Story : Dr.Athiwat T. / Photo : Pol.Capt. Kittin A
ณ ริมน้ำเจ้าพระยาที่สงบและงดงาม ผมได้ใช้เวลาช่วงบ่ายอันรื่นรมย์ที่ The Lounge โรงแรม Four Seasons กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นประสบการณ์การจิบชายามบ่ายที่เหนือระดับ ควรค่าแก่การบอกต่อ
เมื่อย่างเท้าเข้ามาใน Lobby Lounge สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความหรูหราที่แฝงไว้ด้วยความผ่อนคลาย การตกแต่งที่โปร่งสบายตา พร้อมทิวทัศน์ของแม่น้ำที่ทอดยาวผ่านสวนและบ่อน้ำที่ออกแบบไล่ระดับมาอย่างดี ได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยาในมุมมองใหม่
ทำให้รู้สึกสงบอย่างน่าประหลาดใจ การบริการของพนักงานแสดงออกถึงความเป็นกันเองอย่างมืออาชีพ แต่ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานสูงสุด ทุกรายละเอียดได้รับการใส่ใจ แม้กระทั่งภาชนะพอร์ซเลนชั้นดีที่พิมพ์ลายถนนเจริญกรุง ซึ่งสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของย่านได้อย่างมีเสน่ห์
การจิบชายามบ่ายเริ่มต้นอย่างสดชื่นด้วยเครื่องดื่มต้อนรับอย่างน้ำมะพร้าวอัญชัน และแชมเปญ ก่อนจะเข้าสู่ลำดับของอาหารคาว (Savory Delicacies) ที่จัดเรียงมาอย่างวิจิตร
รสชาติอันโอชะจากคาวสู่หวาน: การเดินทางแห่งรสสัมผัส
เส้นทางแห่งรสชาติเริ่มต้นด้วยชุดของคาวที่เชฟแนะนำให้รับประทานตามลำดับ เพื่อไล่ระดับความเข้มข้นของรสชาติอย่างลงตัว
Welcome Drink
เครื่องดื่มต้อนรับ (Welcome Drink): น้ำมะพร้าว อัญชัน มะนาว
เครื่องดื่มต้อนรับแก้วนี้มอบความสดชื่นและสะกดสายตาด้วยสีสันที่สวยงามตามธรรมชาติ เป็นการผสมผสานรสชาติไทยๆ เข้ากับงานดีไซน์สมัยใหม่
เครื่องดื่มเสิร์ฟในแก้วขนาดพอดีคำที่ดูเรียบง่ายแต่หรูหรา โทนสีหลักคือสีม่วงสดใสของน้ำอัญชัน เมื่อกระทบกับแสงจะเห็นการไล่เฉดสีไปจนถึงสีชมพู/ม่วงอมแดงอ่อนๆ ที่ฐานแก้ว ซึ่งเป็นผลจากการทำปฏิกิริยาของอัญชันกับน้ำมะนาว และที่งดงามที่สุดคือดอกดาวเรือง (Marigold) สีส้มสดใสที่วางลอยอยู่กลางเครื่องดื่ม ทำหน้าที่เป็นจุดโฟกัสที่เพิ่มความมีชีวิตชีวา รสชาติเป็นการผสมผสานที่ลงตัวและไม่คาดคิด:
น้ำมะพร้าว: ให้รสชาติหวานอ่อนๆ และความหอมมันตามธรรมชาติ เป็นตัวเบสที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสดชื่น
อัญชัน: มีกลิ่นหอมบางๆ และเพิ่มความสวยงามของสี
มะนาว: ความเปรี้ยวของมะนาวช่วยตัดความหวานของมะพร้าวและเพิ่มมิติของรสชาติ ทำให้เครื่องดื่มมีความเปรี้ยวอมหวานที่ปลุกความสดชื่นได้อย่างดี
มัทฉะลาเต้เย็น และ กาแฟลาเต้เย็น
เครื่องดื่มทั้งสองแก้วนี้ถูกนำเสนออย่างสวยงาม มีการจัดเลเยอร์ของส่วนผสมอย่างชัดเจน ทำให้ดูน่าดื่มและน่าถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง
1. มัทฉะลาเต้เย็น (แก้วขวา):
