กูร์เมท์ วัน กรุ๊ป (Gourmet One Group) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารชั้นนำของเมืองไทย โดยคุณพัชรินทร์ เหมอังกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ จับมือสหพันธ์ผู้ส่งออกเนื้อสัตว์แห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Meat Export Federation) และแบรนด์ Certified Angus Beef (CAB) จัดแคมเปญส่งท้ายปี 2025 อย่างยิ่งใหญ่ด้วย “เทศกาลเนื้อวัวอเมริกัน | American Beef Feast 2025” มอบรสชาติแห่งความเป็นเลิศของเนื้อวัวอเมริกันเกรดพรีเมี่ยมที่ได้รับการยกย่องทั่วโลกในด้านความนุ่ม ความฉ่ำ และรสชาติที่เข้มข้นให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยได้ลิ้มลอง “เทศกาลเนื้อวัวอเมริกัน | American Beef Feast 2025” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2025 นำเสนอเนื้อวัวพรีเมียมจากแบรนด์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Swift, 1855 และ Imperial American Wagyu Beef โดยมีโรงแรมระดับ 5 ดาว และร้านอาหารชั้นนำในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และขอนแก่นรวม 30 แห่ง เข้าร่วมแคมเปญนำเสนอเมนูพิเศษที่ปรุงด้วยเนื้อวัวพรีเมี่ยมจากทั้ง 3 แบรนด์ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารที่บ้าน เนื้อวัวคุณภาพสูงเหล่านี้จะวางจำหน่ายที่ ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ 21 สาขาที่ร่วมรายการ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคชาวไทยได้ลิ้มลองเนื้อวัวที่ได้รับการยกย่องระดับโลกในเรื่องความนุ่ม ความฉ่ำ และรสชาติที่เข้มข้นถึงบ้าน งานเปิดตัว “เทศกาลเนื้อวัวอเมริกัน | American Beef Feast 2025” จัดขึ้นที่โรงแรม เจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจากผู้แทนจากสหพันธ์ผู้ส่งออกเนื้อสัตว์แห่งสหรัฐอเมริกา (USMEF) และแบรนด์ Certified Angus Beef (CAB) มาร่วมงาน พร้อมมอบเครื่องหมาย “American Beef Feast…
Author: Kittin Assavavichai
โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ ยินดีประกาศแต่งตั้ง เชฟอเลสซิโอ บันเคโร เป็นเชฟเดอ คูซีนคนใหม่ของ Embassy Room La Marina ห้องอาหารอิตาเลียนแนวชายฝั่งทะเล เชฟอเลสซิโอมีต้นกำเนิดจากเมืองเจนัว ประเทศอิตาลี นำประสบการณ์ด้านการทำอาหารกว่า 20 ปี มายกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ Embassy Room La Marina โดยนำเสนอคอนเซ็ปต์อาหารใหม่ที่รสชาติสดชื่นและมีชีวิตชีวาของชายฝั่งอิตาลี ควบคู่ไปกับเมนูอิตาเลียนยอดนิยมและต้นตำรับที่หลายคนคุ้นเคย เชฟอเลสซิโอเติบโตขึ้นในเมืองชายฝั่งเจนัว ความหลงใหลในการทำอาหารเริ่มต้นจากห้องครัวที่ร้านอาหารของคุณป้า