Author: Kittin Assavavichai

ห้องอาหารเกาหลี คองจู เปิดให้บริการมากว่า 20 ปี ด้วยบรรยากาศที่สะดวกสบายเป็นกันเอง        และอบอุ่นเสมือนนั่งทานอยู่ที่บ้าน การตกแต่งที่ทันสมัยผสมผสานความเป็นเอกลักษณ์ของเกาหลี แบบดั้งเดิมเข้าไว้ด้วยกัน ห้องอาหารเกาหลี คองจู ตั้งอยู่บนชั้น 2 โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส                    โซนอาหารเอเชีย ด้วยการดูแลต้อนรับ และการให้บริการโดยผู้ชำนาญด้านการทำอาหารจาก     ประเทศเกาหลี มาดามคิม ฮันนา ควบคุมการปรุงอาหารด้วยตนเอง เพื่อให้ได้รสชาติอาหารเกาหลี   ต้นตำรับ จึงทำให้ห้องอาหารเกาหลี คองจู ได้รับการยอมรับว่าเป็นห้องอาหารเกาหลี ที่ดีที่สุด           ของกรุงเทพฯ ก่อนอื่นที่จะไปดูเมนูเราไปดูร้านกันก่อนดีกว่าครับ ห้องอาหารเกาหลี คองจู เปิดให้บริการมากว่า 21 ปี ด้วยบรรยากาศที่สะดวกสบายเป็นกันเอง และอบอุ่นเสมือนนั่งทานอยู่ที่บ้าน การตกแต่งที่ทันสมัยผสมผสานความเป็นเอกลักษณ์ของเกาหลี แบบดั้งเดิมเข้าไว้ด้วยกัน ห้องอาหารเกาหลี คองจู ตั้งอยู่บนชั้น 2 โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส  โซนอาหารเอเชีย ด้วยการดูแลต้อนรับ และการให้บริการโดยผู้ชำนาญด้านการทำอาหารจากประเทศเกาหลี มาดามคิม ฮันนา ควบคุมการปรุงอาหารด้วยตนเอง เพื่อให้ได้รสชาติอาหารเกาหลี   ต้นตำรับ จึงทำให้ห้องอาหารเกาหลี คองจู ได้รับการยอมรับว่าเป็นห้องอาหารเกาหลี ที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ ห้องอาหารเกาหลี คองจู คัดสรรวัตถุดิบ และส่วนผสมที่มีคุณภาพ โดยนำเข้าจากประเทศเกาหลี รวมทั้งทางห้องอาหารยังทำเครื่องปรุงบางชนิดขึ้นเอง และใส่ใจพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการปรุง เพื่อให้ได้ความสดใหม่อยู่ตลอดเวลา และยังคงรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับเกาหลีแท้ๆ ผู้ใช้บริการสามารถเลือกรับประทานในห้องอาหารแบบบรรยากาศที่เป็นกันเอง หรือเลือกห้องรับประทานอาหารที่เป็นแบบส่วนตัวสำหรับ ซึ่งมีให้เลือกถึง 4 ห้อง 3 ขนาด ตั้งชื่อตามแคว้น รัฐ ของเกาหลีในอดีต ไม่ว่าจะเป็น แพกเจ, ชิลลา, โกกูริยอ ฯลฯ สำหรับแขกที่มีโอกาสพิเศษ หรือ ต้องการความเป็นส่วนตัว ซึ่งทางห้องอาหารก็มีให้บริการ เริ่มต้นกันด้วยเมนูเด่นประจำห้องอาหาร ของเรียกน้ำย่อยอันเป็นเมนูเฉพาะของที่นี่อย่าง “เจ้าหญิงปทุมวัน” ซึ่งเมนูนี้จะเป็นเครื่องเคียงเกาหลีสารพัดอย่าง ปรุงอย่างลงตัวพร้อมกับซอสและห่อด้วยแป้ง รสชาติเบาละมุนกลมกล่อม เหมาะแก่การเริ่มมื้อเป็นอย่างดี ถัดมาจะเป็นเมนูกินเล่นที่ถูกอกถูกใจหลายท่านในเมนูที่มาร้านเกาหลีแล้วต้องสั่ง “ไก่ทอดพริก” เมื่อเราพูดถึงอาหารเกาหลีแล้ว สิ่งหนึ่งที่เรามักจะนึกถึงนั้นก็คือ ไก่ทอดนั่นเอง และแน่นอนว่าห้องอาหารเกาหลีคองจูอันเป็นห้องอาหารเกาหลีที่เน้นในความเป็นต้นตำหรับ อีกทั้งชุดฉลองครบรอบ…