โดดเด่นด้วยสีเขียวมรกตของมัทฉะที่เข้มข้น ลอยอยู่บนชั้นนมสีขาวขุ่น มีการแยกชั้นที่สวยงามและชัดเจน คาดว่าเป็นการชงมัทฉะเข้มข้นแล้วเทลงบนน้ำแข็งและนมสดที่เย็นจัด ทำให้เกิดการไล่ระดับสีที่น่าสนใจ ให้รสชาติมัทฉะที่เข้มข้นและกลมกล่อม มีความขมฝาดเล็กน้อยตามแบบฉบับชาเขียวคุณภาพ เมื่อคนเข้ากับนม จะได้ความหอมมันที่เข้ากันอย่างลงตัว มอบความสดชื่นแบบเย็นๆ และมีพลังงาน
2. กาแฟลาเต้เย็น (แก้วซ้าย):
มีการแยกชั้นของนมสดสีขาวกับกาแฟเอสเปรสโซเข้มข้นสีน้ำตาลอย่างชัดเจน ทำให้เกิดลวดลายการไหลของกาแฟลงไปในนม (Marbling Effect) ที่สวยงาม คาดว่าเป็นการเทช็อตกาแฟเข้มข้นลงบนนมและน้ำแข็งอย่างช้าๆ มีการโรยผงโกโก้หรือผงชินนามอนบางๆ อยู่ด้านบนเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม ให้รสชาติกาแฟที่เข้มข้นและหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟที่คั่วมาอย่างดี เมื่อผสมกับนม จะมีความนุ่มนวล หวานมัน และดื่มง่าย เป็นกาแฟลาเต้เย็นที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและกระตุ้นความตื่นตัวได้ดีเยี่ยม
ทั้งสองแก้วมาพร้อมหลอดแก้วใส ทำให้ดูดีมีสไตล์ และพร้อมสำหรับการลิ้มรสความสดชื่นครับ
Savory Delicacies
HOTATE SCALLOP CEVICHE, ORANGE, YUZU:
จานแรกที่เสิร์ฟมาในเปลือกหอยสวยงาม ภายใต้เปลือกหอยเป็นจานถ้วยหินสีขาวเรียบแต่หนาดูหรูหราแบบไม่ต้องตะโกน ถ้วยที่รองเปลือกหอยนอกจากเสริมความสวยงามยังใช้ใส่น้ำแข็งแห้งเพื่อรักษาความเย็น และเมื่อเสิร์ฟพนักงานจะเทน้ำลงในถ้วยเล็กน้อยจะมีควันออกมาสวยงาม ในเปลือกหอยนั้นก็คือเซบิเช่หอยเชลล์โฮตาเตะจากญี่ปุ่น เนื้อหอยหวานสดถูกนำไปหมักในน้ำผลไม้รสเปรี้ยวตามสไตล์เซบิเช่ พร้อมด้วยส้มและยูซุ ทำให้ได้รสชาติที่เปรี้ยว สดชื่น และมีเนื้อสัมผัสที่กรอบ เป็นการปลุกต่อมรับรสที่ยอดเยี่ยม
Heirloom Tomato, Mint & Bronte Pistachio, Stracciatella:
จานถัดมาคือการนำเสนอรสชาติของมะเขือเทศ Heirloom ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีรสชาติเข้มข้นและเป็นเอกลักษณ์ เสริมด้วยชีส Stracciatella เนื้อนุ่มละมุนลิ้น ความหอมของใบมินต์ และความมันของพิสตาชิโอจากเมืองบรอนเต้ ทำให้ได้รสชาติของมะเขือเทศที่ชัดเจนและกลมกล่อม
Black Truffle Croque Monsieur:
คร็อกเมอซีเยอ หรือแซนด์วิชอบชีสสไตล์ฝรั่งเศส ถูกยกระดับให้หรูหราขึ้นด้วยทรัฟเฟิลดำ ทุกคำที่ได้ลิ้มลองจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของทรัฟเฟิล ผสานกับรสชาติของชีสที่กลมกล่อมและเบลนด์กันอย่างลงตัว
Japanese Flying Squid, Cucunci:
จานนี้เป็นการจับคู่ที่น่าสนใจระหว่างปลาหมึกบินญี่ปุ่น ที่มีเนื้อสัมผัสแน่นหนึบ กับ Cucunci ซึ่งก็คือผลของต้นเคเปอร์ (Caper berries) ให้รสชาติเค็มอมเปรี้ยวที่เป็นเอกลักษณ์ ช่วยเสริมรสชาติของวัตถุดิบจากทะเลได้เป็นอย่างดี
