ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีร้านอาหารญี่ปุ่นเกิดใหม่มากมาย โดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา มีร้านอาหารญี่ปุ่นระดับโอมากะเสะ เปิดขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าร้านไหนก็มีคอนเซป และวัตถุดิบที่คล้ายๆกันไปหมด ต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่วันนี้ kinlakestars.com จะขอแนะนำร้านอาหารแห่งใหม่ที่จะเปลี่ยนประสบการณ์การกินอาหารญี่ปุ่น ที่ไม่เหมือนใคร ที่ “Kintsugi by Jeff Ramsey” แห่งโรงแรม The Athenee Bangkok ครับ Kinlakestars.com Chef Jeff Ramsey Kintsugi by Jeff Ramsey เมนูและคอนเซปของร้าน คินสุกิ (Kinstugi) แห่งนี้ได้ เซเลบริตี้เชฟ ลูกครึ่ง ญี่ปุ่น-อเมริกัน คนดัง คือ เจฟ แรมซีย์ (Jeff Ramsey) ซึ่งสั่งสมประสบการณ์การทำอาหารมามากกว่า 20 ปี ได้เรียนรู้อาหารทั้งตะวันตก และตะวันออก เคยบริหารร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จจนได้ดาวมิชลินมาอย่าง Babe ที่ Malaysia ทำให้รับประกันได้ถึงความสามารถการสร้างสรรค์เมนู ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ และการดำเนินการภายในร้านอาหาร ชื่อของร้าน Kinstugi นั้นได้มากจากชื่อของศิลปะโบราณของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการซ่อมแซม ตกแต่งรอยร้าวของเครื่องเคลือบที่เกิดขึ้นด้วยสีทอง เพื่อให้เกิดลวดลายใหม่ ที่สวยงามและโดดเด่น และมีโลโก้เป็นใบแปะก๊วย โดยตัวความหมายของใบแปะก๊วยจะสื่อความหมายถึงความทนทานและประวัติศาสตร์อันยาวนาน เนื่องจากต้นแปะก๊วยเป็นต้นไม้ที่มี อายุเก่าแก่ ที่สุดที่หลงเหลืออยู่หลังสงครามโลก จากตำนานของต้นแปะก๊วย 4 ต้นที่เติบโตในเมืองฮิโรชิม่า ซึ่งถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูในปี พ.ศ. 2488 ยังคงยืนหยัดอยู่จนได้จนถึงทุกวันนี้ (ซึ่งปี พ.ศ. 2488 เป็นปีเกิดของมารดาของเชฟแรมซีย์อีกด้วย) The Menu เมนูที่เสิร์ฟในร้าน Kintsugi นี้จะเป็นเมนูที่ตั้งต้นมาจากอาหารญี่ปุ่นแบบ ไคเซกิ หรือ ชุดอาหารญี่ปุ่นแบบ full course ที่เราพบตามเรียวกังหรูๆ เวลาไปพักผ่อนที่ญี่ปุ่นนั่นเอง โดยทั่วไปไคเซกิ อาจจะเสิร์ฟมาทีเดียวเต็มโต๊ะ หรือค่อยๆเสิร์ฟทีละจานแบบที่เราคุ้นเคยกับอาหารตะวันตกก็ได้ ในส่วนของวัตถุดิบเชฟจะทำวัตถุดิบจากภูมิภาคตะวันตกของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เชฟถนัดมากเนื่องจากเติบโตที่นั่นมาใช้เป็นหลัก ผสมผสานเชื่อมวัตถุดิบในประเทศไทยบางส่วน…
Author: athiwat tripipitsiriwat