Read More

เมื่อกล่าวถึงชื่อ Mandarin Oriental ไม่ว่าใครก็ต้องย่อมรู้จัก รวมทั้ง Lord Jim หนึ่งในห้องอาหารที่เป็นตำนานแห่งริมน้ำเจ้าพระยา สำหรับแนวคิดในการตกแต่งห้องอาหารนั้น Lord Jim ถูกตกแต่งด้วยโทนสีน้ำเงินให้เหมือนดั่งอยู่ในท้องทะเลมหาสมุทร อันเต็มไปด้วยความสวยงาม สงบนิ่ง เรียบหรู น่าค้นหา แม้แต่ของตกแต่งบนโต๊ะที่ใช้ ก็จะสะท้อนถึงความเป็นโลกใต้ทะเลดังที่เห็นในภาพครับ ดึงดูดชวนเข้าตั้งแต่ในส่วนของทางเข้า เมื่อเข้ามาเราก็จะพบกับส่วนพักคอย และตู้ปลาที่วางตัวเป็นแนวยาว นำสายตาไปสู่พื้นที่ห้องอาหาร ซึ่งตู้ปลานั้นตกแต่งให้กลมกลืนไปกับผนังด้วยการออกแบบให้กระจกตู้ปลาอยู่ในระนาบระดับเดียวกับผนัง  ส่วนตราสัญลักษณ์ของร้านก็จะเป็นรูปปลา ซึ่งเชื่อมโยงแนวคิดของห้องอาหารได้เป็นอย่างดี ปลาและดอกไม้ทะเลในตู้เป็นปลาและพืชพรรณในทะเล ดูแล้วเพลิดเพลิน สวยงาม การออกแบบภายในพื้นที่ห้องอาหารนั้นเน้นการใช้เส้นโค้ง วัตถุทรงวงรี และสีน้ำเงิน สีฟ้า และสีขาว เพื่อทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ใต้ท้องทะเล เกลียวคลื่น ผ่อนคลาย และดูเรียบหรู มีระดับ แม้แต่โต๊ะและเก้าอี้ และแก้วเจียระย้าที่ห้อยและเรียงตัวจัดวางออกมาเหมือนฟองน้ำและเกลียวคลื่น สำหรับทัศนียภาพนั้น ห้องอาหาร Lord Jim ถูกจัดได้ว่าเป็นห้องอาหารริมเจ้าพระยาที่มีทัศนียภาพริมน้ำสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยทัศนียภาพทางสายตาจากแขกที่นั้่งอยู่ที่โต๊ะไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านผนังกระจกผืนใหญ่ ความสูงตั้งแต่พื้นจนถึงเพดาน และตัวผนังกระจกใสนี้ก็เรียงตัวยาวเป็นแนวเส้นโค้งไปสุดห้องอาหาร ทำให้แขกสามารถรับชมทัศนียภาพแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างรอบด้าน 360 องศาเลยทีเดียว นอกจากนี้ในส่วนของความสูงของห้องอาหารก็ไม่เตี้ยจนเกินไป เพราะอยู่ในระดับชั้นที่สอง สูงขึ้นมามากกว่าระดับพื้นดินเดิมปกติ มุมที่มองไปยังแม่น้ำจึงเป็นมุมกดเล็กน้อยไม่ใช่มุมระนาบเดียวกับผิวน้ำ ทำให้พ้นสิ่งกีดขวางทางสายตา และทำให้ได้มุมมองที่โล่งสบายสายตา ในส่วนของเครื่องดื่มของ Buffet Sunday Brunch ท่านสามารถเลือกสั่งเพิ่มเติมได้จากในรายการเครื่องดื่ม ซึ่งมีให้เลือกมากมายหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Mocktail Cocktail Champagne Wine หรือ Soft drink และแล้วเราก็มาเข้าสู่ในส่วนของอาหารใน Buffet Sunday brunch กันเลยดีกว่าครับ Sea food เริ่มต้นกันด้วยมุมยอดฮิตที่คนไทยให้ความนิยมกันมากที่สุดก็ว่าได้ Seafood on Ice นั่นเอง สำหรับ seafood on ice ของมื้อ sunday brunch  ที่ห้องอาหาร Lord Jim นั้นก็จะประกอบไปด้วย ปูทะเล กุ้ง และหอยนางรมสดๆ Japanese เรามาดูมุมยอดนิยมขวัญใจลูกค้าคนไทยอีกมุมกันต่อเลยดีกว่าครับ นั้นก็คือมุมอาหารญี่ปุ่น…

