Kinandleisure
    Facebook Twitter Instagram
    Trending
    • [News] “เทศกาลเนื้อวัวอเมริกัน | American Beef Feast 2025” ร่วมเฉลิมฉลองปลายปี 2025 ด้วยรสชาติแห่งความเป็นเลิศของเนื้อวัวอเมริกันพรีเมี่ยม
    • [Review] NewTasting menu of แก่นกรุง: แก่นแท้แห่งอีสาน ที่สลักเกลาเพื่อเมืองกรุง
    • [News] EMBASSY ROOM LA MARINA  ยกระดับเอกลักษณ์อาหารอิตาเลียนชายฝั่งกับเชฟคนใหม่ อเลสซิโอ บันเคโร Chef Alessio Banchero
    • [ToKnow] “แกงหอง” เมนูทรงโปรดในสมเด็จพระพันปีหลวง – ตำรับชาววังโบราณ กับสูตรทำง่ายแต่รสละเมียดแบบวังแท้
    • [Review] ชุดชาแสนวิจิตรสุดอร่อย โดยเชฟมากรางวัล Nicolas Lambert Afternoon Tea at The Lounge – Four Seasons Hotel Bangkok
    • [Review] “Espresso Intermezzo” Afternoon Tea ใหม่สุดหรูจาก Ms.Jigger, Kimpton Maalai Bangkok สัมผัสรสชาติอิตาเลียนยามบ่ายในบรรยากาศสุดชิค
    • [News] RAVA Beach Club เปิดตัว Pura Vida Sunday Brunch ที่สุดแห่งประสบการณ์บุฟเฟ่ต์มื้อสายวันอาทิตย์ในบรรยากาศริมสระน้ำรับวิวสุดอลังของหาดบางเทา
    • [Promo] “FRIDAY POUR” at The Coffee Academics, Velaa Sindhorn Village Langsuan
    Facebook Twitter Instagram
    Kinandleisure
    • Kin Reviews
      • Top Restaurant
      • French Cuisine
      • European Cuisine
      • German Cuisine
      • Italian Cuisine
      • Japanese Cuisine
      • Thai Cuisine
      • International Cuisine
      • Spanish Cuisine
      • tea lounge/Café & bakery
      • Chinese Cuisine
      • American Cuisine
      • Bar Drinks
      • Steak House
      • Vietnamese Cuisine
      • Korean Cuisine
      • Indian Cuisine
      • latin American
      • Steak House
    • K healthy
      • Kin Healthy
      • Healthy Living
    • Kin Articles
      • Kin General
      • Kin Cooking
      • Kin Seasonal
    • Kin Channel
    • Promo & Event
      • Kin Promo
      • Kin News
      • LifeStyle Promo & Event
    • K Travel&LifeStyle
      • Trip Review
      • Hotel Review
      • Spa & beauty
      • K Fashion
      • K Fit
      • Our Team เบื้องหลัง โฉมหน้าผู้สร้างเนื้อหา กิน ดื่ม เที่ยว โดยทีมงานคุณภาพ
    • K Living & Design
    Kinandleisure
    Home»Dining Type»Fine Dining»[Review] Fillets Bangkok at One Bangkok – คัปโปะโอมากาเสะหรูสไตล์โมเดิร์น ผสานศิลปะญี่ปุ่นร่วมสมัยกลางมหานคร
    Fine Dining

    [Review] Fillets Bangkok at One Bangkok – คัปโปะโอมากาเสะหรูสไตล์โมเดิร์น ผสานศิลปะญี่ปุ่นร่วมสมัยกลางมหานคร

    Kittin AssavavichaiBy Kittin AssavavichaiSeptember 23, 2025Updated:September 23, 2025No Comments6 Mins Read

    Story : Jirod A. Photo : Pol.Capt.Kittin A.

    ในกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยโอมากาเสะหลากหลายสไตล์ คำถามที่หลายคนมักถามคือ “ที่ไหนแตกต่างและน่าตื่นเต้นจริง ๆ?” คำตอบหนึ่งที่ชัดเจนคือ Fillets Bangkok at One Bangkok

    ที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงร้านอาหารญี่ปุ่น แต่คือ เวทีการแสดงศิลปะการครัวสไตล์คัปโปะ (Kappo) ที่ถูกตีความใหม่ให้เป็น Modernist Omakase อันแสนร่วมสมัย ทุกคำที่ลิ้มรสไม่ใช่แค่รสชาติ แต่คือ “การเล่าเรื่อง” ผ่านวัตถุดิบจากญี่ปุ่นที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน บวกกับเทคนิคและไอเดียที่ทำให้คนกินต้องตื่นเต้นตลอดคอร์ส

    บรรยากาศและการออกแบบภายใน

    เมื่อก้าวเข้าสู่ Fillets Bangkok สิ่งแรกที่สัมผัสได้ไม่ใช่กลิ่นของปลา ไม่ใช่เสียงครัว แต่คือ งานออกแบบที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสักแห่ง

    • เคาน์เตอร์โอมากาเสะทรงโค้งขนาดใหญ่ รายล้อมครัวเปิดตรงกลาง เหมือนเวทีโรงละครที่เชฟคือผู้แสดงหลัก และผู้ทานคือผู้ชมแถวหน้า ทุกจังหวะการหั่น การจัดวาง ถูกมองเห็นอย่างใกล้ชิด
    • เพดานโค้งมนพร้อมไฟเส้น LED ที่ทอดนำสายตา สร้างมิติคล้ายอุโมงค์อนาคต แต่แฝงความละมุนด้วยแสงอบอุ่น ไม่ทำให้รู้สึกแข็งกระด้าง
    • วัสดุและโทนสี เน้นความเรียบหรู – เบจ น้ำตาลอ่อน และพื้นผิวด้าน – เพื่อให้อาหารแต่ละคำโดดเด่นราวกับอัญมณีที่ถูกวางบนเวทีสีขาวสะอาด

    บรรยากาศโดยรวมคือ สงบ หรู และเต็มไปด้วยความละเมียดละไม ราวกับเวลาในห้องนี้เดินช้าลงเพื่อให้คุณได้จดจ่อกับทุกคำ

    การได้มานั่งที่ Fillets Bangkok ไม่ใช่เพียงการกินโอมากาเสะ แต่คือการ นั่งเสพการทำอาหารแบบสด ๆ ที่เต็มไปด้วย ลีลาและเทคนิค

    • การเคลื่อนไหวของเชฟแต่ละคนเป๊ะเหมือนกำลังดูโชว์
    • เสียงมีดสัมผัสเขียง แทบจะเป็นเสียงดนตรีประกอบ
    • และเมื่อจานถูกเลื่อนมาตรงหน้า ความรู้สึกเหมือนกำลังได้รับของขวัญที่ห่อมาอย่างงดงาม

    นี่คือสิ่งที่ทำให้ Modernist Kappo Omakase แตกต่าง – ไม่ใช่แค่รสชาติ แต่คือ การเดินทางของประสาทสัมผัสครบทุกด้าน