รวมถึงท่าเรือใกล้เคียงที่เขาใช้เวลาเฝ้าดูชาวประมงทำงานอย่างใกล้ชิด ด้วยความสนใจในวัตถุดิบทะเลสดใหม่ที่ชาวประมงจับมาได้ในแต่ละวัน ประสบการณ์เหล่านี้ได้หล่อหลอมความรักในอาหารที่ใช้วัตถุดิบแท้จริง เชฟอเลสซิโอจบการศึกษาจากสถาบัน Culinary Institute Nino Bergese ที่มีชื่อเสียงในเจนัว และได้ฝึกฝนฝีมือจากร้านอาหารเด่น ๆ ทั่วโลก เช่น Zeffirino และ Ristorante Il Veliero ในเจนัว รวมถึงร้านอาหารที่ได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกา ไทย อินเดีย และเกาะมอริเชียส แม้จะมีชื่อเสียงด้านรสชาติอาหารชายฝั่งอิตาลี เชฟอเลสซิโอยังเชี่ยวชาญในอาหารอิตาเลียนคลาสสิกโดยรวม โดยมีความเข้าใจลึกซึ้งในสูตรดั้งเดิมที่หลากหลาย เมนูซิกเนเจอร์ของเชพคือ “Spaghetti alle vongole e bottarga” สปาเก็ตตี้วองโกเล่ที่มาพร้อมหอยตลับ ไข่ปลาคาราสุมิ และเปลือกเลมอนเชื่อม สะท้อนรสชาติบ้านเกิดของเชฟ อีกเมนูโปรดของลูกค้าคือ “Casoncelli di Gamberi e Salsa alle Zucchine” เกี๊ยวไส้กุ้งเสิร์ฟกับซอสซูกินี บูราต้า ถั่วลันเตา และกุ้งแดงมาซารา เดลวัลโล ซึ่งเป็นเมนูที่ถูกใจคนรักกุ้งอย่างแท้จริง “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เข้าร่วมงานกับพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ และได้มีโอกาสร่วมสร้างสรรค์ในวงการอาหารของเมืองที่น่าทึ่งนี้” เชฟอเลสซิโอกล่าว “การได้ทำงานร่วมกับเชฟแดเนียล มาสเตอร์ส และทีมงานที่มีฝีมือ ผมตั้งใจที่จะสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่น่าจดจำด้วยเมนูที่ตอบโจทย์คนไทยที่ชื่นชอบรสชาติต้นตำรับและจัดจ้าน” ตั้งอยู่บนชั้น 9 ของพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ Embassy Room La Marina มอบบรรยากาศที่ผสมผสานความหรูหราอย่างผ่อนคลาย ได้แรงบันดาลใจจากความอบอุ่นของวัฒนธรรมอาหารอิตาเลียนและเสน่ห์ของหมู่บ้านชาวประมง สัมผัสรสชาติแท้จริงของเชฟอเลสซิโอ ที่รังสรรค์อาหารจากภูมิภาคชายฝั่งอิตาลีควบคู่ไปกับเมนูอิตาเลียนยอดนิยมแบบต้นตำรับ เชิญทุกท่านมาร่วมแบ่งปันและเก็บรักษาความทรงจำที่งดงามนี้ด้วยกัน…
ภูเก็ต — RAVA Beach Club บีชคลับที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยใจกลางหาดบางเทา จ.ภูเก็ต เปิดสุดยอดประสบการณ์เหนือระดับหนึ่งเดียวในภูเก็ตกับ Pura Vida Sunday Brunch พร้อมชวนทุกคนลืมภาพเดิม ๆ ของ Sunday Brunch แล้วมาเอ็นจอยกับอาหารเลิศรสในบรรยากาศสุดชิลที่หาจากที่อื่นไม่ได้ โดย RAVA Beach Club ต่อยอดความพิเศษของบรันช์ที่มีชื่อเสียงมายาวนานของบันยันทรี ภูเก็ต พร้อมรังสรรค์ประสบการณ์ให้เข้ากับสายไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ นำเสนอไลน์อัปจัดเต็มทั้งซีฟู้ดสด ๆ เนื้อดรายเอจคุณภาพระดับโลก อาหารไทยรสจัดจ้าน ท่ามกลางชายหาดสุดเอกซ์คลูซีฟและดนตรีสดแสนผ่อนคลาย กลายเป็นประสบการณ์ที่สายบรันช์และสายชิลห้ามพลาด บุฟเฟ่ต์ Sunday Brunch เสิร์ฟทุกวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 12.00-15.30 น. นอกจากลูกค้าจะได้ลิ้มรสอาหารคาวหวานรสชาติเยี่ยมอย่างจุใจแล้ว ยังสามารถชิลที่สระว่ายน้ำและพื้นที่พักผ่อนริมหาดบางเทาของ RAVA ที่ทอดยาวกว่า 180 เมตรได้ด้วย ทั้งหมดนี้นำเสนอในราคาสุทธิ 2,900 บาทต่อท่าน โดยลูกค้าจะได้รับ House Wine 1 ขวดสำหรับ 2 ท่าน รังสรรค์โมเมนต์ที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมาย Pura Vida หมายถึงจังหวะชีวิตที่เปี่ยมด้วยความสุขอันเรียบง่าย โดยบรันช์ที่นี่คัดสรรเฉพาะวัตถุดิบสดใหม่ ใส่เทคนิคการปรุงที่พิถีพิถัน และเสิร์ฟในบรรยากาศวิวทะเลอันงดงาม โดยเมนูอาหารจะหมุนเวียนไปทุกเดือน เพื่อให้แขกได้ลิ้มลองรสชาติใหม่ ๆ ตามฤดูกาล เปิดไลน์อัปอาหารสุดพรีเมียมจากวัตถุดิบโลคอลและทั่วโลก ไลน์อัพบุฟเฟ่ต์เริ่มต้นด้วยสเตชันซีฟู้ดสดที่เสิร์ฟหอยนางรมฝรั่งเศสคู่กับซอสและเครื่องเคียงที่คัดสรรอย่างพิถีพิถัน แถมยังจัดเต็มกับซาชิมิทูน่า แซลมอน และฮามาจิ ที่ปรุงรสอย่างเรียบง่ายเพื่อชูรสชาติความสดของวัตถุดิบ ที่ขาดไม่ได้คือสเตชันซีฟู้ดย่างเตาถ่าน นำหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ ปูม้า กุ้งลายเสือจากท้องถิ่นมาย่างถ่านจนหอม พร้อมชูความสดจากท้องทะเลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ต่อกันด้วยไลน์ชาร์กูเตอรีที่คัดสรรเนื้อคุณพรีเมียม ภาพเยี่ยม ทั้งวากิวเบรซาโอลาสไลซ์บาง ๆ เซอราโนแฮม พาสตรามี และมอร์ตาเดลลา เสิร์ฟคู่กับชีสสัญชาติไทยคุณภาพเยี่ยม ขนมปังซาวร์โดว์ และเครื่องเคียง นอกจากนี้ยังมีเมนูไส้กรอกหลากสไตล์ ย่างร้อน ๆ เสิร์ฟพร้อมซอสหลายรสชาติ อีกมุมไฮไลต์คือโซนที่เปิดให้แขกมาชมการทำอาหารอย่างใกล้ชิด โดยมีเชฟซูชิมาทำมากิและนิกิริสดใหม่ และเชฟพาสต้าที่มารังสรรค์เมนูจานต่อจาน โดยให้แขกเลือกเส้นญ็อกกี สปาเก็ตตี หรือเฟตตูชินี มาคลุกเคล้ากับซอสนดูยา ซีฟู้ด หรือคาร์โบนาราเข้มข้น อีกจุดที่ไม่ควรพลาดคือสเตชันเนื้อที่รวบรวมเนื้อรสเลิศ ทั้งเนื้อย่างเสียบไม้หมุน…
ค่ำคืนแห่งเสียงดนตรี วัฒนธรรม และมิตรภาพที่ล่องเรือไปกลางเจ้าพระยา ค่ำคืนวันที่ 23 กันยายน 2025 — สายน้ำเจ้าพระยากระทบแสงไฟระยิบระยับจากสะพานพระรามแปด ขณะที่เรือลำหรู “Saffron Cruise” ของโรงแรม Banyan Tree ล่องออกจากท่า River City อย่างสง่างาม เสียงไวโอลินและทรัมเป็ตเริ่มขับขานขึ้นจากดาดฟ้าเรือ บทเพลงจังหวะสนุกแบบเม็กซิกันที่ใครได้ยินก็อดขยับไม่ได้ ทำให้ทุกคนรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่งานกาล่าดินเนอร์ธรรมดา — หากคือค่ำคืนเฉลิมฉลอง “50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและเม็กซิโก” ที่เต็มไปด้วยศิลปะ วัฒนธรรม และมิตรภาพระหว่างสองโลกที่อยู่คนละซีกฟ้า เมื่อเสียงกีตาร์และไวโอลินบรรจบกับสายน้ำเจ้าพระยา บนเวทีเล็ก ๆ กลางเรือ ปรากฏภาพของกลุ่มศิลปินหญิงในชุดแดงสด ปักดิ้นทองระยับสว่างใต้แสงไฟ พวกเธอคือ “Mariachi Bonitas de Dinorah” — วงมาเรียชิหญิงล้วนที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติจากเม็กซิโก ซิตี้ กลุ่มนักดนตรีหญิงผู้บุกเบิกการนำเสนอศิลปะแบบ Mariachi ด้วยพลัง เสน่ห์ และความสง่างาม เสียงร้องทรงพลังสลับเสียงทรัมเป็ตแผดกังวาน ปนด้วยเสียงไวโอลินที่ขยับจังหวะอย่างร่าเริง เพลง “El Son de la Negra” ดังขึ้นเป็นเพลงเปิด พร้อมเสียงปรบมือจากแขกเหรื่อชาวไทยและชาวต่างชาติที่นั่งอยู่รอบโต๊ะอาหารในบรรยากาศแสงดาวเหนือสายน้ำ มันคือช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองที่งดงามและอบอุ่นที่สุดช่วงหนึ่งของปี 50 ปีแห่งสายสัมพันธ์ทางการทูต: จากวัฒนธรรมสู่มิตรภาพ การจัดงานในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก สถานเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจำประเทศไทย (Embajada de México en Tailandia) ร่วมกับ Banyan Tree Bangkok และ Saffron Cruise ซึ่งตั้งใจเนรมิตค่ำคืนนี้ให้เป็นมากกว่า “งานเลี้ยง” — แต่เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างสองประเทศที่ต่างมีความร่ำรวยทางวัฒนธรรม ประเทศไทยและเม็กซิโกเริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 1975 และตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรม ศิลปะ การศึกษา และอาหารอย่างต่อเนื่อง — เม็กซิโกส่งศิลปิน ดนตรี และภาพยนตร์เข้ามาเผยแพร่ในไทย ในขณะที่อาหารไทยก็ได้รับความนิยมสูงในเม็กซิโกจนมีร้านอาหารไทยเปิดอยู่ทั่วประเทศ การที่ทั้งสองชาติเลือก “อาหารและดนตรี” เป็นหัวใจของการเฉลิมฉลองในครั้งนี้ จึงถือเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังที่สุดของการสื่อสารแบบไร้พรมแดน Mariachi Bonitas de Dinorah:…
ภายใต้แสงนวลละมุนของร้าน “เฮยยิน (HEI YIN)” ที่ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของ Gaysorn Village ความเงียบสงบถูกแทนที่ด้วยเสียงกระซิบของจานกระเบื้องและไวน์ที่เอียงรับแสงเทียน นี่คือช่วงเวลาที่ศิลปะแห่งอาหารกวางตุ้งได้รับการตีความใหม่ในชื่อ “HEI YIN Cantonese Refined, A Five-Course Tasting” เมนูห้าคอร์สที่เชฟนำเสนอไม่เพียงเป็นรสชาติ แต่คือ “บทกวีแห่งรสสัมผัส” ที่ร้อยเรียงจากวัตถุดิบระดับพรีเมียม