Read More

โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค (Bangkok Marriott Marquis Queen’s Park) ร่วมกับออลนิปปอนแอร์เวย์ส (All Nippon Airways – ANA) สายการบินยักษ์ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น นำสองเชฟญี่ปุ่นชื่อดังเดินทางมาสู่ร้าน โกจิ คิทเช่น + บาร์ (Goji Kitchen + Bar) ร่วมสร้างสรรค์การเดินทางสู่ประสบการณ์อาหารญี่ปุ่นอันน่าตื่นเต้น พร้อมสัมผัสการบินชั้นธุรกิจสุดเอ็กซ์คลูซีฟ แขกผู้มาเยือน ณ โกจิ คิทเช่น + บาร์ ห้องอาหารนานาชาติชื่อดังของโรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค จะได้เพลิดเพลินไปกับเมนูคัดสรรของต้นตำรับอาหารญี่ปุ่น จากสองเชฟชั้นนำชาวญี่ปุ่นที่จะมาเยือน ณ โรงแรมแห่งนี้ และไม่เพียงเท่านั้น! ด้วยความร่วมมือของสายการบินออลนิปปอนแอร์เวย์ส แขกผู้มาเยือน ณ โกจิ คิทเช่น + บาร์ ยังจะมีโอกาสได้ร่วมสัมผัสความหรูหราและความสะดวกสบายของประสบการณ์การบริการบนชั้นธุรกิจจากสายการบินออลนิปปอนแอร์เวย์ส ด้วยที่นั่งบนชั้นธุรกิจอันแสนสะดวกสบาย พร้อมอุปกรณ์ภาพและเสียงเสมือนจริงที่จัดแสดงไว้ ณ โรงแรมแห่งนี้ เพื่อพาเหล่าแขกคนพิเศษออกเดินทางเหินฟ้าสู่ก้อนเมฆ พร้อมทัวร์การบินแบบ 360 องศาอันน่าทึ่ง  อีกทั้งยังสามารถเพลิดเพลินกับการเสิร์ฟอาหารว่างรับรองโดยพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของออลนิปปอนแอร์เวย์ส รวมถึงของที่ระลึกจากสายการบินจำนวนจำกัดที่เตรียมมอบให้กับแขกผู้มารับประทานอาหารที่ห้องอาหารโกจิ  คิทเช่น + บาร์ ทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ในช่วงเวลาพิเศษนี้ โดยสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ http://charmofjapan.com เชฟผู้รับเชิญพิเศษสองท่าน ได้แก่ เชฟมาซาชิ ทาเคมูระ (Masashi Takemura) เชฟผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารญี่ปุ่น และมาซาโนริ อูสึชิ (Masanori Utsushi) เชฟผู้เชี่ยวชาญด้านขนมอบ จากโรงแรมโอซาก้า แมริออท มิยาโกะ (Osaka Marriott Miyako Hotel) พวกเขาจะนำทักษะอันน่าทึ่งมาถ่ายทอดเมนูอันเป็นต้นตำรับขนานแท้จากประเทศญี่ปุ่น ที่ โกจิ คิทเช่น + บาร์ วันที่ 28 กันยายน ถึง 1 ตุลาคม 2560  กับการจัดงาน…