    โดยก่อนที่กำลังจะเริ่มมื้อ เจ้าหน้าที่จะนำถาดไม้ขาดเล็กมาวางที่เบื้อหน้าพร้อมผ้าอัดเม็ดขาดเล็ก และบรรจงรินน้ำลงให้ผ้าขยายตัวเพื่อเช็ดมือก่อนเริ่มมื้อ

    เปิดม่านโอมากาเสะ: เมื่อซุปใสหนึ่งถ้วย…เล่าเรื่องราวได้มากกว่าที่คิด

    ก่อนที่มหกรรมการปั้นซูชิคำต่อคำจะเริ่มต้นขึ้น ณ ร้าน Fillets Bangkok เชฟได้เชื้อเชยให้เราเข้าสู่โลกแห่งรสชาติด้วยการเปิดม่านการแสดงสุดเรียบง่าย แต่ลึกล้ำเกินบรรยาย นั่นคือซุปใสสีทองอำพันอุ่นๆ หนึ่งถ้วย ที่ไม่ได้มาเปล่าๆ แต่มาพร้อมกับ “เบื้องหลัง” บนถาดไม้ที่เผยให้เห็นถึงหัวใจของความอร่อย

    ถ้วยแรกที่เสิร์ฟ ไม่ใช่แค่ซุปร้อนๆ แต่คือ “ซุปดาชิ” (Dashi Soup – 出汁) ประตูบานแรกสู่ศาสตร์แห่งรสอูมามิในอาหารญี่ปุ่น และนี่คือเหล่าพระเอกนางเอกที่อยู่เบื้องหลังความกลมกล่อมครับ:

    • ดาวเด่นแห่งท้องทะเลลึก: แผ่นสีเข้มขนาดใหญ่นั้นคือ สาหร่ายคอมบุ (Kombu) ราชาแห่งอูมามิจากธรรมชาติ ที่มอบรสชาตินุ่มลึก กลมกล่อมแบบไม่ต้องปรุงแต่ง เป็นฐานที่หนักแน่นและสง่างามให้กับซุปถ้วยนี้
    • จิตวิญญาณแห่งกลิ่นหอม: สิ่งที่เห็นเป็นแผ่นบางๆ ในจาน ไม่ใช่เห็ดหรืออะไรอื่น แต่คือ ปลาโอแห้ง หรือ คัตสึโอะบุชิ (Katsuobushi) ที่ผ่านการรมควันจนหอมกรุ่น ก่อนจะถูกไสออกมาเป็นแผ่นบางเบาราวขนนก เมื่อลงไปเริงระบำในน้ำร้อน ก็จะปลดปล่อยกลิ่นหอมสโมคกี้อันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ซุปมีมิติที่ซับซ้อนน่าค้นหา
    • หยดมหัศจรรย์ปิดท้าย: และแล้วก็มาถึง “ไม้เด็ด” ของเชฟ ผลไม้สีเขียวลูกเล็กกลมกลึง นั่นคือ ส้มยูซุ (Yuzu) หรือ สุดาจิ (Sudachi) เพียงแค่ฝานเปลือกบางๆ หรือบีบน้ำลงไปเล็กน้อย กลิ่นหอมสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์ก็ระเบิดออกมาทันที! มันคือความเปรี้ยวหอมที่ช่วยปลุกทุกประสาทสัมผัสให้ตื่นตัว และสร้างความเซอร์ไพรส์ในความเรียบง่าย

    เมื่อส่วนผสมทั้งสามทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ “อิจิบัง ดาชิ” (Ichiban Dashi) น้ำซุปจากการสกัดครั้งแรกที่ใสบริสุทธิ์และรสชาติดีที่สุด การได้ซดซุปอุ่นๆ หอมกรุ่นถ้วยนี้ก่อนเริ่มมื้อ จึงเปรียบเสมือนการได้รับ “จดหมายเชิญ” จากเชฟ ที่บอกกับเราว่า “กระเพาะของคุณพร้อมแล้วนะ ต่อจากนี้ไปคือของจริง!” เป็นการล้างปากและอุ่นเครื่องที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมรับรสชาติอันโอชะของคอร์สโอมากาเสะที่กำลังจะตามมานั่นเองครับ

    สำหรับคอร์ส Amuse Bouche ในวันนี้ เชฟได้นำเสนอสามเมนูที่ทั้งสร้างสรรค์และน่าประทับใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและการนำเสนอที่แตกต่างกันไป

    1. Amuse Bouch: ปลาซาบะ (Saba)

    เมนูแรกนี้โดดเด่นมากด้วยการใช้ปลา Saba (ปลาซาบะ) ซึ่งปกติแล้วจะมีความมันและกลิ่นคาวค่อนข้างชัด แต่เชฟได้จัดการปลาได้อย่างยอดเยี่ยม เนื้อปลาถูกวางบนแผ่นทอดกรอบที่ให้สัมผัสแตกต่าง ด้านบนประดับด้วย ไข่ปลาคาเวียร์ ที่ช่วยเพิ่มรสเค็มและความหรูหรา และตกแต่งด้วยดอกไม้สีชมพูอ่อนที่ดูสวยงามน่ารับประทาน เป็นเมนูที่ผสมผสานความมันของปลาซาบะ ความกรุบกรอบของแผ่นรอง และความเค็มมันของไข่ปลาได้อย่างลงตัว

    2. Amuse Bouch: ปลาบิน (Flying Fish)

    เมนูถัดมาคือเมนูจาก Flying Fish (ปลาบิน) ที่เชฟนำเสนอได้อย่างน่าทึ่ง เนื้อปลาถูกม้วนมาอย่างประณีตและประดับด้วยดอกไม้สีขาวและม่วงชิ้นเล็ก ๆ ที่ทำให้เมนูดูสวยงามคล้ายงานศิลปะ เนื้อปลาบินมีเท็กซ์เจอร์ที่น่าสนใจ และการตกแต่งด้วยดอกไม้ทำให้จานนี้ดูสดชื่นและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ช่วยเสริมรสชาติของเนื้อปลาได้อย่างดี

    3. Amuse Bouch: ตับปลาอังโกะ (Monkfish Liver)

    ส่วนชิ้นสุดท้ายคือ Monkfish Liver (ตับปลาอังโกะ) หรือที่เรียกกันว่า “ฟัวกราส์แห่งทะเล” ซึ่งเป็นวัตถุดิบคุณภาพสูง โดยชิ้นนี้ถูกปั้นเป็นรูปทรงคล้ายเห็ด ด้านบนมีไข่ปลาคาเวียร์สีส้มวางอยู่ และตั้งอยู่ในภาชนะที่เต็มไปด้วยธัญพืชหลากหลายชนิด ทำให้เมนูนี้ดูเหมือนเห็ดที่งอกออกมาจากดิน เป็นการนำเสนอที่สร้างสรรค์และมีลูกเล่น เนื้อตับปลาอังโกะมีความมันและรสชาติที่เข้มข้นคล้ายตับห่าน แต่มีความละเอียดกว่า เมื่อทานพร้อมไข่ปลาจะยิ่งเพิ่มรสสัมผัสและรสชาติที่ซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น