ในเดือน ธันวาคม 2019 ที่ผ่านมาพบว่ามีการระบาดของโรคปอดอักเสบปริศนาในเขตเมือง อู่ฮั่นประเทศจีน ที่ผ่านมาซึ่ง ขณะนี้เป็นที่ทราบกันแล้วว่าเกิดจากการระบาดของเชื้อไวรัสกลุ่ม โคโรน่าไวรัส ซึ่งเรียกกันในสื่อขณะนี้ว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ novel coronavirus 2019 ซึ่งสถานการณ์การเพิ่มขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ควรมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด จากการติดตามการดำเนินโรค และ ลักษณะอาการของผู้ป่วยมาระยะหนึ่งทำให้ แพทย์เริ่มมีข้อมูลของโรคนี้มากขึ้นครับ ล่าสุดวารสารทางการแพทย์ระดับโลกนั่นคือ Lancet Journal ได้ตีพิมพ์ลักษณะ อาการของผู้ป่วย 41 รายที่ติดเชื้อปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาตัวนี้ทำให้เราได้ข้อมูลที่สำคัญหลายประการสำหรับการวินิจฉัยการติดเชื้อ โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ครับ ซึ่งเราจะนำข้อมูลสรุปสำคัญจากบทความดังกล่าวมาสรุปให้ผู้อ่านทุกท่านครับ อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยอยู่ที่ 41 ปีอาการพบว่ามีไข้ (>37.3 องศาเซลเซียส) 98%, ไอ 76% , ไอแบบมีเสมหะ 28% และมีอาการหอบเหนื่อยทั้งหมด 55% โดยระยะเวลาตั้งแต่เจ็บป่วยจนถึงมีอาการหอบเหนื่อย เฉลี่ยอยู่ที่ 8 วันไม่พบว่ามีอาการเจ็บคอในผู้ป่วยทั้ง 41 รายมีอาการรุนแรง 20% และ อัตราตายทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 15% ทั้งๆที่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ข้อมูลการสืบจากวิเคราะห์สารพันธุกรรมพบว่าค่อนข้างใกล้เคียงกับ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่พบอยู่ในค้างคาว หรือ ตัวอีเห็น (ซึ่งตลาดอู่ฮั่นก็ขายตัวพวกนี้ !) จากข้อมูลจะเห็นว่าการดำเนินโรคของเชื้อไวรัสตัวนี้ในปัจจุบันค่อนข้างคล้าย SARS และ MERS ที่มีการระบาดในช่วงปี 2003 และ 2014 ตามลำดับ อัตราการเสียชีวิตสูงกว่า SARS (อัตราเสียชีวิต 10%) แต่ยังน้อยกว่า MERS (อัตราเสียชีวิต 30%) โดยอาการที่น่าเป็นห่วงสำหรับการติดเชื้อตัวนี้คือ อาการที่เป็นไข้ ไอ และมีหอบเหนื่อยตามมา โดยที่อาการน้ำมูกเจ็บคอไม่เด่น ซึ่ง ตรงจุดนี้จะเป็นอาการที่แยกได้กับไวรัสหวัดทั่วไปครับ เพราะ ไวรัสหวัดทั่วไปนั้น จะมีอาการไข้เพียง 2-3 วันแรก ไม่มีอาการหอบเหนื่อยตามมา และ มักมีน้ำมูกเจ็บคอเด่น เนื่องจากโรคนี้มีจะเกิดก็ต่อเมื่อมีการสัมผัสเท่านั้น ดังนั้น วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือ การไม่เดินทางไปยังบริเวณที่มีการระบาด สถานที่ชุมชนครับ นอกจากนั้นควรมีการดูแลตัวเอง…
เมื่อพูดถึง ร้านอาหารระดับ Fine dining ในกรุงเทพฯ ขณะนี้ Sra Bua by Kiin Kiin แห่งโรงแรมสยามเคมปินสกี้ น่าจะเป็นชื่อต้นๆ ที่ทุกคนต่างนึกถึง การันตีด้วยรางวัล michelin star 1 ดาว ตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มมีการแจกรางวัลในประเทศไทย วันนี้ kinlakestars.com ได้นำอัพเดต course menu dinner ล่าสุดของร้านคือ The Winter Journey มาให้ทุกท่านชมกันครับ ซึ่งนอกจากจะอัพเดตเมนูใหม่ๆ แล้ว ตัว course menu ของ Sra bua นั้นยังปรับเวลาให้เหมาะสม และยืดหยุ่นมากขึ้น โดยใช้เวลาทั้งคอร์สอยู่ที่ 2 ชม. ครึ่ง และ รับ last order จนถึงเวลา 21.00 น. เพื่อให้สามารถต้อนรับผู้สนใจทุกท่านได้มากขึ้นครับ The Winter Journey Dinner ตัว course menu นี้ได้ออกแบบโดยเน้นเรื่องราวในฤดูหนาว (อิงตามฤดูกาลในเวลานี้ตามประเทศต้นกำเนิดของร้าน Kiin Kiin คือที่ Copenhagen, Denmark) โดยจะเป็นเมนู fine dining อาหารไทยที่มีการผสมผสานอาหารที่มีรูปลักษณ์ และสัญลักษณ์ของหิมะ ควัน เปลวไฟ ให้ความรู้สึกอบอุ่น และอิ่มเอม ด้วยเทคนิคแบบ Molecular ตาม expertise ของเชฟ เฮนริค และ เชฟ ชยวีร์ ตัว course menu ครั้งนี้จะประกอบด้วยอาหารทั้งหมด 8 courses พร้อมด้วย complimentary เป็น snack & street food เอกลักษณ์หนึ่งของร้าน Sra…
วันนี้ kinlakestars.com จะขอแนะนำคอร์สเมนูสุด Exclusive ที่เหมาะเป็นอย่างยิ่งในการเริ่มต้นปีใหม่นี้ จากห้องอาหารที่มีประวัติ และชื่อเสียงมายาวนานคือ Madison ณ โรงแรมอนันตรา สยาม เพราะคอร์สนี้เป็น คอร์สเมนูแห่ง “ชัยชนะ” นั่นเอง ซึ่ง เชฟริค ดินเจน (Rick Dingen) ได้ไปท้าชิงในรายการ Iron Chef Thailand และได้ชัยชนะ ด้วยคะแนนความอร่อยถึง 49/50 คะแนน ! Madison Steak House มาทำความรู้จักกับเชฟกันก่อนเลยครับ … เชฟริค ดินเจน (Rick Dingen) เป็นชาวเนเธอร์แลนด์ ซึ่งขณะนี้ได้ตำแหน่งเป็นหัวหน้าพ่อครัว ประจำห้องอาหาร Madison Steakhouse ได้สั่งสมประสบการณ์ความสามารถและพัฒนาฝีมือ ตั้งแต่อายุ 16 ปี และด้วยพรสวรรค์ เชฟริค ได้ขึ้นเป็นถึง Sous Chef ประจำห้องอาหารมิชลินสตาร์หนึ่งดาว ในเนเธอร์แลนด์ด้วยวัยเพียง 27 ปีเท่านั้น ซึ่งเชฟมีความเป็นกันเอง สดใส เชฟมาแนะนำอาหารทุกจานด้วยตัวเอง เชฟได้โชว์ทั้งความสามารถในการทำอาหาร และเสน่ห์ในรายการ Iron Chef Thailand และได้รับชัยชนะในโจทย์วัตถุดิบหลัก “ตับไก่” ในเทปที่เพิ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2563 ที่ผ่านมานี่เอง ทาง Madison จึงได้เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้ลิ้มลองคอร์สสุดพิเศษนี้ซึ่งจะจัด ถึงเพียงแค่ 29 ก.พ. 2563 นี้เท่านั้น The Menu ในคอร์สเมนูนี้ได้นำเมนูทุกเมนูที่ทำจริงในรายการ Iron Chef มาทั้งหมดตั้งแต่จานหลัก 4 รายการจากวัตถุดิบหลัก “ตับไก่” ไปจนถึงเมนูจากโจทย์ ของหวาน fine dining จากแผ่นแป้งเกี๊ยว รวมประกอบกันเป็นเมนูห้าคอร์ส พร้อม amuse bouche ขนมปังและ coffee & tea ซึ่ง…
เนื่องจากสถานการณ์ COVID19 ทำให้ตารางการเดินเรือของ safforn เปลี่ยนไป จึงขอ update เรื่องการขึ้นเรือไว้ตรงนี้ครับผม (Update: 9Sept2020)เรือแซฟฟรอน ครูซออกจาก: ท่าเรือไอคอน สยาม 2เวลา: 18.30น (ศุกร์ / เสาร์ / อาทิตย์)ใช้เวลาล่องเรือ: 2 ชั่วโมง (โดยประมาณ)ต้องจองล่วงหน้าที่ 02 679 1200 หรือ [email protected] เท่านั้นครับKinlakestars, Banyan Tree Bangkok Fanpage วันนี้ Kinlakstars.com จะขอกล่าวถึง Destination ใหม่ของกรุงเทพฯ ที่จะเปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารบนแม่น้ำเจ้าพระยา อีกครั้งนั่นคือ Saffron Cruise เรือลำใหม่ จากโรงแรมสุด Classy บันยันทรี กรุงเทพฯ นั่นเองครับ Ep 2. นี้เราจะเล่าถึงรอบ dinner ต่อจากคอลัมน์ก่อนหน้า (รอบSunset) Saffron Cruise เป็นเรือขนาดใหญ่ที่ ซึ่งมีความยาวของตัวเรือถึง 38 เมตร มีห้องครัวร้อนบนเรือ สามารถปรุงอาหารได้สดใหม่ ตัวห้องอาหารอยู่ที่ตัวเรือชั้นล่างได้ตกแต่งเป็นห้องอาหารสุดโรแมนติกด้วยโทนสีดำ และ เครื่องทองแดง สไตล์โมเดิร์น นั่งสบาย แม้แต่ในห้องน้ำยังมีทัศนียภาพที่งดงาม อีกทั้งการตกแต่งที่มีรสนิยม แทบดูไม่ออกเลยว่าเป็นห้องน้ำบนเรือ ทั้งสบู่ โลชั่น และผ้าเช็ดมือ ดอกไม้สด อีกทั้งความกว้างขวางและความนิ่งของเรือ นอกจากอาหารก็ยังมีการแสดงการเต้นรำทั้ง 4 ภาคให้ดูกันในระยะประชิดไปพร้อมกับการกินอาหาร ไปจนถึงการแสดงโขนที่สวยงามและสนุกสนาน ทำให้เหมาะแก่การพาแขกชาวต่างชาติมาเยี่ยมชมอย่างมาก ทัศนียภาพ Saffron Cruise ความสูงออกแบบมากำลังพอเหมาะกับการล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เราสามารถถ่ายภาพริมแม่น้ำ ได้ด้วยมุมสุดพิเศษ ซึ่งไม่สามารถพบได้ที่เรือลำอื่น เพราะเรือลำนี้สูงกว่าลำอื่นมาก ตอนแล่นผ่านสะพานพุทธฯหัวแทบเฉียดกับท้องสะพาน หากยืนยกมือสามารถแตะท้องสะพานได้เลยทีเดียว ซึ่งเราจะสามารถชมวิวได้ทั้งส่วนบาร์ชั้นบน และ ห้องอาหารชั้นล่าง ส่วนชั้นบนของเรือเป็นลักษณะของ บาร์แบบเปิดโล่ง สามารถรับชมวิวของกรุงเทพฯ ครบทั้ง 360 องศาในมุมพิเศษ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความเชี่ยวชาญของโรงแรมบันยันทรี ที่มีร้านอาหารที่โดดเด่นในเรื่องของวิว เช่น…
ในครั้งนี้ Kinlakestars.com มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอทริปสุดพิเศษ ที่รีสอร์ตระดับโลกในประเทศไทย นั้นคือ Soneva Kiri หากเราพูดถึงโรงแรมและรีสอร์ทหรู ในหัวหลายๆท่านมักนึกถึงแบรนด์ 5 ดาว ที่อยู่ในแบรนด์ Inter ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเครือ Marriott, Accor, Hyatt, Hilton ฯลฯ ส่วนแบรนด์ไทยๆดังๆก็มีมากมาย แต่ Soneva อาจจะมีหลายท่านที่ไม่คุ้นหู หรือ ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้อง Soneva “Luxury must be comfortable, otherwise it is not…” Coco Chanel quotes นี่เป็นถ้อยแถลงสุดอมตะของผู้ก่อตั้งแบรนด์สุด Luxury ระดับโลก ที่ชี้ให้เห็นว่าความหรูหราต้องสะดวกต้องสบาย ถ้าไม่รู้สึกสะดวกไม่รู้สึกสบายนั้นไม่ใช่ “Luxury” https://youtu.be/8pecK7_peWA ในหลายๆสถานที่ เราอาจรู้สึกว่าดูแพงดูดี งดงาม แต่อาจไม่รู้สึกสะดวกใจสบายอารมณ์ บางครั้งการบริการที่ประกบและมาแบบเป็นทางการมากจนเกินไปอาจทำให้รู้สึกอึดอัด การออกแบบที่อัดแน่นด้วยของแพงๆหรือแม้แต่ทุกอย่างที่ดีอาจไม่ทำให้เรารู้สึกสบาย แต่ไม่ใช่ที่ Soneva แน่นอน เรามาดู 10 เหตุผลกันเลยดีกว่าครับ ! 