สู่ความละเมียดในทุกองค์ประกอบ — ทั้งกลิ่น สี สัมผัส และอุณหภูมิ 🥢 Amuse-Bouche: สลัดเอ็นหอยจอบและไข่ปลาแซลมอน (Pen Shell Tendon Salad with Salmon Roe) “คำแรกที่พาใจล่องสู่ทะเลกวางตุ้ง” จานแรกเปรียบเสมือนการเปิดม่านของโอเปร่ารสชาติ — เอ็นหอยจอบเนื้อขาวใสถูกลวกจนได้สัมผัสนุ่มหนึบ ราดด้วยซอสซีฟู้ดกวางตุ้งสูตรเปรี้ยวสดชื่นที่มีปลายรสเค็มเผ็ดบางเบา และไข่ปลาแซลมอนจากญี่ปุ่นที่เพิ่มรสเค็มนัวราวเสียงคลื่นแผ่วเบา เชฟวางเนื้อเอ็นหอยจอบเป็นแนวโค้งคล้ายเปลือกหอย เปิดรับแสงที่ตกกระทบด้านข้าง จัดไข่ปลาแซลมอนเรียงเป็นเส้นโค้งเหนือซอสใสในจานสีฟ้าขาวที่ให้ความรู้สึกทะเลอ่อนโยน ด้านข้างแต้มด้วยหยดน้ำมันงาและเกล็ดเกลือทะเล สร้างจุดประกายเหมือนละอองน้ำ กลิ่นซิตรัสของซอสผสมกลิ่นควันเบาๆ จากน้ำมันงา หอมเย็น สดใส รสแรกคือ “ความสะอาด” ที่ค่อยๆ คลี่ตัวเป็นความนัวและหวานจากเอ็นหอย เชฟใช้ “หลักองค์ประกอบวงกลมซ้อน” เพื่อเลียนแบบภาพมุมสูงของทะเล — ขอบส้มทองแทนแสงตะวันตกดิน ส่วนชั้นน้ำแข็งสีฟ้าแทนผิวน้ำที่สะท้อนฟ้า การใช้โทนสีเย็นกับอบอุ่นในจานเดียวกันสร้างความสมดุลทั้งอารมณ์และรสชาติ นี่คือการ “วาดภาพทะเล” ด้วยวัตถุดิบที่กินได้จริง ไวน์แพริ่ง: Anna Spinato Valdobbiadene Prosecco Superiore Brut (Italy) ไวน์ขาวฟองละเอียดจากแคว้นเวเนโตที่มีกลิ่นหอมของลูกแพร์เขียว แอปเปิ้ล และดอกเอลเดอร์เบลนด์ ความเปรี้ยวสดของ Prosecco ช่วยเปิดเพดานปากอย่างนุ่มนวล ฟองที่ละเอียดช่วย “ยก” รสเค็มสดของไข่ปลาแซลมอนและความนัวของซอสให้โปร่งขึ้น เมื่อจิบ Prosecco แล้วตามด้วยคำของเอ็นหอย จะรู้สึกได้ถึงจังหวะรสชาติที่สมดุล — ฟองไวน์ช่วยทำให้ความหนึบของเอ็นหอยเบาและกรอบขึ้น ขณะที่กลิ่นผลไม้ขาวช่วยเสริมกลิ่นเปรี้ยวของซอสซีฟู้ดให้กลมกล่อม เหมือนคลื่นลูกเล็กที่ต่อยอดคลื่นใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์ โทนรสโดยรวม: สดใส สะอาด มีพลังแต่ละมุนในปลายรส เหมาะเป็นไวน์เปิดมื้อที่ช่วยขับความสดของอาหารทะเลและเตรียมลิ้นสำหรับคอร์สต่อไปอย่างไร้รอยต่อ 🍗 Appetizer: ปีกไก่ยัดไส้ข้าวเหนียว…
โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปี กับดินเนอร์มื้อพิเศษ The Twelve-Hand Dinner ด้วยความเป็นเลิศด้านอาหารและเครื่องดื่มของแบรนด์เคมปินสกี้ที่มีชื่อเสียงที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน เชฟประจำแต่ละห้องอาหารของโรงแรมฯ จึงร่วมกันรังสรรค์เมนูมื้อค่ำสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อคุณ ร่วมเปิดประสบการณ์ความอร่อยผ่านเมนู 6-คอร์สสุดคลาสสิกที่แฝงความโดดเด่นมีเสน่ห์เฉพาะตัวของแต่ละเมนู