Read More

อาหารสเปนเป็นหนึ่งในอาหารยุโรปที่ได้รับความนิยมมาก แต่อาจไม่ได้รู้จักกันมากในหมู่คนไทยเท่าไหร่ หากใครอยากลองอาหารสเปนรสดีๆ หรือใครที่เป็นคออาหารสเปน ครั้งนี้เราขอพาไปสัมผัสประสบการณ์อาหารสเปนต้นตำรับใจกลางย่านทองหล่อ ที่ Arroz Arroz (อารอซ) ร้านอาหารสเปนใหม่ในซอยสุขุมวิท 53 ในบ้านวินเทจสุดคลาสสิค ที่ตั้งใจมอบประสบการณ์อาหารสเปนต้นตำรับ ปรุงจากวัตถุดิบชั้นเลิศที่ส่งตรงจากประเทศสเปน และบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆ ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมอาหารอันเก่าแก่ของประเทศสเปน พร้อมเปิดให้บริการแล้ววันนี้ คอนเซ็ปต์และเมนูต้นตำรับทุกรายการของ Arroz เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของเชฟ Victor Burgos (วิคเตอร์ เบอร์กอซ) ชาวสเปนที่มีประสบการณ์กว่า 14 ปีทำงานในร้านอาหารชั้นนำในประเทศสเปนและทั่วเอเชีย เช่น El Chaflan ร้านอาหารหนึ่งดาวมิชลินที่กรุงมาดริด Ramiro’s ร้านอาหารระดับหนึ่งดาวมิชลินที่กรุง Valladolid ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาเอง และ The Principal ร้านอาหารสองดาวมิชลิน ที่ฮ่องกง นอกจากนั้น เชฟ Burgos ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของร้านอาหารในโรงแรมหรูชั้นนำมาหมาย เช่น โรงแรม Aman ในประเทศอินเดียและมอนเตนิโกร โดยหลังจากที่อาศัยและทำงานอยู่ทั่วเอเชียเป็นเวลาถึง 9 ปี เชฟ Burgos ก็ตัดสินใจนำประสบการณ์การทำอาหารทั้งหมด บวกกับวัฒนธรรมอาหารสเปนที่เรียนรู็ตั้งแต่กำเนิด เปิดร้านอาหารแห่งแรกของเขาเองที่กรุงเทพฯ เมืองที่เขาเรียกว่าบ้านในปัจจุบัน ในชื่อว่า Arroz Executive Chef Victor Burgos Arroz ตั้งอยู่ในบ้านสไตล์วินเทลสุดคลาสสิค ถูกตกแต่งใหม่ด้วยโทนสีอบอุ่น และรายละเอียดการตกแต่งสีสันสดใจ ที่สะท้อนวัฒนธรรมอาหารและการกินดั้งเดิมของชาวสเปน ไม่ว่าจะเป็นผนังสีส้ม กระจกสี เฟอร์นิเจอร์ไม้ และสิ่งของตกแต่งที่นำเข้าจากประเทศสเปน โดยทั้งหมดจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังรับประทานอาหารอยู่บ้านเพื่อนชาวสเปนอันอบอุ่น ร้านอาหารจะแบ่งเป็นสองชั้น ตรงกลางร้านจะเป็นโถงเอเทรียมที่เจาะทะลุเป็นพื้นที่เปิดสองชั้นถึงกัน ในส่วนของอาหาร เชฟ Burgos โฟกัสที่อาหารสเปนคลาสสิคดั้งเดิม โดยเริ่มที่ Iberico cold cuts platter (lomo chorizo and salchichon iberico) and spanish cheese selection 850++ (100 กรัม) Cold Cuts สุดออริจินัลที่ส่งตรงจากประเทศสเปน ไม่ว่าจะเป็นแฮม…

Read More

เชิญทุกท่านมาร่วมสัมผัสประสบการณ์การเข้าพักสุดหรู ด้วยบริการเหนือระดับไปกับ แพ็กเกจห้องพัก     “Transformative Journey” ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน ได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงแบรนด์ให้อยู่ภายใต้ แบรนด์ อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น เรียบร้อยแล้ว ซึ่งพร้อมให้บริการในชื่อ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล     โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล นั้นได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบและการตกแต่งมาจากสมเด็จพระราชปิตุจฉาเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ผู้ซึ่งทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ห้า (ปี ค.ศ.1853 – ค.ศ.1910) และทรงเป็นราชปิตุจฉาในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่เก้า การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ล่าสุดของโรงแรมในครั้งนี้ทำให้กรุงเทพมหานครกลายเป็นจุดหมายปลายทางอันเป็นเอกลักษณ์ของนักท่องเที่ยว ไม่ใช่เพียงในแง่ของสถานที่ตั้งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงถึงจุดเด่นในแง่ของประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ของเมืองหลวงแห่งนี้อีกด้วย โรงแรมที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ของวังคันธวาสอันเลื่องชื่อ วังแห่งนี้เคยเป็นตำหนักที่ประทับส่วนพระองค์ของเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ และได้เปิดให้บริการภายใต้แบรนด์ อะ รอยัล เมอริเดียน ตั้งแต่ปี ค.ศ.2004 ต่อมาได้ดำเนินการ ปรับปรุงพื้นที่ให้บริการในทุกส่วนของโรงแรมฯ ด้วยการออกแบบและการตกแต่งใหม่เพื่อให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น พร้อมการให้บริการแบบเหนือระดับภายใต้แบรนด์ อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่นตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560     เป็นต้นไป โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล จะพร้อมต้อนรับแขกที่มาเยือน เริ่มต้นจากบันไดอันสวยงามอลังการ อีกทั้งแชนเดอเลียร์ที่เผยความงดงามระยิบระยับจากเพดาน ทุกท่านจะได้สัมผัสกับบรรยากาศการตกแต่งภายในสไตล์ไทยและยุโรปที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณที่ยังคงอยู่ตราบนิจ     นิรันดร์ของเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ “โรงแรม ดิ แอทธินี เป็นสถานที่ที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์แบบจาก   การออกแบบและตกแต่งในอดีต ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดที่ทำให้โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมอันเป็นที่ชื่นชอบที่สุดแห่งหนึ่งในแวดวงสังคมไทย เราตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรกับแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์หรู อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น”…