Smoked Potato Foam Blue Crab Salad, Mango, Grilled Avocado:
สลัดเนื้อปูม้า ถูกนำเสนอในรูปแบบใหม่ภายใต้โฟมมันฝรั่งรมควันเนื้อเนียนเบา ความหวานของเนื้อปูเข้ากันได้ดีกับมะม่วงสุก และความมันนุ่มของอะโวคาโดย่าง ทำให้เกิดมิติของรสชาติที่ซับซ้อนและน่าค้นหา
Oscietra Caviar Balik of Salmon, Sunchoke, Pickled Salmon Roe:
แซลมอนรมควันคุณภาพเยี่ยมที่เรียกว่า Balik of Salmon ถูกท็อปด้วยไข่ปลาคาเวียร์ออสเซียตรา และไข่ปลาแซลมอนดอง เพื่อเพิ่มรสสัมผัสที่หลากหลาย เสริมด้วยซันโช้ค ที่ให้รสหวานอ่อนๆ คล้ายถั่ว ช่วยตัดรสชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Smoked Duck Foie Gras, Raspberry & Beetroot Compote Gel:
ฟัวกราส์ตับเป็ดรมควัน เนื้อเนียนนุ่มละลายในปาก ความเข้มข้นของฟัวกราส์ถูกทำให้สมดุลด้วยเจลคอมโพตราสป์เบอร์รีและบีทรูท ที่ให้รสหวานอมเปรี้ยว ช่วยตัดความเลี่ยนและเพิ่มความสดชื่นได้อย่างลงตัว
PETIT MIGNON COLLECTION
หลังจากจบของคาว ก็มาถึงคิวของหวานที่สวยงามราวกับงานศิลปะ
Pistachio & Strawberry Tart
ทาร์ตชิ้นเล็กน่ารักที่สะกดสายตาตั้งแต่แรกเห็น ชิ้นนี้คือการนำรสชาติคลาสสิกมารวมกันได้อย่างลงตัว! ฐานทาร์ตเป็นเนื้อคุกกี้ที่อบมาอย่างได้ที่ ให้สัมผัสกรุบกรอบกำลังดี และมีรสชาติเนยอ่อนๆ รองรับน้ำหนักของไส้ได้อย่างมั่นคง
ด้านบนถูกแต่งแต้มด้วย ครีม ที่ถูกบีบออกมาเป็นทรงกลมคล้ายเมฆอย่างประณีต ตัวครีมมีความเบา ไม่หนักจนเกินไป และซ่อนความหอมมันของพิสตาชิโอไว้ได้อย่างแยบยล ซึ่งพิสตาชิโอนี้ยังถูกนำมาโรยเป็นเกล็ดละเอียดสีเขียวอ่อนเพื่อเพิ่มมิติของกลิ่นและเนื้อสัมผัสที่ซ่าๆ เล็กน้อย
หัวใจของชิ้นนี้คือ สตรอว์เบอร์รีสด ชิ้นสวยที่วางอยู่ด้านบนสุด มอบความฉ่ำและความเปรี้ยวอมหวานที่มาตัดกับความนุ่มนวลของครีมพิสตาชิโอได้อย่างสมบูรณ์แบบ เสริมด้วยกลีบดอกไม้สีชมพูบางๆ และเนื้อพิสตาชิโอฝานเป็นชิ้นสีเหลืองทองที่วางประดับอยู่ด้านข้าง
โดยรวมแล้ว นี่คือทาร์ตที่ให้ประสบการณ์ทานที่ครบถ้วน: กรอบ จากฐาน, นุ่มเบา จากครีม, หอมมัน จากพิสตาชิโอ, และสดชื่น จากสตรอว์เบอร์รี เป็นการผสมผสานรสชาติสุดคลาสสิกที่ทานง่าย และทำให้อิ่มเอมกับความละเอียดอ่อนของรสชาติได้ในคำเดียว
Tahitian Vanilla Caramel & Pecan Choux:
ชูซ์ชิ้นนี้คืออีกหนึ่งงานศิลปะที่มอบความสุขอย่างแท้จริง! ตัวขนมปังชูซ์ถูกอบจนขึ้นฟูได้รูปทรงกลมสวยงาม และมีผิวที่กรอบนอกนุ่มในอย่างสมบูรณ์แบบ ให้รสชาติเค็มๆ มันๆ อ่อนๆ เป็นฐานที่ดีเยี่ยม
จุดเด่นที่ทำให้ชูซ์ชิ้นนี้เหนือกว่าทั่วไปคือการใช้ วานิลลาตาฮิติ (Tahitian Vanilla) ซึ่งให้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์และลุ่มลึกกว่าวานิลลาทั่วไป ตัวครีมที่บีบอยู่ด้านบนมีความนุ่มละมุนและมีกลิ่นวานิลลาที่ชัดเจนมาก