    โดยรวมแล้ว Amuse Bouche ทั้งสามเมนูนี้คือการเริ่มต้นคอร์สที่ยอดเยี่ยม ทั้งในแง่ของรสชาติ การนำเสนอ และการเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่ธรรมดาครับ

    OTSUKURI | Seasonal Sashimi (ซาชิมิคอร์ส)

    Kinmedai — Golden Eye Snapper (Shimoda)

     (ปลาตาแดง) จากชิโมดะ

    เริ่มกันที่จานเด็ดอย่าง Kinmedai หรือปลาตาแดง เชฟใช้วิธีการสไลซ์เนื้อปลาแบบบางเฉียบ ทำให้เห็นความฉ่ำวาวของเนื้ออย่างชัดเจน ที่พิเศษคือมีการเบิร์นผิวปลาเล็กน้อยด้วยไฟ ทำให้ได้กลิ่นหอม ๆ คล้ายกลิ่นควันมาตัดกับความหวานนุ่มละมุนของเนื้อปลาได้อย่างลงตัว เนื้อปลานั้นหวานมากและมีไขมันแทรกอยู่พอประมาณ ทำให้เนื้อสัมผัสละเอียดนุ่มละลายในปาก เหมือนกับที่เชฟบอกว่าการเบิร์นผิวจะช่วยขับรสหวานของเนื้อให้เด่นชัดขึ้นจริง ๆ ครับ

    นอกจากนี้ ในจานยังมี คอมบุ (kombu) จากฮอกไกโด ที่ถูกนำมาทำเป็นรูปดาว ซึ่งไม่ได้ใส่ในเนื้อปลาโดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็นคอนดิเมนท์ที่ช่วยเพิ่มมิติของรสชาติและกลิ่นอูมามิให้กับ Kinmedai เมื่อรับประทานคู่กัน เป็นการเสริมประสบการณ์การกินให้ลงตัวและน่าสนใจยิ่งขึ้นครับ


    Kamasu — Barracuda (Kochi) (ปลาน้ำดอกไม้) จากโคจิ

    ส่วน Kamasu หรือปลาน้ำดอกไม้ เป็นอีกตัวที่น่าสนใจ เชฟหั่นมาในชิ้นที่หนาปานกลางทำให้สัมผัสได้ถึงความแน่นของเนื้อปลา เนื้อสัมผัสเมื่อเคี้ยวจะรู้สึกกรุบ ๆ เล็กน้อย ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ที่เชฟตั้งใจนำเสนอเพื่อโชว์ “textural bite” หรือมิติของเนื้อสัมผัสโดยเฉพาะ รสชาติค่อนข้างสะอาด ไม่มีความมันหรือความเลี่ยนเลย ทำให้เป็นตัวชูความหลากหลายให้กับคอร์สนี้ได้อย่างดี


    Aji (ปลาอาจิ) จากไอจิ — Horse Mackerel (Aichi)

    ปิดท้ายด้วย Aji หรือปลาอาจิ ซึ่งโดดเด่นในเรื่องของความมันตามธรรมชาติ เชฟใช้เทคนิคการเสิร์ฟที่ชาญฉลาดด้วยการใช้เครื่องเคียงที่มีรสชาติเปรี้ยว/เผ็ดอ่อน ๆ เช่น ขิงหรือหัวหอมซอย มาช่วยบาลานซ์ความมันของปลา ทำให้รสชาติไม่หนักจนเกินไปและยังคงความสดชื่นไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีการเสิร์ฟพร้อมซอสหรือสาหร่ายบางอย่าง ซึ่งเป็นไปได้ว่าเป็นซอสเฉพาะทางที่เชฟทำขึ้นมาเพื่อเสริมรสชาติปลา Aji โดยเฉพาะ ทำให้รสชาติโดยรวมมีความซับซ้อนและอร่อยขึ้นไปอีกขั้นครับ

    SIGNATURE

    Kuro Awabi (หอยเป๋าฮื้อดำ) จาก Tokiwa

    เมนู Kuro Awabi หรือหอยเป๋าฮื้อดำจานนี้คือไฮไลต์ที่แสดงถึงความพิถีพิถันของเชฟได้อย่างแท้จริงครับ จากรูปที่เห็น เราได้เห็นวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมที่ถูกจัดวางมาอย่างสวยงาม ซึ่งรวมถึงหอยเป๋าฮื้อขนาดใหญ่, กระเทียม และ ช็อกโกแลต ที่นำมาใช้ในการเตรียมเมนูนี้ด้วย

    สิ่งที่พิเศษยิ่งกว่านั้นคือ เชฟได้แจ้งว่าหอยเป๋าฮื้อขนาดใหญ่นี้ไม่ได้มาจากการจับทั่วไป แต่มาจากเทคนิค Free Drive หรือการดำน้ำแบบอิสระไม่ใช้ถังอ๊อกซิเจน ซึ่งเป็นวิธีการจับที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยทางการญี่ปุ่น ทำให้สามารถเก็บหอยได้ในปริมาณที่จำกัดต่อครั้ง เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเล วิธีนี้จึงทำให้ได้หอยที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมครับ

    เมื่อมาถึงจานที่เสิร์ฟจริง เชฟได้หั่นหอยเป๋าฮื้อออกเป็นชิ้นบาง ๆ เพื่อโชว์เนื้อสัมผัสที่โดดเด่นของมัน เนื้อหอยนั้นมีความหนึบแน่นแต่ไม่เหนียวเลยครับ เมื่อเคี้ยวจะสัมผัสได้ถึงความหวานจากทะเลที่เข้มข้นและสดชื่นอย่างชัดเจน

    สิ่งที่น่าสนใจคือการเสิร์ฟพร้อมซอสสีเข้มที่ทำจาก ตับหอยเป๋าฮื้อ ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคการปรุงที่โดดเด่นของเชฟหลาย ๆ ท่าน การใช้ซอสจากตับหอยเป๋าฮื้อนี้ช่วยเสริมรสชาติความ “อูมามิ” และความเข้มข้นให้กับเนื้อหอยได้เป็นอย่างดี ทำให้ทุกคำที่ทานมีความซับซ้อนและอร่อยล้ำลึกมากขึ้น และอาจมีการใช้ช็อกโกแลตมาช่วยเสริมรสชาติให้มีความเข้มข้นและแปลกใหม่มากขึ้นครับ

    ตามที่เชฟได้กล่าวไว้ เมนู Kuro Awabi นี้ถือเป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่ต้องการโชว์เทคนิคการจัดการวัตถุดิบ การหั่น การปรุง ไปจนถึงการจัดวาง ทำให้จานนี้ไม่ได้เป็นแค่เมนูอาหาร แต่เป็นงานศิลปะที่เชฟตั้งใจสร้างสรรค์เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าครับ