Read More

ดื่มด่ำความเป็ฯญี่ปุ่นระดับพรีเมียมไปกับรสชาติเลิศรส ซูชิปั้นใหม่ๆกินทีละคำจากมือเชฟ คุณภาพชั้นสูงจากปลาสดๆส่งตรงจากตลาดปลาซึคิจิ (Tsukiji Market) ทัศนียภาพกรุงเทพแบบพาโนราม่าจากซูชิบาร์ ทั้งชุดกิโมโน และจานชามดินเผาในแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ห้องอาหารญี่ปุ่นยามาซาโตะ ต้นตำรับอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ตั้งอยู่บนชั้นที่ 24 โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกด้วยคุณภาพที่สม่ำเสมอ ทั้งในเรื่องของวัตถุดิบและรสชาติ ด้วยการตระเตรียมอาหารอย่างพิถีพิถันโดยหัวหน้าพ่อครัวชาวญี่ปุ่น เชฟ ชิเงรุ ฮางิวาระ (Shigeru Hagiwara) ความพิเศษของห้องอาหาร ยามาซาโตะนั้น สามารถสัมผัสและมองเห็นได้ในทุกๆ รายละเอียด จากลวดลายบนเพดานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากจีบพับคม ๆ ของออริกามิ (การพับกระดาษแบบญี่ปุ่น) การใช้ไม้สีอุ่นตามหน้าสัมผัสต่างๆ การแต่งกายด้วยชุดกิโมโนของพนักงาน และถ้วยชามดินเผาที่ดูดีแบบเรียบง่าย ห้องอาหาร ยามาซาโตะ ให้บริการอาหารญี่ปุ่นรสชาติต้นตำรับหลากหลายรายการ รวมไปถึงอาหารชุดพิเศษสำหรับมื้อค่ำ “ไคเซกิ เรียวริ” (Kaiseki Ryōri) ซึ่งเป็นการบริการอาหารญี่ปุ่นในพระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 และต่อมาได้พัฒนาจนเป็นหนึ่งในรูปแบบการรับประทานอาหารที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก ไคเซกิ เรียวริ ถือเป็นตำนานอาหารญี่ปุ่นชั้นสูงอายุเก่าแก่หลายศตวรรษที่แต่เดิมจะจัดให้มีขึ้นตามงานเลี้ยงสำคัญๆ เท่านั้น ไคเซกิประกอบด้วยอาหารที่เสิร์ฟต่อเนื่องกันหลายรายการ โดยทุก ๆ จานได้รับการปรุงและจัดวางด้วยความบรรจง และคำนึงถึงทุกสีสันและรสสัมผัส ในครั้งนี้เราขอมาไฮไลท์กันที่ซูชิครับ ซึ่งเชฟด้านซูชิของยามาซาโตะ มีเทคนิคที่เหนือชั้นและใส่ใจในทุกรายละเอียดทุกขั้นตอนทั้งการเลือก ที่เลือกใช้เฉพาะวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยม โดยเฉพาะปลาสด ๆ นำเข้าจากตลาดปลาซึคิจิ (Tsukiji Market) ในกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น การเตรียม และการหั่นเนื้อปลา เพื่อให้บริการซูชิคุณภาพเยี่ยมพร้อมวาซาบิขูดสดๆ และเครื่องเคียงตามแบบฉบับญี่ปุ่นแท้ๆ มุมซูชิบาร์ ชม แสงสุดท้ายของวัน และในวันนี้เราจะพาทุกท่านไปพบกับ ชุดอาหาร โอมากาเซะ ซูชิ おまかせ 寿司 コース Omakase Sushi Course แบบ 9 คำกันครับ โอมากะเซะ ในภาษาญี่ปุ่น หมายถึง “แล้วแต่เชฟ” โดยเชฟจะเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุดในแต่ละวันและฤดูกาล มาทำ “ซูชิ” แบบพอดีคำ วางบนจานให้รับประทานทีละคำ โดยในระหว่างรับประทานสามารถพูดคุยกับเชฟถึงวัตถุดิบที่โปรดปราณ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเชฟ…