ที่ทีมเชฟจะมาถ่ายทอดแรงบันดาลใจสู่การปรุงเมนูมื้อค่ำสุดพิเศษนี้ ในวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องอาหารเฟลอริช โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ ในราคาท่านละ 3,500++ บาท สำหรับเมนู 6-คอร์ส และราคาท่านละ 4,500++ บาท สำหรับเมนู 6-คอร์ส พร้อมเครื่องดื่ม สำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่ https://bit.ly/SindhornKempinski-5thHotelAnniversary มื้อค่ำสุดพิเศษ The Twelve-Hand Dinner ครั้งนี้นำโดยเอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟ แฟรงค์ เทรเพส์ช พร้อมด้วยทีมเชฟมากประสบการณ์ ได้แก่ เชฟชัชษร และ เชฟโอมาร์ จากห้องอาหารเฟลอริช, เชฟซาวาดะ จากห้องอาหารคิ อิซากายะ, เชฟไซม่อน จากแบร์โธลด์ เดลิคาเทสเซน และเชฟสลาโวเมียร์ จากห้องอาหารบิสโทร เดอ ลา แมร์ ที่จะร่วมกันรังสรรค์มื้อค่ำสุดพิเศษในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปีของโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟ แฟรงค์ เทรเพส์ช (Executive Chef Frank Trepesch) ด้วยประสบการณ์กว่า 25 ปี ทั้งในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์และโรงแรมหรูทั่วโลก เชฟแฟรงค์ได้นำทักษะและความชำนาญต่างๆ มานำทีมเชฟของโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ พร้อมทั้งถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เพื่อเติมเต็มศาสตร์แห่งศิลปะในการปรุงอาหาร ที่จะเชื่อมโยงรสชาติจากหลากหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน และแปรเปลี่ยนเมนูในแต่ละจานสู่เรื่องราวการเดินทางของอาหารที่เต็มไปด้วยรสชาติและอารมณ์ที่น่าสัมผัส เชฟชัชษร ประทุมมา – เอ็กเซ็กคิวทีฟซูเชฟ (Chef Chatsorn Pratoomma – Executive Sous…
Story : Jirod A. Photo : Pol.Capt.Kittin A. ในกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยโอมากาเสะหลากหลายสไตล์ คำถามที่หลายคนมักถามคือ “ที่ไหนแตกต่างและน่าตื่นเต้นจริง ๆ?” คำตอบหนึ่งที่ชัดเจนคือ Fillets Bangkok at One Bangkok ที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงร้านอาหารญี่ปุ่น แต่คือ เวทีการแสดงศิลปะการครัวสไตล์คัปโปะ (Kappo) ที่ถูกตีความใหม่ให้เป็น Modernist Omakase อันแสนร่วมสมัย ทุกคำที่ลิ้มรสไม่ใช่แค่รสชาติ แต่คือ “การเล่าเรื่อง” ผ่านวัตถุดิบจากญี่ปุ่นที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน บวกกับเทคนิคและไอเดียที่ทำให้คนกินต้องตื่นเต้นตลอดคอร์ส บรรยากาศและการออกแบบภายใน เมื่อก้าวเข้าสู่ Fillets Bangkok สิ่งแรกที่สัมผัสได้ไม่ใช่กลิ่นของปลา ไม่ใช่เสียงครัว แต่คือ งานออกแบบที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสักแห่ง