ใจกลางของครีมประดับด้วยซอสคาราเมลรสเข้มข้นที่มีสีน้ำตาลไหม้สวยงาม คาราเมลนี้ให้ความหวานนำและมีรสขมเล็กน้อยแบบพอดีๆ ซึ่งตัดกับความหอมมันของวานิลลาได้อย่างลงตัว
ปิดท้ายด้วยการโรยถั่วพีแคนที่ถูกสับหยาบๆ บริเวณรอบครีม ถั่วพีแคนนี้เพิ่มมิติของความกรุบกรอบและรสชาติถั่วที่อบอุ่น เสริมด้วยทองคำเปลวบางๆ ที่ทำให้ขนมดูหรูหราขึ้นไปอีกขั้น
เมื่อทานพร้อมกัน จะได้สัมผัสความกรอบของชูซ์, ความนุ่มของครีม, ความเข้มข้นของคาราเมล และความกรุบกรอบของถั่วพีแคน เป็นการรวมตัวกันของเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ซับซ้อนและน่าประทับใจมากครับ
Three Chocolate Milk:
ขนมชิ้นนี้ออกแบบมาเพื่อเอาใจคนรักช็อกโกแลตโดยเฉพาะ เป็นการผสานช็อกโกแลตสามมิติที่นำเสนออย่างมีชั้นเชิงและน่าดึงดูด!
ตัวฐานของขนมมีสีเหลืองอ่อนสลับขาวคล้ายคัสตาร์ดหรือมูสวานิลลาเบาๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากหลังที่นุ่มนวลให้กับรสชาติช็อกโกแลตที่เข้มข้น
ส่วนบนเป็น มูสช็อกโกแลตนม ที่ถูกบีบเป็นทรงสูงอย่างสวยงาม มูสนี้มีความเนียนละเอียดและนุ่มเบา ให้รสชาติช็อกโกแลตนมที่คุ้นเคย หวานมันกำลังดี ไม่หนักจนเกินไป
ความพิเศษอยู่ที่องค์ประกอบด้านบนที่สะท้อนถึงช็อกโกแลตชนิดที่สาม นั่นคือ ดาร์กช็อกโกแลต ซึ่งมาในรูปแบบของเส้นช็อกโกแลตแท่งเล็กๆ สีเข้มที่วางไขว้กันอยู่ด้านบนอย่างมีสไตล์ เส้นเหล่านี้มอบความกรุบกรอบและรสชาติขมเข้มของดาร์กช็อกโกแลตมาตัดกับความหวานของมูสช็อกโกแลตนมและฐานวานิลลาได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกจากนี้ ยังมีการโรยชิ้นส่วนของช็อกโกแลตและทองคำเปลวเล็กๆ เพิ่มความหรูหรา เมื่อทานรวมกันทั้งสามชั้น ทำให้ได้รสชาติที่ไล่ระดับตั้งแต่ความหอมหวานของวานิลลา ไปจนถึงความนุ่มละมุนของช็อกโกแลตนม และปิดท้ายด้วยรสขมอมหวานของดาร์กช็อกโกแลต เป็นการสร้างสรรค์ที่ครบเครื่องสำหรับสายช็อกโกแลตที่ต้องการความซับซ้อนของรสชาติครับ
“The Bee” Acacia Honey & Thai Mango:
และนี่คือไฮไลท์ที่โดดเด่นและน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของชุดขนมอย่างแท้จริง! “The Bee” ไม่ใช่แค่ขนม แต่เป็นผลงานศิลปะที่เชฟเคยคว้ารางวัลชนะเลิศมาแล้ว
รูปลักษณ์: ขนมถูกสร้างสรรค์ให้มีรูปร่างคล้ายผึ้งหรือรังผึ้งสีเหลืองสดใส มีลายเส้นสีน้ำตาลเข้มพาดรอบตัวเสมือนลายทางของผึ้ง และมีก้านเล็กๆ คล้ายหนวดอยู่ด้านบน ช็อกโกแลต ที่ติดอยู่ด้านข้าง ทำให้รูปลักษณ์ยิ่งน่ารักและซุกซน ขนมวางอยู่บนฐานกลีบดอกบัวสีขาวสวยงาม ดูหรูหราและอ่อนช้อย
รสชาติและเนื้อสัมผัส: เมื่อผ่าครึ่ง จะเผยให้เห็นถึงองค์ประกอบที่ซ่อนอยู่ภายใน:
- ผิว/เปลือกด้านนอก: เป็นชั้นเคลือบสีเหลือง (น่าจะเป็นช็อกโกแลตหรือเจลลาติน) ที่มอบรสชาติบางเบาและคงรูปทรง