Read More

รายละเอียดโปรโมชั่น: สิทธิพิเศษเฉพาะบัตรเครดิต KTC VISA ทุกประเภท รับทันที! ส่วนลด 30% มื้อกลางวันแบบเซต 3 คอร์ส ปกติราคา 3,000 บาท (เฉพาะค่าอาหาร) **อาหารเริ่มเสิร์ฟเวลา 12:00 น. เป็นต้นไป** มื้อค่ำแบบเซต 7 คอร์ส ปกติราคา 6,000 บาท (เฉพาะค่าอาหาร) **อาหารเริ่มเสิร์ฟเวลา 19:00 น. เป็นต้นไป** กลับมาอีกครั้ง ตามคำเรียกร้องกับมิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว เชฟสเตฟาน บูคง เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยมและเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์เมนูอาหารกับรสชาติที่สมบูรณ์ซึ่งมักจะถูกขนานนามว่าเป็น “สุดยอดเชฟแห่งเทือกเขาแอลป์ประเทศฝรั่งเศส” เชฟสเตฟาน บูคง ได้รางวัลการันตีจาก M.O.F. (Meilleurs Ouvriers de France) เป็นรางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดสำหรับเชฟผู้รักษา เผยแพร่ และสนับสนุนอาหารฝรั่งเศสให้คงอยู่และเป็นที่รู้จัก นับเป็นผู้ที่มีฝีมือเท่านั้นที่ควรค่าแก่การได้รับรางวัลนี้ เชฟสเตฟาน เป็นเชฟใหญ่ของภัตตาคารที่มีชื่อเสียงในโรงแรม เลอ ชาบิชู (Hotel Le Chabichou) ตั้งอยู่ใน กูร์เชอเวล (Courchevel) ซึ่งเป็นสกีรีสอร์ทที่หรูหรา เก่าแก่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ประเทศฝรั่งเศส และเป็นสถานที่พักผ่อนต่างอากาศของระดับเชื้อพระวงศ์ วีไอพี และ เหล่าคนดังมากมาย เชฟสเตฟาน กำลังจะบินตรงมาโชว์ฝีมือการทำอาหารชั้นเลิศกับ 7 ซิกเนเจอร์เมนูเด่น (เฉพาะแค่ 4 วันเท่านั้น) ที่ โรงแรม วี กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 27 – 29 กันยายน 2560 ที่ ห้องอาหารฝรั่งเศส La VIE – Creative French Cuisine และ ที่ โรงแรม วี วิลล่า หัวหิน ที่ห้องอาหาร Villazzo วันที่…

Read More

ผ่อนคลายกับสปาที่บรรยกาศดีที่สุดในย่านราชประสงค์ พร้อมเทคนิคการนวดอันเต็มไปด้วยเรื่องราว ท่ามกลางใจกลางเมืองที่วุ่นวาย ที่แห่งนี้เปรียบดั่งโอเอซิสที่แสนสงบ และ สร้างความผ่อนคลายได้อย่างน่าตื่นตะลึง รอทุกคนมาสัมผัสและคุณจะต้องประทับใจ เรื่องเล่าความเป็นมา ประเทศไทยในอดีต เคยใช้ชื่อว่าสยามประเทศ จนมาในปีพุทธศักราช 2482 จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยดังเช่นปัจจุบัน ชื่อสยามประเทศเราใช้กันมาตั้งแต่อดีตกาล หลักฐานที่พบตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ที่เราลงนามสนธิสัญญากับต่างประเทศรายละเอียดเหล่านี้ล้วนเป็นความผูกพัน ที่ปัจจุบันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อย่างขาดกันไม่ได้ สำหรบอนันตราสปา สปาที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าสำคัญ ของเมืองที่ตั้งสาขาในแต่ละแห่ง มักผสมผสานเอาวัฒนธรรมท้องถิ่น เข้ากับบริการในระดับหรูหรา อีกทั้งยังให้บรรยากาศของความเป็นพื้นเมือง ท่ามกลางวิถีไทย ไม่ว่าจะเป็นชื่อของ “อนันตรา” นั้นก็เป็นภาษาสันสกฤตโบราณ ที่หมายถึง ความไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งสื่อถึงน้ำใจและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อันนับเป็นเอกลักษณ์ไทยอย่างหนึ่งได้ดี ในส่วนของการนวด ที่นี่จึงหยิบเอาจารึกทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว มาเรียบเรียงเป็นการบำบัดที่เรียกว่า “นวดสยาม 2482” เพื่อรำลึกถึงปี พ.ศ.2482 และเหตุการณ์สำคัญของไทยดังกล่าว ในระหว่างที่ท่านได้รับการบำบัดให้ร่างกาย และจิตใจเกิดความสมดุลกัน   ความหมายและวิธีการ นวดสยาม 2482 ยังใช้เลข 2482 เพื่อเป็นการรำลึกของ พ.ศ.ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง โดย 2 ๒ เลข “2” นั้นมาจากไม้ไผ่สองชิ้นที่นำมาใช้นวดตัว วิถีไทยโบราณมีความผูกพันกับไผ่ ทั้งการนำไม้ไผ่มาใช้สร้างบ้านเรือน รวมไปถึง หน่อไม้ยังเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบ ทำอาหารคู่ครัวไทยเสมอมา 4 ๔ เลข “4” เป็นเทคนิคการนวดถึง 4 แบบ ได้แก่ นวดไทยผสานเข้ากับการนวดไม้ไผ่ดังกล่าว นวดกดจุดฝ่าเท้า และยังมีนวดประคบสมุนไพร 8 ๘ ด้วยลูกประคบพิเศษขนาดเล็กใหญ่ถึง 8 ลูกด้วยกัน ซึ่งเป็นความหมายของเลข “8” 2 ๒ และเลข 2 สุดท้ายคือแผ่นทองคำเปลวบริสุทธิ์ 2 แผ่น ที่ เริ่มต้นกันด้วยเครื่องดื่ม น้ำมะตูมเย็นๆกับผ้าเย็นแสนสดชื่น เป็นการปรับอารมณ์ ความรู้สึก ให้ผ่อนคลาย และหลังจากนั้นพนักงานก็จะพาทุกท่านไปยังห้องทรีดเมนต์นั้นเอง สำหรับในครั้งนี้ เราจะพาทุกท่านไปพบกับห้องนวดคู่ ตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่เข้าไป ท่านทั้งหลายจได้พบกับทางเดินที่เป็นริ้วผ้าขาวบางโปร่งๆ หลายชั้น กับการจัดไฟสีเหลืองนวลอ่อนๆ ยาวตรงไปยังพื้นที่นวด…