    SUNOMONO | Vinegar Dish

    คอร์ส Sunomono นี้เป็นจานที่โดดเด่นไม่แพ้จานหลักเลยครับ เพราะเชฟได้นำเสนอสองวัตถุดิบที่ไม่ธรรมดาในจานเดียว นั่นคือหอยเชลล์จากฮอกไกโดและเพรียงคอห่านจากเกาะโอกิ โดยนำเสนอผ่านการจัดจานที่ประณีตและมีรายละเอียด


    การจัดจานและวัตถุดิบ

    ทันทีที่จานถูกวางตรงหน้า ก็ต้องยอมรับในความสร้างสรรค์ของเชฟครับ เพราะการจัดวางไม่ได้เป็นแค่การนำอาหารมาวางบนจาน แต่เป็นการเล่าเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านองค์ประกอบแต่ละอย่าง

    • Hotate (หอยเชลล์) จากฮอกไกโด: เชฟเลือกหอยเชลล์ขนาดใหญ่ชิ้นหนา เพื่อให้ได้สัมผัสความฉ่ำของเนื้อเต็มที่ โดยมีจุดเด่นคือการสไลซ์แตงกวาญี่ปุ่นเป็นแว่นบาง ๆ แล้วจัดเรียงอย่างประณีตเป็นรูปกลีบดอกไม้ 🌸 ที่ช่วยสร้างความรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวา และราดด้วย vinegared dressing หรือซอสจากน้ำส้มสายชูสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งช่วยเสริมรสชาติความหวานของหอยเชลล์ให้เด่นชัด และตัดความเลี่ยนได้อย่างดี ทำให้รู้สึกสะอาดและเกลี้ยงปากในทุกคำที่ทาน

    • Kamenote (เพรียงคอห่าน) จากเกาะโอกิ: อีกหนึ่งความพิเศษคือการนำเพรียงคอห่านซึ่งเป็นวัตถุดิบหายากมาใช้ เชฟนำเพรียงคอห่านไปต้มกับน้ำเกลือในเวลาเพียง 2 นาที ตามที่เชฟบอก ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยคงรสชาติและความหวานตามธรรมชาติของมันเอาไว้ได้ เนื้อของเพรียงคอห่านมีความฉ่ำและรสชาติทะเลที่เข้มข้นคล้ายเนื้อหอยหรือปู และมีความหนึบที่น่าสนใจ ทำให้เป็นประสบการณ์ที่พิเศษและไม่เหมือนใคร

    • ในจานยังมีการโรยดอกชิโสะ (Shiso flowers) หรือที่เราเรียกกันว่า “โฮจิโซะ” (Hojiso) ครับ ดอกชิโสะมีกลิ่นหอมและรสชาติที่สดชื่นคล้ายใบชิโสะ แต่จะอ่อนกว่า นิยมนำมาใช้ตกแต่งจานซาชิมิหรืออาหารญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มสีสันและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ช่วยเสริมรสชาติของวัตถุดิบหลักได้เป็นอย่างดีครับและมีการเสิร์ฟ สาหร่าย Morusuke ซึ่งเป็นสาหร่ายจากโอกินาว่าที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูงรับประทานคู่กันได้ตามต้องการ

    การผสมผสานรสชาติและเนื้อสัมผัสของหอยเชลล์ที่หวานนุ่ม เพรียงคอห่านที่หนึบกรุบ และน้ำส้มสายชูที่สดชื่นเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวนี้ ทำให้คอร์ส Sunomono เป็นการเปิดฉากมื้ออาหารที่น่าจดจำและสร้างความประทับใจได้อย่างแท้จริงครับ

    YAKIMONO | Grilled Dish

    Nodoguro — Rosy Seabass (Shizuoka)

    คอร์ส Yakimono หรือเมนูปลาย่างนี้ เป็นอีกจานที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญของเชฟได้อย่างชัดเจน โดยเลือกใช้ปลา โนโดะกุโระ (Nodoguro / 喉黒) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อปลากะพงคอดำ และขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยและความมันจากธรรมชาติ

    เทคนิคการเตรียมและรสชาติ

    ก่อนที่จะนำปลามาย่าง เชฟได้ใช้เทคนิคพิเศษที่เรียกว่า ‘airline’ คือการนำปลาไปแขวนไว้ในตู้เพื่อทำให้หนังปลามีความตึงและแห้งขึ้นเล็กน้อย (คล้ายกับการทำ dry-aging ระยะสั้น) เทคนิคนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้หนังปลาเมื่อนำไปย่างแล้วจะมีความ กรอบ อย่างเหลือเชื่อ และยังช่วยรักษาความ ชุ่มฉ่ำ ของเนื้อปลาด้านในไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    เมื่อนำไปย่าง เนื้อปลาถูกปรุงมาอย่างพอดี หนังกรอบจนได้ยินเสียงเมื่อกัด และมีกลิ่นหอมของถ่านไม้ (char) ที่หอมฟุ้ง แต่ในขณะเดียวกัน เนื้อปลาด้านในยังคงความนุ่มและชุ่มฉ่ำ ซึ่งความมันตามธรรมชาติของโนโดะกุโระจะละลายในปาก มอบสัมผัสที่นุ่มนวลและรสชาติที่ล้ำลึก เป็นจานที่โชว์เทคนิคการจัดการความร้อนของเชฟได้อย่างยอดเยี่ยม

    การนำเสนอและเครื่องเคียง

    เชฟนำเสนอจานนี้ได้อย่างเรียบง่ายแต่มีชั้นเชิง โดยวางชิ้นปลา โนโดะกุโระ ที่สมบูรณ์แบบไว้บนจาน และเสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงที่เลือกมาอย่างพิถีพิถันเพื่อไม่ให้ไปแย่งซีนรสชาติของปลา ซึ่งในที่นี้คือ แอปเปิ้ลสับละเอียด ที่มาช่วยเพิ่มความสดชื่นและรสเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย ซึ่งเป็นตัวตัดกับความมันของปลาได้อย่างลงตัว ทำให้รสชาติไม่หนักจนเกินไปและทานได้เพลินจนหมดจานครับ

    AGEMONO | Fried Dish

    Fukahire — Shark Fin (Kesennuma) (Sustainable)

    เมนูนี้เป็นเมนู AGEMONO หรืออาหารทอดที่นำเสนอในรูปแบบที่แปลกใหม่และน่าสนใจกว่าที่คิด

    การจัดจานของเมนูนี้มีความเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความละเอียดอ่อน จานหลัก คือชิ้นหูฉลามทอดถูกจัดวางอย่างประณีตในชามขนาดเล็กที่อยู่บนจานหินหรือเซรามิกสีเทาเข้มขนาดใหญ่ ตัวจานสีเทาทำหน้าที่เป็นฉากหลังที่ขับสีสันสดใสของวัตถุดิบอื่นให้โดดเด่นขึ้น ทั้งสีส้มของไข่ปลาคาเวียร์ (หรือไข่กุ้ง) และสีเขียวของต้นหอมญี่ปุ่น (Negi) ทำให้องค์ประกอบทั้งหมดดูน่ารับประทานมากขึ้น