- มูส: ชั้นหลักเป็นมูสเนียนนุ่มที่เต็มไปด้วยความหอมหวานของ น้ำผึ้งดอกอคาเซีย (Acacia Honey) น้ำผึ้งชนิดนี้มีกลิ่นหอมอ่อนโยนและให้ความหวานที่นุ่มละมุน ไม่บาดคอ
- ไส้ด้านใน: ใจกลางของมูสเป็นชั้นเค้กเนื้อบางเบาหรือบิสกิตที่ชุ่มฉ่ำ สลับกับชิ้นส่วนของมะม่วงไทย รสชาติมะม่วงที่หวานฉ่ำและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เข้ามาตัดกับความหอมของน้ำผึ้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เกิดรสชาติที่ซับซ้อนและสดชื่น
- มิติเพิ่มเติม: ในรูปที่ผ่าครึ่งจะเห็นชั้นสีน้ำตาลเข้มแทรกอยู่ ซึ่งอาจเป็นช็อกโกแลตหรือคาราเมลที่เพิ่มความเข้มข้นและมิติความกรุบกรอบเล็กน้อย
โดยรวมแล้ว “The Bee” เป็นขนมที่น่าประทับใจตั้งแต่การนำเสนอ รสชาติมีความลงตัวระหว่างความหอมหวานนุ่มนวลของน้ำผึ้งและความสดชื่นของมะม่วงไทย ถือเป็นชิ้นที่ห้ามพลาดและสร้างความทรงจำที่ดีที่สุดให้กับชุดของหวานนี้ครับ
Chocolate, Caramelized Cocoa Nibs & Tahiti Vanilla Brioche:
ขนมปังบริยอชเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ที่ผสานรสชาติของช็อกโกแลตและวานิลลาจากตาฮิติ เพิ่มความสนุกด้วยเนื้อสัมผัสกรุบกรอบของเมล็ดโกโก้คั่ว (Cocoa Nibs) ทำให้ได้ประสบการณ์การทานช็อกโกแลตที่หลากหลายในคำเดียว
Soft Serve Milk Vanilla & Strawberry:
ปิดท้ายมื้อชายามบ่ายอย่างสมบูรณ์แบบด้วยซอฟต์เสิร์ฟรสนมวานิลลาและสตรอว์เบอร์รี รสเปรี้ยวของสตรอว์เบอร์รีช่วยมอบความสดชื่น ในขณะที่เนื้อสัมผัสยังคงความครีมมี่บางเบา เป็นการล้างปากเพื่อจบมื้อนี้อย่างสวยงาม
เครื่องดื่มคู่สุนทรียรส
สำหรับเครื่องดื่ม มีให้เลือกทั้งกาแฟ ชาร้อน และเครื่องดื่มเย็นหลากหลายชนิด แต่ที่ผมอยากแนะนำเป็นพิเศษคือ Cacao Husk Tea ซึ่งเป็นชาที่ทำจากเปลือกเมล็ดโกโก้ ให้กลิ่นอายของช็อกโกแลตอย่างชัดเจน เข้ากันได้ดีกับขนมหวาน โดยเฉพาะชิ้นที่มีช็อกโกแลตเป็นส่วนประกอบ ช่วยส่งเสริมรสชาติซึ่งกันและกันได้อย่างน่าทึ่ง
บทสรุปของ The Lounge
Afternoon Tea ที่ The Lounge, Four Seasons Hotel Bangkok ไม่ใช่เป็นเพียงมื้ออาหาร แต่เป็นประสบการณ์ที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยม ตั้งแต่บรรยากาศริมน้ำอันเงียบสงบ การบริการที่ไร้ที่ติ ไปจนถึงอาหารแต่ละคำที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน
ผมขอเชิญทุกท่านมาสัมผัสประสบการณ์อันน่าจดจำนี้ด้วยตัวเอง
- เวลาให้บริการ: ทุกวัน เวลา 14:00 – 17:00 น.
- ราคา: 1,800++ บาทต่อท่าน
- คำแนะนำ: ควรสำรองที่นั่งล่วงหน้า
- เว็บไซต์: https://www.fourseasons.com/bangkok/dining/lounges/the-lounge/
Kin Review
Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์