื่อมีเสาวรสเข้ามา ความรู้สึกหนักนั้นจะถูกแทนที่ด้วยความมีชีวิตชีวาและความสดชื่นที่ปลุกประสาทสัมผัสให้ตื่นตัว

การตกแต่งก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียด ผลไม้เชื่อมสีเหลืองสดใส ที่วางประดับอยู่ด้านบน ไม่เพียงแต่เพิ่มสีสันที่ตัดกับสีเข้มของช็อกโกแลตได้อย่างงดงาม แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงรสชาติเปรี้ยวอมหวานของเสาวรสที่ซ่อนอยู่ภายใน และปิดท้ายด้วยความหรูหราจาก ทองคำเปลว ที่โรยอยู่ประปราย สะท้อนถึงความประณีตและคุณค่าของวัตถุดิบที่ใช้
Chocolate Passion Fruit Mousse Tarte จึงไม่ใช่แค่ขนมหวานช็อกโกแลตธรรมดา แต่เป็นบทเรียนของการสร้างสมดุลแห่งรสชาติ เป็นการพิสูจน์ว่าความเข้มข้นสามารถอยู่ร่วมกับความสดชื่นได้อย่างกลมกลืน และสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับผู้ที่ได้ลิ้มลอง ราวกับได้ชมการเต้นรำอันสง่างามของสองขั้วรสชาติที่แตกต่างแต่เติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างสมบูรณ์แบ
Atelier Macaron with Blackcurrant Ganache –ฃ

มาการงไส้แบล็กเคอร์แรนต์แกนาช เสิร์ฟมาในกล่องจิเวอรี่ SIRIVANNAVARI ราวกับเป็นอัญมณีที่รอการค้นพบ

The Classic Ending – สโคนที่สมบูรณ์แบบ
PQuery successful
Scones: เมื่อความเรียบง่ายคือความสมบูรณ์แบบที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ในโลกของขนมอบแบบอังกฤษที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และธรรมเนียมปฏิบัติ ขนมที่ดูเรียบง่ายอย่าง Scones กลับเป็นสิ่งที่ตัดสินว่าร้านชาหรือเบเกอรี่นั้นๆ มีความเข้าใจในแก่นแท้ของขนมอบคลาสสิกนี้ได้มากแค่ไหน และสโคนชุดนี้คือคำตอบที่ชัดเจนว่าพวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้

สิ่งที่ทำให้สโคนชุดนี้โดดเด่นคือการใช้เทคนิคที่ชาญฉลาดเพื่อรักษาสัมผัสที่สำคัญที่สุดของสโคนไว้ นั่นก็คือ ความร่วนเบา และนี่คือจุดที่ความรู้เรื่องวัตถุดิบเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่ง การเลือกใช้ สตรอว์เบอร์รีอบแห้งจากโครงการหลวง สำหรับสโคนรสสตรอว์เบอร์รีนั้นไม่ใช่แค่การเลือกวัตถุดิบคุณภาพดี แต่เป็นการตัดสินใจทางเทคนิคที่ล้ำลึก เพราะสตรอว์เบอร์รีอบแห้งจะช่วยป้องกันปัญหาเรื่องความชื้นที่อาจทำให้แป้งสโคนหนักและแฉะ และยังคงมอบรสชาติและกลิ่นหอมของสตรอว์เบอร์รีได้อย่างเต็มที่ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดที่เกินกว่าความคาดหวัง
เมื่อได้ลิ้มลอง Plain Scones จะสัมผัสได้ถึงความร่วนและเบา เนื้อแป้งละเอียดที่ไม่หนาหนัก มีกลิ่นหอมเนยอ่อนๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของสโคนคลาสสิก ในขณะที่ Royal Project Strawberry Scones จะมอบรสชาติที่สดชื่นและมีรสเปรี้ยวหวานที่สมดุลจากชิ้นสตรอว์เบอร์รีอบแห้งที่แทรกอยู่ทั่วชิ้น เป็นการเพิ่มมิติให้กับรสชาติโดยไม่ไปบดบังความงามของเนื้อแป้งเดิม