    เทคนิคและรสสัมผัส

    ตัวหูฉลามถูกนำไปทอดอย่างพิถีพิถันจนได้เทกซ์เจอร์ที่น่าสนใจคือ กรอบนอก กรุบนุ่มใน ซึ่งต่างจากหูฉลามแบบซุปที่คุ้นเคยกันอย่างสิ้นเชิง หูฉลามเองมีรสชาติค่อนข้างอ่อน จึงถูกชูรสด้วยซอสหรือเครื่องเคียงที่ช่วยเพิ่มมิติให้รสชาติโดยรวมชัดเจนและกลมกล่อม

    สิ่งที่น่าชื่นชมเป็นพิเศษคือทางร้านระบุอย่างชัดเจนว่าหูฉลามที่ใช้เป็นแบบ “sustainable” หรือยั่งยืน ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยหูฉลามที่ใช้นั้นมาจากฉลามที่ถูกจับมาทั้งตัว และนำส่วนอื่นๆ มาใช้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่แค่ตัดครีบแล้วทิ้งตัว ทำให้คุณสามารถอร่อยกับเมนูนี้ได้อย่างสบายใจ

    O-WAN | Soup Dish

    Ainame — Fat Greenling (Iwate)

    รีวิวเมนู: ซุปปลา (O-WAN)

    เมนูซุปใส O-WAN นี้คือหัวใจสำคัญที่ช่วยปรับรสสัมผัสในคอร์สอาหารให้สมบูรณ์แบบ วัตถุดิบหลักคือ ปลา Fat Greenling (Ainame) จากจังหวัด Iwate ซึ่งถูกนำมาทั้งตัวเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการทำซุป

    จานซุปถูกเสิร์ฟมาในภาชนะเซรามิกสีขาวรูปทรงคล้ายเปลือกหอยหรือคลื่นทะเล มีความโค้งเว้าและดีไซน์ที่ดูทันสมัยแต่ยังคงความเรียบง่ายตามแบบฉบับญี่ปุ่น ภายใต้ชามมีผ้าสีน้ำเงินเข้มรองอยู่ ช่วยขับให้ชามซุปสีขาวดูโดดเด่นและสร้างความรู้สึกสงบ การจัดวางนี้สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียดที่เกินกว่าแค่ตัวอาหาร

    ซุปนี้โดดเด่นที่รสชาติอูมามิที่ล้ำลึกและซับซ้อน ได้จากเทคนิคการทำสต็อกที่พิถีพิถันจาก ส่วนหัวของปลา โดยเชฟมีการกล่าวถึงการตุ๋นหรือบ่มที่ใช้เวลานาน ซึ่งอาจหมายถึงการเคี่ยวสต็อกที่เข้มข้นเป็นพิเศษ ทำให้ได้ซุปใสแต่มีรสหวานจากธรรมชาติของปลาและมีมิติที่ลุ่มลึก

    เมื่อได้ลองชิม จะสัมผัสได้ถึงรสชาติที่ กลมกล่อม หวานจากเนื้อปลา และให้ความรู้สึกอบอุ่น นอกจากนี้ยังมีฟองอากาศละเอียดอยู่บนผิวซุป (Foam) ซึ่งอาจทำจากสต็อกซุปหรือส่วนผสมอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความเบาบางและลูกเล่นให้กับรสสัมผัส

    ตามที่เชฟได้อธิบายไว้ ซุปในอาหารแบบ คัปโปะ ของญี่ปุ่น (Kappo) ไม่ได้เป็นเพียงแค่เมนูหนึ่ง แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำหน้าที่เป็น “ตัวเชื่อม” ระหว่างลำดับรสชาติของแต่ละเมนูในคอร์ส เพื่อให้ผู้รับประทานได้พักจากรสที่เข้มข้น และสร้างความสมดุลให้กับการรับรสโดยรวม

    NIGIRI SUSHI — (นิกิริ)

    การทำซูชิให้อร่อยนั้นไม่ได้อยู่ที่ปลาเพียงอย่างเดียว แต่หัวใจสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือ “ข้าว” หรือ “ชาริ” (Shari) ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน

    ในร้านนี้ ข้าวที่ใช้ไม่ได้มาจากที่ไหนก็ได้ แต่มาจากร้าน “八代目儀兵衛” (Hachidaime Gihei) ร้านข้าวชื่อดังระดับตำนานของเกียวโตที่สืบทอดกิจการมายาวนานถึงแปดรุ่น พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข้าวระดับ “Five-Star Rice Meister” ที่มีความรู้ลึกซึ้งในทุกมิติของเมล็ดข้าว

    เชฟไม่ได้ใช้ข้าวเพียงชนิดเดียว แต่เลือกใช้ข้าวถึง 3 แบบ เพื่อให้เข้ากับวัตถุดิบแต่ละชนิดได้อย่างลงตัว โดยแต่ละเม็ดข้าวผ่านการคัดเลือกและปรุงรสอย่างบรรจง

    • ข้าวแบบที่หนึ่ง: ข้าวขาวบริสุทธิ์ เม็ดข้าวถูกกดอย่างเบามือ ไม่แน่นจนเกินไป ให้สัมผัสที่ร่วนและนุ่มฟู เพื่อให้รสชาติของปลาที่วางอยู่ด้านบนโดดเด่นอย่างเต็มที่
    • ข้าวแบบที่สอง: ข้าวที่ผสมกับน้ำส้มสายชูข้าว (Sushi-su) แบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ซึ่งเชฟปรุงรสให้มีความเปรี้ยวและหวานที่สมดุล เพื่อช่วยตัดความมันและเพิ่มความสดชื่นให้กับวัตถุดิบ
    • ข้าวแบบที่สาม: ข้าวที่มีสีออกม่วงอ่อนๆ ซึ่งเกิดจากการนำไปผสมกับ ไวน์แดง ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะที่สร้างความประหลาดใจ รสชาติเปรี้ยวเล็กน้อยของไวน์ช่วยตัดความมันของปลาที่มีไขมันสูงได้อย่างน่าทึ่ง

    ความพิถีพิถันในการเลือกและปรุงข้าวในแต่ละคำจึงไม่ใช่แค่การปรุงอาหาร แต่เป็นการสร้างงานศิลปะที่เชฟต้องการให้ทุกองค์ประกอบของซูชิ ไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือปลา ทำงานร่วมกันเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้รับประทาน

    Chu-Toro — Medium Fatty Tuna (Canada)

    ชูโทโร่เป็นส่วนเนื้อปลาทูน่าที่มีไขมันแทรกตัวอยู่กำลังดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป คำนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สมบูรณ์แบบของชุดนิกิริ เพราะให้รสชาติที่เข้มข้นแต่ไม่หนักจนเกินไป เมื่อเข้าปาก เนื้อปลาจะให้สัมผัสที่นุ่มนวลและชุ่มฉ่ำ ไขมันจะละลายอย่างรวดเร็ว ปลดปล่อยความ “นัว” อันเป็นเอกลักษณ์ของทูน่า ทำให้เกิดรสชาติที่กลมกล่อมและติดลิ้น