Read More

กลิ่นอายทะเลหอมๆ ลมโชยๆ แต่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบญี่ปุ่น ใช่แล้ว โอกินาว่า เกาะใต้สุดของญี่ปุ่นกลางทะเล ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ และความบริสุทธิ์ แหล่งท่องเที่ยวและวัตถุดิบทำอาหารชั้นเลิศอีกแห่ง และในครั้งนี้ ทางห้องอาหารญี่ปุ่น คิซาระ โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ ได้นำเสนอสารพัดเมนูแสนอร่อย หลากหลายชนิดของ “เทศกาลของดีโอกินาว่า” สร้างสรรค์สารพัดเมนูโดย เชฟเคนจิ เชฟใหญ่ของห้องอาหารชาวญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์มายาวนาน โดยคราวนี้ เชฟเคนจิได้รวบรวมของดีจากเมืองดัง เกาะสวรรค์ทางใต้ของญี่ปุ่น “โอกินาว่า” ไม่ว่าจะเป็นทั้งผลผลิตจากทางทะเลและเกษตรกรรม ทั้ง ปลาหมึกไดมอนต์ หรือ หมึกกล้วยโอกินว่า (Diamond Black Squid Sashimi) หอยสังข์กรีนเทอบัน (Great Green Turban) ปลากะพงแดง หรือ ปลาทรายแดง (Red Bream Sashimi) มันม่วงหวานโอกินาว่า มะเขือเทศโอกินาว่า น้ำส้มชิกุวาซะ เรามาเริ่มอุ่นเครื่องกันด้วยสลัดมะเขือเทศโอกินาว่ากันเลยดีกว่า มะเขือเทซลูกใหญ่มาก กรอบ สด หวานฉ่ำ ต่อจากนั้นมาดูซาซิมิ และ ซูชิสดๆ ของดีจากทะเลของโอกินาว่า   หอยสังข์กรีนเทอบัน (Great Green Turban) กรุบกรึบ จิ้มกินกับมิโสะเผ็ด ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของโอกินาว่าสุดพิเศษ เป็นมิโสะที่มีความมันเค็ม มีรสเผ็ดเบาๆแบบแทบไม่รู้สึก ปลาหมึกไดมอนต์ (Diamond Black Squid Sashimi) ปลาหมึกกล้วยโอกินาว่า สดๆ หวานมาก เนื้อหนึบ กินเป็นซูชิ ข้าวนุ่มๆหนึบๆกับสาหร่าย ช่วยทำให้ปลาหมึกนั้นโดดเด่นมาก ปลากะพงแดง หรือ ปลาทรายแดง (Red Bream Sashimi) สดๆเนื้อพอแร่แล้ว สีขาวอมชมพู รสชาติหวานละมุนลิ้น เมนูเทมปุระ ปลาหมึกไดมอนต์ (Diamond Black Squid Sashimi) มันม่วงหวานโอกินาว่า เกลือโอกินาว่า เมนูเทปันยากิ ปลาหมึกไดมอนต์ (Diamond Black Squid Sashimi) มันม่วงหวานโอกินาว่า หอยสังข์กรีนเทอบัน (Great…