แต่สโคนที่สมบูรณ์แบบจะขาดคู่หูที่ลงตัวไปไม่ได้ และการเสิร์ฟพร้อมกับ คลอตเต็ดครีม (Clotted Cream), เลมอนเคิร์ด (Lemon Curd) และ แยมเบอร์รี นั้นคือการจับคู่ที่ไร้ที่ติ คลอตเต็ดครีมที่มีเนื้อสัมผัสเข้มข้นแต่เบานุ่มราวกับวิปครีม เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับสโคนแท้ๆ เลมอนเคิร์ดที่มีรสเปรี้ยวอมหวานจะเข้ามาช่วยตัดความหนักของครีมและเนยได้อย่างยอดเยี่ยม และแยมเบอร์รีก็เป็นตัวเติมเต็มความหอมหวานสดชื่นที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การรับประทานให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
Tea Pairing: เมื่อน้ำชาเป็นดั่งน้ำหอมของมื้อบ่าย
หากมื้ออาหารชั้นเลิศคือซิมโฟนีที่บรรเลงด้วยรสชาติ อาหารจานหลักก็คือท่วงทำนองหลัก ส่วนชาที่เสิร์ฟคู่กันก็คือเครื่องดนตรีที่ช่วยเติมเต็มและขับเน้นให้บทเพลงนั้นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น การเลือกชาที่นี่จึงไม่ใช่แค่การจิบเครื่องดื่ม แต่เป็นการจับคู่ที่ละเอียดอ่อนราวกับนักปรุงน้ำหอมที่สร้างสรรค์กลิ่นเฉพาะตัวให้กับแต่ละช่วงเวลา

การจัดแสดงชาที่ให้ลูกค้าได้เลือกและสัมผัสกลิ่นก่อนตัดสินใจ เป็นการแสดงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ากลิ่นหอมนั้นมีบทบาทสำคัญไม่แพ้รสชาติ ชาแต่ละตัวมีบุคลิกและเรื่องราวของตัวเอง

- Ispahan Rose: ชาตัวนี้ไม่ได้เป็นแค่เครื่องดื่ม แต่เป็นความหอมหวานโรแมนติกที่อบอวลไปด้วยกลิ่น กลีบกุหลาบ และ ราสป์เบอร์รี ที่ซ่อนความเปรี้ยวเล็กๆ ไว้ ชาเบลนด์นี้ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในการ เติมโรแมนซ์ให้กับ St. Honoré เพราะความหอมละมุนของกุหลาบจะช่วยชูรสชาติของครีมและกลิ่นหอมของแป้งพัฟได้อย่างลงตัว ขณะที่รสเปรี้ยวของราสป์เบอร์รีจะช่วยตัดความหวานของขนมได้อย่างพอดิบพอดี
- Grandmother’s Fruit Tray: ชาตัวนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยราวกับได้นั่งจิบชาในบ้านคุณย่า กลิ่นของมันหอมหวลด้วย ผลไม้อบแห้งนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิล ลูกแพร์ หรือลูกพลัม ซึ่งให้ความรู้สึกหนักแน่นและซับซ้อนกว่าชาผลไม้ทั่วไป ชาตัวนี้จึง จับคู่ได้ดีกับมาการงและช็อกโกแลต เพราะกลิ่นผลไม้อบแห้งจะช่วยตัดความหวานและขับรสชาติของช็อกโกแลตให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การมี ชาเบลนด์ซิกเนเจอร์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อ ขับรสหวานและคาวให้กลมกลืน ยิ่งเป็นการย้ำว่าที่นี่ไม่ได้มองชาเป็นเพียงแค่เครื่องดื่มแก้กระหาย แต่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การรับประทานที่ต้องคิดมาอย่างดีแล้ว ชาแต่ละแก้วจึงเป็นเสมือน “น้ำหอมของมื้อบ่าย” ที่ช่วยเติมเต็มและยกระดับให้ทุกคำที่รับประทานมีเสน่ห์และน่าจดจำยิ่งขึ้น
บทสรุป – Afternoon Tea ที่สะท้อนทั้งแฟชั่นและรสชาติ
‘Atelier Tea Reverie’ คือ มากกว่า Afternoon Tea – มันคือบทสนทนาระหว่างแฟชั่น จิวเวลรี และศิลปะการทำขนม ที่ร้อยเรียงเข้าด้วยกันอย่างงดงาม
ในราคา 3,200++ บาท สำหรับ 2 ท่าน เสิร์ฟทุกวัน 13.00–18.00 น. ที่ Lobby Lounge, Sindhorn Kempinski Bangkok คุณจะได้สัมผัสกับ “ช่วงเวลายามบ่ายที่กลายเป็นงานศิลป์” อย่างแท้จริง
Atelier Tea Reverie Sindhorn Kempinski Bangkok x SIRIVANNAVARI
#AtelierTeaReverie #SindhornKempinski #Sirivannavari #BangkokAfternoonTea #LuxuryAfternoonTea #HighTeaBangkok #LuxuryLifestyleThailand #BangkokDining #AfternoonTeaExperience
Kin Review
Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์