    Shirauo / Baby Golden Cuttlefish (Kumamoto)

    ปลาหมึกชิราอุโอะมีอายุเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่มและละเอียดอ่อนมาก ถือเป็นวัตถุดิบที่ให้ความรู้สึกสะอาดและบริสุทธิ์ เนื้อปลาหมึกนุ่มนิ่มจนแทบละลายในปาก มีความหวานจากทะเลอ่อนๆ ที่เป็นธรรมชาติมาก เหมาะสำหรับเป็นคำพักรสชาติ (palate cleanser) ระหว่างคำที่หนักหรือมันกว่า

    ยังมีการโรย ผิวเปลือกมะนาวญี่ปุ่น (Yuzu) สับละเอียดลงบนตัวปลาด้วย ซึ่งเป็นเทคนิคที่เชฟใช้เพื่อเพิ่มมิติของกลิ่นและรสชาติ การเติมผิวเปลือกมะนาวนี้จะช่วยเพิ่มความหอมสดชื่นและรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อย เป็นการเสริมรสหวานอ่อนๆ ของปลาหมึกได้อย่างลงตัว ทำให้เมนูนี้ไม่ได้มีเพียงแค่รสสัมผัสที่นุ่มนวล แต่ยังได้กลิ่นหอมละมุนที่ช่วยชูรสชาติและทำให้ทุกคำที่ทานมีความซับซ้อนและน่าสนใจยิ่งขึ้น

    Kawahagi — Thread-sail Filefish (Fukuoka) + Liver Sauce

    คาวาฮากิเป็นปลาหายากและมีราคาแพงเพราะปลาหนึ่งตัวทำได้เพียง 5 ชิ้นเท่านั้น ความพิเศษของคำนี้คือการทานคู่กับ ซอสตับปลา (liver sauce) ซึ่งเป็นวิธีการเสิร์ฟที่นิยมเพราะซอสตับจะช่วยเสริมรสชาติของเนื้อปลาที่เบาบางให้มีมิติมากขึ้น ตัวเนื้อปลาคาวาฮากิเองมีรสชาติที่ค่อนข้างอ่อนและเนื้อบางเบา แต่เมื่อนำมาทานคู่กับซอสตับ เนื้อสัมผัสจะเพิ่มความครีมมี่ และรสชาติจะลุ่มลึกขึ้นด้วยอูมามิที่ซับซ้อน เป็นการผสมผสานรสชาติที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

    Ikura — Salmon Roe (Hokkaido)

    ไข่ปลาแซลมอนหรืออิคุระในคำนี้ถูกนำไปต้มและควบคุมอุณหภูมิอย่างพิถีพิถัน ใช้ความร้อนไม่สูงนัก ต้มในน้ำเกลือด้วยไฟเบาๆราว 20 นาที ทำให้ได้ไข่ปลาที่มีความสดและมีผิวสัมผัสที่สมบูรณ์แบบ เหตุที่ไม่ดองแบบตามปกติแต่ใช้วิธีเช่นนี้เพราะไข่ปลาแซลมอนที่ด้ในฟดูร้อนผนังไข่ยังมีความอ่อน การปรุงด้วยกรรวิธีนี้จะเหมาะสมยิ่งกว่า เอกลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของอิคุระคำนี้คือเมื่อกัดเข้าไปแล้ว “เม็ดไข่ปลาจะแตกปั๊บในปาก” ปลดปล่อยรสชาติความเค็มและความหอมจากทะเลออกมาอย่างเต็มที่ เป็นความรู้สึกที่ทั้งอร่อยและสนุกสนานในเวลาเดียวกัน

    MUSHIMONO | Steamed Dish

    Hamaguri — Orient Clam (Ibaraki)

    เมนู MUSHIMONO หรืออาหารนึ่งจานนี้ทำหน้าที่เป็นตัวพักรสชาติที่สมบูรณ์แบบ ก่อนจะเข้าสู่ชุดนิกิริในลำดับถัดไป เมนูถูกเสิร์ฟมาในชามทรงกลมที่มีฝาปิดคล้ายเปลือกไข่ขนาดใหญ่ วางอยู่บนจานเซรามิกสีขาวนวล เมื่อเปิดฝาจะเห็นไข่ตุ๋นเนื้อเนียนอยู่ด้านใน ไฮไลท์คือ หอยตลับญี่ปุ่น (Hamaguri) ตัวโตที่ถูกจัดวางอย่างสวยงาม พร้อมกับการตกแต่งด้วย ใบเงิน (Centella Asiatica) หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อ “ใบบัวบก” ซึ่งมีรูปทรงกลมคล้ายแว่นแก้ว

    เมนูนี้ถูกปรุงด้วยเทคนิคการนึ่ง ทำให้ หอยตลับญี่ปุ่น (Hamaguri) ยังคงความสดและมีเทกซ์เจอร์ที่ เด้งและกรุบ เป็นพิเศษ เชฟได้เลือกที่จะนึ่งหอยในน้ำซุปดาชิใสๆ (Dashi) เพื่อดึงรสหวานตามธรรมชาติของหอยออกมาได้อย่างเต็มที่

    เมื่อทานพร้อมกับไข่ตุ๋นเนื้อเนียนนุ่มและซุปดาชิรสกลมกล่อม เมนูนี้จะให้ความรู้สึกที่ เบา สดชื่น และไม่หนักจนเกินไป เป็นการหยุดพักที่ลงตัวหลังจากทานนิกิริมาหลายคำ ทำให้รสสัมผัสในปากกลับมาสดชื่นและพร้อมสำหรับการลิ้มลองคำต่อไป

    Kuruma Ebi (Tiger Prawn)

    ที่มาและความโดดเด่น: กุ้งลายเสือจากจังหวัดนางาซากิเป็นวัตถุดิบที่ถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน โดยกุ้งแต่ละตัวมีน้ำหนักหลังแกะเปลือกอยู่ที่ประมาณ 40 กรัม ถือเป็นขนาดที่กำลังพอดีเพื่อความหวานและเนื้อสัมผัสที่เต็มคำ

    เทคนิคและรสสัมผัส: เพื่อให้ได้ความหวานและเนื้อสัมผัสที่ดีที่สุด เชฟใช้เทคนิคที่แม่นยำด้วยการ “ต้มในน้ำที่อุณหภูมิ 53 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 32 วินาที” เทคนิคนี้ช่วยลดความคาวของกุ้งและยังคงความเด้งและแน่นของเนื้อไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อเข้าปากจะได้รสชาติที่หวานละมุนอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นคำที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความสดชื่น


    Sanma (Pacific Saury)

    ปลาซันมะเป็นปลาประจำฤดูกาลใบไม้ร่วงจากฮอกไกโด มีเอกลักษณ์ที่รสชาติเข้มข้นและมันกว่าปลาชนิดอื่น