Read More

จากเมนูอาหารกลางวันในโรงเรียนยอดฮิต สู่เมนูระดับร้านมิชลินสตาร์ กับภาชนะแสนเก๋ รสชาติอันลงตัว “Tomato Rice” โดย เชฟคริสเตียน คอสตาร์ดิ และ เชฟมานูเอล คอสตาร์ดิ (Chef Christian & Chef Manuel Costardi) จากห้องอาหาร Ristorante Christian E Manuel อิตาลี เชฟสองพี่น้อง คริสเตียน และ มานูเอล คอสตาร์ดิ เกิดในครอบครัวที่สานต่อธุรกิจโรงแรมในแคว้นพีดมอนต์ และถูกพรหมลิขิตกำหนดให้ทั้งคู่ได้เป็นเชฟ คริสเตียน ผู้เป็นพี่ ซึ่งมีอายุมากกว่าน้องชาย 9 ปี หลงใหลในการทำอาหารตั้งแต่อายุยังน้อยและเข้าศึกษาในวิทยาลัยเกี่ยวกับอาหารเมื่ออายุเพียง 14 ปี หลังจากนั้นเขาไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนได้รับตำแหน่งเชฟอันดับ 2 ณ โรงแรมเรจิน่าในเมืองเวนิส ในวัยเพียง 21 ปี ส่วนมานูเอลผู้เป็นน้องชาย เขาได้ฝึกฝนทักษะการทำอาหารกับเชฟเซอร์จิโอ เมย์ ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ในเมืองมิลาน หลังจากนั้น สองพี่น้องได้เดินทางกลับไปยังโรงแรม CINZIA ซึ่งเป็นโรงแรมของปู่ย่า โดยมีความตั้งใจที่จะผสมผสานวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมกับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นี่ เชฟทั้งสองได้นำวัตถุดิบที่ขึ้นชื่อที่สุดของแคว้นอย่างข้าวมาเป็นพระเอก พวกเขาได้รังสรรค์เมนูริซอตโต้ที่ได้รับรางวัลมากมาย มากกว่า 22 แบบ โดยเป็นการผสมผสานอาหารแบบอิตาเลียนดั้งเดิมกับเทคนิคการทำอาหารแบบสมัยใหม่ ในปี ค.ศ. 2009 พวกเขาได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ รวมไปถึงได้รับเชิญให้ร่วมงานระดับนานาชาติ และได้รับรางวัลอีกมากมาย ทั้งสองได้ร่วมเป็นกรรมการตัดสินในรายการ TopChef อิตาลี และเป็นทูตให้กับประเทศอิตาลีในงานและเทศกาลเกี่ยวกับอาหารต่างๆ อาทิ World Week ในประเทศชิลี และ เทศกาลไวน์แห่งเมลเบิร์น เมื่อ fine dining ก็ชิคๆฮิปๆได้ ก็เป็นที่รู้กันดีว่าชาวอิตาเลียนนั้นภาพรวมดูสดใสและขี้เล่น “Costardi’s Tomato Rice เป็นเมนูเด็ดจากสองศรีพี่น้องเชฟ Cosraedi มิชลินสตาร์จากอิตาลี เป็นรีซอสโต้ที่ตัวเมล็ดข้าวจะกรุบๆออกแข็งนิดๆ คนไทยอาจไม่ชินแต่สำหรับผมอร่อยมาก” เสิร์ฟมาในภาชนะทรงกระป๋อง ซึ่งคล้ายกระป๋องแคมเบลแต่กระป๋องนี้เป็นกระป๋องเฉพาะที่สั่งทำมาและราคาต้นทุนก็สูงอยู่ เรามาดูขั้นตอนการทำกันอย่างละเอียดกันเลยดีกว่าครับ 1 พรีมอนด์ เป็นที่หนึ่งในอิตาลี่ที่ขึ้นชื่อเรื่องข้าว เชฟจึงได้พัฒนานำข้าวมาเป็นแบรนด์ของตัวเอง 2 3 4…

Read More