2-Bedroom-Sunset-Ocean-View-Pool-Retreat-Villa-53 (หลังที่เราพักนั้นเอง) 1. Unique & Sustainable Architecture สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างอาคารและทางเดินที่สร้างไปตามความลาดชันของพื้นที่เดิมและไม่ปิดพื้นผิวเดิมด้วยคอนกรีตแต่เลือกใช้วัสดุที่น้ำซึมผ่านลงชั้นดินได้ สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้วยตัวโรงแรมตั้งอยู่บนเกาะซึ่งไม่ใช่เป็นพื้นที่ราบเป็นพื้นที่ที่มีความสูงชันเดินเขาขึ้นลงดังนั้นเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและกระทบกับพื้นที่เดิมให้น้อยที่สุดผู้ออกแบบจึงแทบจะไม่ไปยุ่งกับความลาดชันเดิมแต่ใช้วิธีให้อาคารเกาะและวางตัวไปตามความลาดชันเดิมซึ่งถือเป็นความท้าทายในการออกแบบ ทางเดินภายในโรงแรม นอกจากนี้อาคารทั้งหมดมีการสัมผัสพื้นผิวอย่างแผ่วเบา คือหากถ้าเราดูอาคารทั่วไปที่สร้างอยู่ในเมืองหรือหลายๆที่ อาคารจะมีลักษณะสร้างขึ้นจากพื้นเป็นฐานขึ้นไปเรื่อยๆแต่สำหรับที่โซเนวาคีรีนี้ อาคารเกือบทุกหลังจะตั้งอยู่บนเสาที่ยกระดับขึ้นมาและไม่ใช่ยกระดับเพียงเพื่อพ้นดินมาเล็กน้อยแต่อยู่ในระดับที่สูงพอที่จะทำให้ลมสามารถผ่านใต้อาคารได้ถึงขนาดคนสามารถเดินทะลุผ่านได้ซึ่งทำให้ไม่กระทบกับระบบนิเวศพื้นดินเดิมที่อยู่ภายใต้อาคาร ยังสามารถให้น้ำซึมลงพื้นดินได้และมีพืชขึ้นได้ 2-Bedroom-Sunset-Ocean-View-Pool-Retreat-Villa-53 (หลังที่เราพักนั้นเอง) : ด้านหลังของ Master Bed room นอกจากนี้อาคารต่างๆยังถูกออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนชื้นมีการยื่นชายคาอย่างเหมาะสมและลงตัว ทั้งวัสดุที่ใช้ประกอบอาคารนั้นใช้ไม้ทั้งหมด บางส่วนเสริมโครงสร้างด้วยการยึดจากแผ่นเหล็ก สลิงและการใช้โครงสร้างผ้าใบผสมผสาน Six Sense Spa ตัว Pool villa ของ Soneva ถูกออกแบบมาอย่างดีและกว้างขวาง มีทั้งตัวเรือนหลัก ห้องแต่งตัว ทำจากไม้ที่นำเข้าจากนิวซีแลนด์ทั้งหลังที่ไม่ทาสี ใช้สารเคลือบหรือเคมีใดๆ ถูกขัดและทำความสะอาดอย่างดีไร้เสี้ยนฝุ่นหรือสิ่งสกปรก 2-Bedroom-Sunset-Ocean-View-Pool-Retreat-Villa-53 (หลังที่เราพักนั้นเอง) มีพื้นที่อาบน้ำกลางแจ้ง…
Ep.1 : นำชมโซนCo-Eating การันตีความอร่อยระดับมิชลินไกด์ (Michelin Guide) Michelin Guide Thai Street Food Deck ‘มุมอาหารไทยระดับมิชลินไกด์’ ประกอบด้วยร้านดัง ไม่ต้องไปไหนไกล ไม่ต้องจ้างใครไปซื้อ ที่นี้มีหมดDr. Athiwat T. ห้างสรรพสินค้า Central @CTW สร้างความฮือฮาอีกครั้ง จัดกิจกรรมฉลองการพลิกโฉมแผนกโฮมคอนเซ็ปต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “Living House” Co-Living & Eating Space ที่ชั้น 7บนพื้นที่ กว่า 5,000 ตารางเมตรให้กลายเป็นจุดหมายปลายแห่งทางใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ช้อปปิ้งให้สนุก และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ให้ได้มาใช้ชีวิต พร้อมเติมเต็มความสุขเสมือนบ้านหลังที่สอง ในครั้งนี้เราขอพาทุกท่านมาพบกับ Living House @ CTW โซนCo-Eating (โค-อีทติ้ง)ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเอาใจคนรักการรับประทานอาหาร ด้วยร้านอาหารที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีหลากร้านหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารจานหลักจานรองที่คุณสามารถเลือกสั่งเมนูโปรดจากร้านใดก็ได้ในโซนนี้มารวมเป็นมื้อเดียวกัน ซึ่งการันตีความอร่อยระดับมิชลินไกด์ (Michelin Guide) Michelin Guide Thai Street Food Deck ‘มุมอาหารไทยระดับมิชลินไกด์’ ประกอบด้วยร้านดัง อาทิ Ten Suns ไร้เทียมทาน ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสูตรเก่าแก่ร้อยกว่าปี เจ้าเก่าแยกวิสุทธิกษัตริย์ ใช้เนื้อคุณภาพดีในราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ต้องหาที่จอดหรือเดินทางไกลก็ได้กินแบบลวกใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ ลิ้มเหล่าโหงว โดดเด่นด้วย คุณภาพ และรสชาติของลูกชิ้นปลาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลิ้มเหล่าโหงว ตำนานบะหมี่ลูกชิ้นปลากระโดดได้ ได้สร้างสรรค์ความอร่อยยาวนานกว่า 80 ปี โดดเด่นด้วย คุณภาพ และรสชาติของลูกชิ้นปลาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ยังคงรักษาเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ที่จะทำอาหารที่อร่อยและมีคุณภาพ ลูกชิ้นปลาของร้านนี้นั้น มาจากปลาทะเลตัวโต สดใหม่ คัดสรรเฉพาะเนื้อปลาล้วนๆ ผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถัน และเต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ จนออกมาเป็น “ลูกชิ้นปลา” ที่มีความอร่อย เหนียวนุ่ม กรอบเด้ง โดยปราศจากแป้ง และสารเคมีเจือปน จึงเป็นที่ถูกใจ เป็นที่ชื่นชอบ และเข้าไปอยู่ในใจของผู้ได้ลิ้มรส เรื่องราวความอร่อยของลูกชิ้นปลาของร้านนี้ ถูกบอกเล่ากันไปแบบปากต่อปาก จนได้รับการขนานนามว่า “ลูกชิ้นปลา กระโดดได้” อองตอง ร้านข้าวซอยตำรับโบราณจากเชียงใหม่ ข้าวซอนเส้นกรอบ ซุปมันข้นรสถูกปากคนภาคกลางไม่เผ็ดไป กลอมกล่อม รสที่ถูกปรับมาแล้วทำให้ถูกปาก…
เนื่องจากสถานการณ์ COVID19 ทำให้ตารางการเดินเรือของ safforn เปลี่ยนไป จึงขอ update เรื่องการขึ้นเรือไว้ตรงนี้ครับผม (Update: 9Sept2020)เรือแซฟฟรอน ครูซออกจาก: ท่าเรือไอคอน สยาม 2เวลา: 18.30น (ศุกร์ / เสาร์ / อาทิตย์)ใช้เวลาล่องเรือ: 2 ชั่วโมง (โดยประมาณ)ต้องจองล่วงหน้าที่ 02 679 1200 หรือ [email protected] เท่านั้นครับKinlakestars, Banyan Tree Bangkok Fanpage วันนี้ Kinlakstars.com มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้แนะนำ Destination ใหม่ของกรุงเทพฯ ที่จะเปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารบนแม่น้ำเจ้าพระยา แบบสุด Exclusive นั่นคือ Saffron Cruise เรือลำใหม่ จากโรงแรมสุด Classy บันยันทรี กรุงเทพฯ นั่นเองครับ Saffron Cruise เป็นเรือขนาดใหญ่ที่ ซึ่งมีความยาวของตัวเรือถึง 38 เมตร มีห้องครัวร้อนบนเรือ สามารถปรุงอาหารได้สดใหม่ ตัวห้องอาหารอยู่ที่ตัวเรือชั้นล่างได้ตกแต่งเป็นห้องอาหารสุดโรแมนติกด้วยโทนสีดำ และเครื่องทองแดง สไตล์โมเดิร์น นั่งสบาย พร้อมหน้าต่างที่ออกแบบพิเศษใช้กระจกโค้งจากด้านข้างเรือไปจนถึงเพดาน ไม่บดบังทัศนียภาพและสามารถมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อีกด้วย ส่วนชั้นบนของเรือเป็นลักษณะของ บาร์แบบเปิดโล่ง สามารถรับชมวิวของกรุงเทพฯ ครบทั้ง 360 องศาในมุมพิเศษ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความเชี่ยวชาญของโรงแรมบันยันทรี ที่มีร้านอาหารที่โดดเด่นในเรื่องของวิว เช่น Saffron sky bar หรือ Vertigo Moon Bar ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ความสูงออกแบบมากำลังพอเหมาะของตัวเรือ ทำให้เราสามารถถ่ายภาพริมแม่น้ำ ได้ด้วยมุมสุดพิเศษ ซึ่งไม่สามารถพบได้ที่เรือลำอื่น นอกจากนี้ตัวเรือยังมีการตกแต่งอย่างสวยงาม ทั้งส่วนของบาร์ที่มีแสงสีฟ้าสดใส พร้อมโคมไฟประดับที่สั่งมาใช้โดยเฉพาะ ขับให้องค์ประกอบของภาพนั้นสวยงามมากยิ่งขึ้น สำหรับท่านที่สนใจตัวเรือ Saffron Cruise ได้จัดการเดินทางไว้เลือกได้สองรอบคือ รอบ Sunset และรอบ Dinner…
ท่ามกลางร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีมากมายในปัจจุบัน วันนี้ kinlakestars.com อยากจะพาทุกท่านไปพบกับร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีความโดดเด่นในแง่ของวัตถุดิบ และ เชฟอาหารญี่ปุ่นยอดฝีมือ ชาวญี่ปุ่นแท้ที่เคยได้รับดาวมิชชิลินมาแล้ว นั่นคือ ห้องอาหาร ‘สึ’ (Tsu Japanese Restaurant) ประจำโรงแรม JW Marriot กรุงเทพฯ ที่ตั้ง ห้องอาหาร Tsu แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ โรงแรม JW Marriot ซึ่งห่างจากสถานี BTS เพลินจิตไม่มาก ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาที มุ่งหน้ามาทางสถานีนานาก็จะเจอตัวโรงแรม JW Marriot ในส่วนของ ตัวร้าน Tsu เองนี้ตั้งอยู่บริเวณชั้นใต้ดินของโรงแรม ซึ่งเมื่อเดินลงมาก็จะพบกับห้องอาหาร สึ อยู่ทางด้านซ้ายมือตรงข้ามกับร้าน ‘นามิ (Nami)’ ซึ่งจะเสิร์ฟอาหารประเภท Teppanyaki ตัวร้าน Tsu จะตกแต่งอย่างทันสมัย ด้วยโทนสีขาวเรียบหรู พร้อม downlight สไตล์ avantgrade ดูแปลกตา มีที่นั่งให้เลือกหลายแบบทั้งแบบ counter bar โซฟา และห้องส่วนตัวซึ่งด้านในตกแต่งไว้ด้วยโทนสีขาวล้วน ให้บรรยากาศการรับประทานอาหารญี่ปุ่นแบบใหม่ อาหารญี่ปุ่นและเชฟชั้นเลิศ ถึงแม้ตัวร้านจะถูกตกแต่งด้วย สไตล์ที่ดูนำสมัย แต่อาหารของร้านยังคงความเรียบง่าย เข้าใจง่าย และเคารพต้นตำรับปรัชญาของอาหารญี่ปุ่น นั่นคือการใช้วัตถุดิบที่มีรสชาติดีจากธรรมชาติและสดใหม่ ซึ่งการันตีรสชาติด้วย Head Chef ชาวญี่ปุ่นคือ Yukio Takeda ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำอาหารญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้เชฟยังมีประสบการณ์การทำงานในร้านอาหารญี่ปุ่นชั้นนำมาทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ที่ ดูไบ อียิปต์ ฮ่องกง และลอนดอน ซึ่งที่ลอนดอนเชฟได้ขึ้นถึงเป็นเชฟประจำร้าน Umu ซึ่งเป็นร้านระดับสองดาวมิชลินมิชอีกด้วย และส่วนตัวเชฟเป็นกันเองกับลูกค้า ถ่อมตัว และสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีมาก ดังนั้นเมื่อลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารในร้าน Tsu ก็จะมั่นใจได้ว่าอาหารมื้อนี้จะถูกปรุงอย่างพิถีพิถัน และดึงรสชาติของวัตถุดิบนั้น ๆ ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งในวันนี้เราก็จะนำเมนูตัวอย่างที่ต้องลองของร้านนี้มานำเสนอผู้อ่านทุกท่านครับ Appetizers ครีบปลากระเบน (Eihire) 250 บาท อาหารเรียกน้ำย่อยที่ดูง่ายๆ ธรรมดา…