    เนื้อปลา Sanma ให้รสชาติที่ลุ่มลึก มีความมันเฉพาะตัว และมีรสขมติดปลายลิ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้ ทำให้เป็นคำที่ต้องทานคู่กับข้าวและซอสที่ไม่หวานจนเกินไป เพื่อให้รสชาติโดยรวมสมดุล


    Uni (Sea Urchin)

    ไข่หอยเม่นในคำนี้มาจากแบรนด์ “Maruhiro” (มารุฮิโระ) ตามที่ระบุบนกล่องไม้ ซึ่งเป็นพันธุ์ มุราซากิ (Murasaki Uni) จากฮอกไกโด ถือเป็นหนึ่งในพันธุ์หอยเม่นที่ให้รสชาติยอดเยี่ยมที่สุด

    หอยเม่นคำนี้ให้สัมผัสที่ “ครีมมี่” และนุ่มนวลจน ละลายในปาก รสชาติหวานจากทะเลชัดเจนและไม่มีความคาวเลยแม้แต่น้อย เป็นประสบการณ์ที่หรูหราและน่าประทับใจอย่างแท้จริง


    O-Toro (Fatty Tuna)

    โอโทโร่จากแคนาดาเป็นส่วนที่มีไขมันสูงที่สุดของปลาทูน่า ถือเป็น “จุดพีก” ของชุดนิกิริทั้งหมด

    ชิ้นโอโทโร่มีขนาดใหญ่กว่าชูโทโร่ทั่วไปและแสดงให้เห็นถึงลายไขมันสีขาวที่แทรกซึมอยู่ทั่วเนื้อปลาอย่างชัดเจน ทำให้เมื่อเข้าปาก ไขมันจะ ละลายอย่างรวดเร็ว ให้รสชาติที่เข้มข้น นุ่มนวล และเต็มไปด้วยความอร่อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เป็นการปิดท้ายมื้ออย่างยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบ

    AKA-DASHI MISO & CASTER A TAMAGO (ซุปมิโสะและไข่ม้วนสไตล์คาสเทลลา)

    มื้ออาหารนี้ถูกปิดท้ายด้วยเมนูที่เรียบง่ายแต่แฝงด้วยความลุ่มลึกอย่าง ซุปมิโสะแดง (Aka-dashi Miso) และ ไข่ม้วนสไตล์คาสเทลลา (Castella Tamago) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเปลี่ยนรสชาติที่สมบูรณ์แบบก่อนจะเข้าสู่ของหวาน

    Aka-dashi Miso (ซุปมิโสะแดง)

    ซุปมิโสะแดงถ้วยนี้มีรสชาติที่เข้มข้นและลึกซึ้งกว่าซุปมิโสะทั่วไป เป็นการเตรียมความพร้อมของรสสัมผัสในปากก่อนเข้าสู่ช่วงของหวาน โดยซุปจะช่วยล้างความมันและรสเค็มที่ติดค้างอยู่ ทำให้รสชาติของของหวานที่จะตามมาเด่นชัดขึ้น

    Castella Tamago (ไข่ม้วนสไตล์คาสเทลลา)

    ไข่ม้วนที่เสิร์ฟมาในรูปแบบของหวานนี้มีความพิเศษตรงที่เชฟใช้เปลือกกุ้งมาเคี่ยวรวมกับส่วนผสมหลัก ทำให้ได้รสชาติและกลิ่นอายของทะเลที่ซับซ้อนแต่ไม่คาว เนื้อไข่ม้วนให้ความรู้สึกเหมือนเค้กคาสเทลลาที่เนียนนุ่มและฟูเบา มีรสหวานอ่อนๆ ไม่หนักจนเกินไป เป็นการปิดท้ายมื้ออาหารที่ทั้งประทับใจและสบายท้อง


    PRE-DESSERT & DESSERT

    Pre-dessert

    เมนูนี้ถูกนำเสนออย่างสวยงามในแก้วไวน์ทรงสูง ดูสะอาดตาและทันสมัย ส่วนประกอบหลักคือ ไอศกรีมลิ้นจี่ และ วุ้นกุหลาบ ซึ่งให้รสชาติที่สดชื่นและมีกลิ่นหอม

    • ส่วนฐาน คือวุ้นใสๆ ที่เป็น วุ้นกุหลาบ ซึ่งให้ความหอมหวานและเนื้อสัมผัสที่นุ่มนวล
    • ส่วนบน คือก้อนสีขาวนวลที่ เป็นไอศกรีม ซึ่งมีรสชาติของ ลิ้นจี่ ที่หวานอมเปรี้ยว
    • การตกแต่ง มีการวางกลีบดอกไม้สีม่วงเล็กๆ ที่เรียกว่า โฮจิโสะ (Hojiso) ไว้บนไอศกรีม เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

    การผสมผสานนี้ทำให้เมนูนี้ไม่ได้เน้นความหวานจัด แต่เน้นที่ความสดชื่นและหอมละมุน เป็นการปิดท้ายมื้และล้างปากของคาวได้อย่างนุ่มนวลและไม่หนักจนเกินไป

    Dessert — Kyoto Matcha | Shiso Seeds Ice Cream

    การปิดท้ายมื้ออาหารสุดพิเศษนี้คือของหวานที่นำเสนอความแตกต่างอย่างลงตัว เป็นการเปลี่ยนจากซีรีส์อาหารทะเลที่เข้มข้นมาสู่รสชาติที่หรูหราแต่สดชื่นของขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่น

    ของหวานถูกนำเสนออย่างสวยงามบนจานเซรามิกทรงกลมขอบหนาที่มีสีส้มอิฐ ซึ่งสร้างคอนทราสต์ที่โดดเด่นกับสีเขียวของมัทฉะ ส่วนฐานเป็นครีมมัทฉะเนื้อเนียนที่ถูกบีบออกมาเป็นทรงกลมเล็กๆ วางเรียงบนฐานเดียวกัน ด้านบนมีไอศกรีมสีชมพูอ่อนที่ประดับด้วยแผ่นแป้งกรอบและมีเมล็ดชิโสะเป็นส่วนผสม ดูราวกับงานศิลปะ

    เมนูนี้เน้นการผสมผสานรสชาติที่ซับซ้อนแต่ลงตัว โดยมีส่วนประกอบหลักคือ ไอศกรีมมัทฉะเข้มข้น จากเกียวโต ซึ่งให้รสชาติขมอ่อนๆ ที่ลุ่มลึก นอกจากนี้ยังมี ไอศกรีมเมล็ดชิโสะ (Shiso Seeds Ice Cream) ที่ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมสดชื่นและรสชาติที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

    เชฟยังได้เพิ่มมิติให้กับของหวานด้วยการใช้ ช็อกโกแลต 85% จากเชียงใหม่ ผสมผสานกับวัตถุดิบอื่น ๆ ทำให้เมนูนี้มีรสชาติที่เป็นสากลแต่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัว

    เมนูนี้ทำหน้าที่เป็นตัว “กระชับ” รสชาติในปากได้อย่างสมบูรณ์แบบ ช่วยล้างความมันและความเค็มที่หลงเหลือจากเมนูหลัก และปิดท้ายมื้ออาหารอย่างสะอาดและสดชื่น

    PETIT FOUR

    การปิดท้ายมื้ออาหารที่สมบูรณ์แบบคือเมนู Petit Four ที่ถูกจัดเสิร์ฟอย่างสร้างสรรค์บนจานเซรามิกดีไซน์พิเศษที่ดูราวกับผ้าที่ถูกม้วน

    จานนี้ประกอบด้วยของหวานสามชิ้นเล็กๆ และเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว ซึ่งแต่ละชิ้นถูกจัดวางอย่างประณีตบนจานสีขาวนวล ทำให้เมนูดูน่าสนใจและน่ารับประทาน

    • ชิ้นแรก: เป็นมาร์ชเมลโลว์หรือวุ้นเนื้อนุ่มๆ สีส้มอมเหลืองในทรงสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
    • ชิ้นที่สอง: เป็นแซนด์วิชชิ้นเล็กๆ ที่มีไส้ครีมอยู่ตรงกลางและตกแต่งด้วยจุดสีน้ำตาลเข้ม
    • ชิ้นที่สาม: เป็นชิ้นเค้กหรือทาร์ตขนาดเล็กที่ตกแต่งด้วยเส้นสายสีขาวฝอยๆ ด้านบน

    ส่วนเครื่องดื่มที่มาพร้อมกันนั้นอยู่ในแก้วเซรามิกทรงกลมผิวขรุขระ มีสีน้ำตาลทอง ซึ่งเป็นชาหรือกาแฟที่ช่วยปรับรสชาติในปาก

    สำหรับใครที่มองหาร้านอาหารสเต๊กเฮาส์สไตล์อเมริกันแบบพรีเมียมในบรรยากาศส่วนตัว ต้องไม่พลาดร้าน Fillets at One Bangkok ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง

    ข้อมูลร้าน

    • ที่ตั้ง: ชั้น 3 โซน The Storeys, One Bangkok (ถนนวิทยุ, แขวงลุมพินี, เขตปทุมวัน, กรุงเทพฯ 10330)
    • บริการ: มีห้องรับประทานอาหารส่วนตัว และบริการ Wi-Fi
    • เบอร์โทรศัพท์: 092 879 6882

    เวลาทำการ

    • 12:00 – 22:30 น.

    Kin Review

    Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์

    รูปและเนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของทาง Kinandleisure.com ไม่อนุญาตให้นำไปใช้จนกว่าจะได้รับการอนุญาตจากทางผู้บริหาร หากฝ่าฝืนผู้บริหารพร้อมดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด

    Share this:

    • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
    • Click to share on X (Opens in new window) X
    • Click to share on Threads (Opens in new window) Threads
    Previous Article[News] “เฮยยิน” เปิดตัว 5 คอร์สอาหารเมนูใหม่ “HEI YIN Cantonese Refined, A Five-Course Tasting” รังสรรค์ประสบการณ์อาหารกวางตุ้งร่วมสมัยสุดประณีต พร้อมเครื่องดื่มชั้นเลิศ
    Next Article [Preview] เปิดตัวแลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์แห่งใหม่บนถนนสุขุมวิท ใจกลางมหานคร @ KROMO Bangkok, Curio Collection by Hilton

    Related Posts

    [Review] NewTasting menu of แก่นกรุง: แก่นแท้แห่งอีสาน ที่สลักเกลาเพื่อเมืองกรุง

    November 1, 2025

    [Review] Gala Dinner บนเรือ Saffron Cruise ฉลอง 50 ปี Thailand–Mexico กับบทเพลง Mariachi สุดอลัง

    October 9, 2025

    [Review] หรูหรา มีเรื่องเล่า และเต็มไปด้วยรสชาติ — The Twelve-Hand Dinner มื้อพิเศษฉลอง 5 ปี Sindhorn Kempinski Bangkok

    October 9, 2025

    Comments are closed.

    • Recent Posts
    • POPULAR

    [News] “เทศกาลเนื้อวัวอเมริกัน | American Beef Feast 2025” ร่วมเฉลิมฉลองปลายปี 2025 ด้วยรสชาติแห่งความเป็นเลิศของเนื้อวัวอเมริกันพรีเมี่ยม

    November 5, 2025

    [Review] NewTasting menu of แก่นกรุง: แก่นแท้แห่งอีสาน ที่สลักเกลาเพื่อเมืองกรุง

    November 1, 2025

    [News] EMBASSY ROOM LA MARINA  ยกระดับเอกลักษณ์อาหารอิตาเลียนชายฝั่งกับเชฟคนใหม่ อเลสซิโอ บันเคโร Chef Alessio Banchero

    October 31, 2025

    [ToKnow] “แกงหอง” เมนูทรงโปรดในสมเด็จพระพันปีหลวง – ตำรับชาววังโบราณ กับสูตรทำง่ายแต่รสละเมียดแบบวังแท้

    October 26, 2025

    [Review] ชุดชาแสนวิจิตรสุดอร่อย โดยเชฟมากรางวัล Nicolas Lambert Afternoon Tea at The Lounge – Four Seasons Hotel Bangkok

    October 23, 2025

    [News] “เทศกาลเนื้อวัวอเมริกัน | American Beef Feast 2025” ร่วมเฉลิมฉลองปลายปี 2025 ด้วยรสชาติแห่งความเป็นเลิศของเนื้อวัวอเมริกันพรีเมี่ยม

    November 5, 2025

    [Review] NewTasting menu of แก่นกรุง: แก่นแท้แห่งอีสาน ที่สลักเกลาเพื่อเมืองกรุง

    November 1, 2025

    [News] EMBASSY ROOM LA MARINA  ยกระดับเอกลักษณ์อาหารอิตาเลียนชายฝั่งกับเชฟคนใหม่ อเลสซิโอ บันเคโร Chef Alessio Banchero

    October 31, 2025

    [ToKnow] “แกงหอง” เมนูทรงโปรดในสมเด็จพระพันปีหลวง – ตำรับชาววังโบราณ กับสูตรทำง่ายแต่รสละเมียดแบบวังแท้

    October 26, 2025

    [Review] ชุดชาแสนวิจิตรสุดอร่อย โดยเชฟมากรางวัล Nicolas Lambert Afternoon Tea at The Lounge – Four Seasons Hotel Bangkok

    October 23, 2025
    POPULAR

    “ฟัวกราส์” ถูกแบนแล้วในแดนแซมบ้า ห้ามซื้อห้ามขายห้ามกิน

    June 29, 2015

    เมล็ดมันแกวแก่ กินไม่ดีถึงตายไปหลายรายแล้ว!!!!

    June 30, 2015

    ภาชนะที่ทำจากโฟมใส่ของกินของต้องห้ามในนิวยอร์กตั้งแต่วันนี้!

    July 2, 2015
    @KinlakeStars
    KINLAKESTARS.COM

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

     

    Loading Comments...