วันนี้ Kinlakestars.com จะขอนำทุกท่านไปพบกับ หนึ่งในร้านโอมากาเสะ สไตล์ edomae แท้ ที่อยู่ใจกลางเมือง ซึ่งคือย่านสีลมนั่นเอง ถึงแม้ร้านนี้จะยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ก็เป็นร้านที่รู้จักและแนะนำกันในวงการนักชิมโอมากะเสะ ว่ามีความโดดเด่นในเรื่องของการใช้วัตถุดิบชั้นดี ที่ตั้ง ห้องอาหาร Mizu ตั้งอยู่ที่ตึกชาญอิสระทาวเวอร์ อยู่บริเวณชั้น 1 สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกโดย BTS ศาลาแดง หรือ MRT สีลม ตัวร้านตั้งอยู่ในตึกโซน บริเวณทางที่จะเดินออกไปยังธนิยะ เมื่อเดินทางมาถึงจะพบหน้าร้านเป็นประตูไม้ ตกแต่งแบบเรียบง่าย สไตล์ญี่ปุ่นแท้ ซึ่งตัวร้านไม่ใหญ่มาก หลังจากเลื่อนประตูเข้ามาก็จะเจอโซนโต๊ะอาหารประมาณ 3 โต๊ะ และ ที่นั่ง counter ที่จะให้บริการโอมากาเสะ รองรับลูกค้าได้เพียง 7 ที่นั่งเท่านั้น ทำให้ในหนึ่งวันร้านนี้จะให้บริการโอมากะเสะช่วงดินเนอร์ได้จำกัด หลังจากที่เรามานั่ง ก็มีการบริการผ้าเย็น และถั่วแระญี่ปุ่นระหว่างรอ ซึ่งก็จะได้กลิ่นของโชยุ มิริน น้ำส้มสายชู เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆในร้านอาหารญี่ปุ่นที่เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อถือเวลาที่นัดหมาย ซึ่งในรอบนี้คือ 18.30 น. เชฟก็แนะนำตัวและเริ่มเสิร์ฟอาหาร ซึ่งเชฟที่นี่จะเป็นเชฟคนไทยเป็นหลัก ทำให้สามารถฟังบรรยายอาหาร และถ่ายรูป ฟังเรื่องราวของแต่ละเมนูได้แบบบรรยากาศสบายๆ อาหารเรียกน้ำย่อย อังโคโมะโชยุ เป็นตับปลาอังโค หรือ ปลาแองกอร์ ซึ่งตัวตับปลานี้มีฉายาเรียกกันว่าเป็น ฟัวกราส์แห่งท้องทะเล เชฟนำตับปลาไปแช่ซอสโชยุ 3 คืน โชยุจะหมักพร้อมกับเหล้าหวาน เมื่อกินก็ได้กลิ่นหวานหอมซึ่งกลบกลิ่นคาวของตับได้ทั้งหมด เบลนกับรสชาติของตับ พร้อมรสมะนาวปิดท้าย ให้รู้สึกสดชื่นสดชื่น ชิราโกะเทมปุระ ชิราโกะ หรือ ท่อนำน้ำเชื้อของปลาชิราโกะ เชฟนำมาทำเป็นเทมปุระซื่งแปลกกว่าร้านอื่น ตัวเทมปุระมีอุณหภูมิกำลังเหมาะขณะเสิร์ฟ เราเห็นชัดเจนว่าเชฟจัดตัวชิราโกะอย่างบรรจงลงใบโอบะอยู่พักนึงจึงส่งต่อให้ครัวร้อนเอาเข้าไปทำเป็นเทมปุระ ตัวชิราโกะที่โดนความร้อนจะมีความครีมมี่ เชฟสามารถทอดโดยเนื้อไม่เละ และได้แป้งเทมปุระกรอบสีสวย โดยเชฟได้ตัดแบ่งเป็นสองชิ้น ให้รับประทานชิ้นหนึ่งกับซอสเทมปุระ และ อีกชิ้นหนึ่งกับเกลือและมะนาว เป็นหนึ่งจานที่โดดเด่นของโอมากาเสะคอร์สนี้เลยก็ว่าได้ ซาชิมิ ต่อด้วย selection ของซาชิมิ ซึ่งวันนี้เชฟได้จัดไว้ให้เราสองชนิดคือ ฟุกุมิตากิ ซึ่ง ฟุกุ หมายถึงปลาปักเป้า โดยเชฟจะเสิร์ฟเป็นซาชิมิปลาปักเป้ากับตัวหนังปลาปักเป้า ซึ่งตัวปลาปักเป้านี้มีใบรับรองด้วยว่าแล่เอาพิษออกหมดแล้ว เนื้อปลาเชฟแล่ออกมาได้กำลังดีมีเนื้อเด้ง หนึบ…