เคาน์เตอร์โอมากาเสะทรงโค้งขนาดใหญ่ รายล้อมครัวเปิดตรงกลาง เหมือนเวทีโรงละครที่เชฟคือผู้แสดงหลัก และผู้ทานคือผู้ชมแถวหน้า ทุกจังหวะการหั่น การจัดวาง ถูกมองเห็นอย่างใกล้ชิด เพดานโค้งมนพร้อมไฟเส้น LED ที่ทอดนำสายตา สร้างมิติคล้ายอุโมงค์อนาคต แต่แฝงความละมุนด้วยแสงอบอุ่น ไม่ทำให้รู้สึกแข็งกระด้าง วัสดุและโทนสี เน้นความเรียบหรู – เบจ น้ำตาลอ่อน และพื้นผิวด้าน – เพื่อให้อาหารแต่ละคำโดดเด่นราวกับอัญมณีที่ถูกวางบนเวทีสีขาวสะอาด บรรยากาศโดยรวมคือ สงบ หรู และเต็มไปด้วยความละเมียดละไม ราวกับเวลาในห้องนี้เดินช้าลงเพื่อให้คุณได้จดจ่อกับทุกคำ การได้มานั่งที่ Fillets Bangkok ไม่ใช่เพียงการกินโอมากาเสะ แต่คือการ นั่งเสพการทำอาหารแบบสด ๆ ที่เต็มไปด้วย ลีลาและเทคนิค การเคลื่อนไหวของเชฟแต่ละคนเป๊ะเหมือนกำลังดูโชว์ เสียงมีดสัมผัสเขียง แทบจะเป็นเสียงดนตรีประกอบ และเมื่อจานถูกเลื่อนมาตรงหน้า ความรู้สึกเหมือนกำลังได้รับของขวัญที่ห่อมาอย่างงดงาม นี่คือสิ่งที่ทำให้ Modernist Kappo Omakase แตกต่าง – ไม่ใช่แค่รสชาติ แต่คือ การเดินทางของประสาทสัมผัสครบทุกด้าน โดยก่อนที่กำลังจะเริ่มมื้อ เจ้าหน้าที่จะนำถาดไม้ขาดเล็กมาวางที่เบื้อหน้าพร้อมผ้าอัดเม็ดขาดเล็ก และบรรจงรินน้ำลงให้ผ้าขยายตัวเพื่อเช็ดมือก่อนเริ่มมื้อ เปิดม่านโอมากาเสะ: เมื่อซุปใสหนึ่งถ้วย…เล่าเรื่องราวได้มากกว่าที่คิด ก่อนที่มหกรรมการปั้นซูชิคำต่อคำจะเริ่มต้นขึ้น ณ ร้าน Fillets Bangkok เชฟได้เชื้อเชยให้เราเข้าสู่โลกแห่งรสชาติด้วยการเปิดม่านการแสดงสุดเรียบง่าย…
“เฮยยิน” ร้านอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งร่วมสมัย เปิดตัว 5 คอร์สอาหารเมนูใหม่ล่าสุด “HEI YIN Cantonese Refined, A Five-Course Tasting” นำเสนอความงดงามของอาหารกวางตุ้งด้วยวัตถุดิบอาหารทะเลคุณภาพเยี่ยม และเทคนิคการปรุงที่พิถีพิถัน ผสมผสานมุมมองร่วมสมัยเพื่อสร้างสรรค์รสชาติที่ละเมียดละไมในทุกจาน พร้อมทางเลือกเครื่องดื่มชั้นเลิศ ให้บริการ ราคาอาหารท่านละ 1,888++บาท / ท่าน สำหรับเครื่องดื่ม ราคาเริ่มต้น 688++ – 988++ บาท / ท่าน ให้บริการ 2 ช่วงเวลา ตั้งแต่ 11.00 – 15.00 น. และ 18.00 – 22.00 น. เริ่มตั้งแต่ วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2568 ร้านอาหารจีน “เฮยยิน” พร้อมเผยโฉมใหม่ 5 คอร์สอาหารสุดหรูที่มี “หัวใจของเมนูนี้คือการนำเสนอความอร่อยอันโดดเด่น ผ่านวัตถุดิบ เทคนิค และรสชาติของอาหารกวางตุ้งในรูปแบบร่วมสมัย เพื่อมอบประสบการณ์ที่กลมกล่อมและละเมียดละไมในทุกคอร์ส ตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อยจนถึงของหวาน” ไฮไลต์เมนู 5 คอร์ส: ประกอบด้วย• Amuse-Bouche: สลัดเอ็นหอยจอบและไข่ปลาแซลมอน (Pen Shell Tendon Salad with Salmon Roe) เปิดประสบการณ์ด้วยสัมผัสรสทะเลสดใหม่ เอ็นหอยจอบคัดพิเศษและไข่ปลาแซลมอนจากประเทศญี่ปุ่น• Appetizer: ปีกไก่ยัดไส้ข้าวเหนียว ซอสเห็ดทรัฟเฟิล และหมูกรอบ (Chicken Wing Stuffed with Sticky Rice, Truffle Sauce & Crispy Pork) อาหารคอมฟอร์ตฟู้ดที่ได้รับการยกระดับ ปีกไก่ยัดไส้ข้าวเหนียว และซอสเห็ดทรัฟเฟิลและหมูกรอบสไตล์กวางตุ้ง• Soup: หูฉลามกังป๋วยเนื้อปู ในน้ำซุปสูตรพิเศษ (Shark Fin Soup with Dried Scallops…
10 เมนูใหม่ ‘ศิลาดล’ The Sukhothai Bangkok ที่สายอาหารไทยต้องห้ามพลาด – Fine Thai Dining ระดับตำนานกลับมาอีกครั้ง ศิลาดล บทใหม่แห่งตำนานอาหารไทยชั้นสูง Fine Thai Dining ที่ผสานรากเหง้าและความร่วมสมัยโดยเชฟจิ๊บ ในโลกของอาหาร fine dining ไทย ห้องอาหาร “ศิลาดล” แห่งโรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในชื่อที่ถูกกล่าวขานมาเนิ่นนาน ไม่เพียงเพราะสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัยที่รายล้อมด้วยเรือนไทยกลางสระบัว หากแต่เป็นเพราะ “วิญญาณ” ของครัวไทยที่นี่ซึ่งถูกตีความและถ่ายทอดด้วยความวิจิตรบรรจงเสมอมา วันนี้ “ศิลาดล” กำลังเขียนบทใหม่ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น ภายใต้การนำของ เชฟจิ๊บ – เชฟหญิงมากฝีมือ ที่เลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นอย่างมีรสนิยม ผสานศาสตร์การครัวไทยชั้นสูงกับมิติร่วมสมัยอย่างละเมียดละไม อาหารทุกจานจึงไม่ใช่เพียงมื้ออาหาร หากเป็น “บทสนทนา” ระหว่างอดีตและปัจจุบัน ที่ยังคงความจริงแท้ของรสชาติไทยอย่างไม่หวั่นไหวไปตามกระแสที่เต็มไปด้วยการฟิวชั่นที่ปรับเปลี่ยนอาหารจนห่างไกลจากรากเหง้าเดิม 1. ข้าวพับใบเตยโบราณ (550 บาท) เมนูเรียกน้ำย่อยที่อวดศิลปะงานห่ออย่างประณีต ข้าวสวยหอมมะลิถูกห่อด้วยใบเตยสด พับแน่นเป็นทรงสามเหลี่ยมแล้วนึ่งจนกลิ่นหอมซึมเข้าเนื้อข้าว ด้านบนมีเนื้อปูสดหวานแน่น ภายในซ่อนบเห็ดออรินจิ เห็ดนางรม และหน่อไม้หวาน ปรุงด้วยรากผักชี กระเทียม พริกไทยขาว — รสละมุนแบบไทยโบราณที่หอมกลิ่นสมุนไพรขึ้นจมูก นับเป็นการทักทายแรกที่สง่างาม 2. ปอเปี๊ยะเป็ด (450 บาท) ปอเปี๊ยะที่ไม่ใช่แค่ของกินเล่น แต่เชฟจิ๊บตั้งใจให้เป็นงานคราฟท์ในทุกคำ เริ่มจาก เนื้อเป็ดกงฟี (Duck Confit) ที่ผ่านการตุ๋นจนเปื่อยนุ่ม รสเข้มข้น ก่อนจะถูกห่อด้วยแป้งปอเปี๊ยะบางเฉียบ แล้วทอดจนกรอบเป็นสีเหลืองทองสวย ทุกชิ้นเสิร์ฟร้อน ๆ พร้อม ขิงทอดกรอบและเส้นเผือกทอดฟู ช่วยเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบและกลิ่นหอมอ่อน ๆ แบบไทย ๆ บนจานยังแต่งด้วยพริกเขียวทอดและใบไม้แกะสลัก เพิ่มความงดงามในสไตล์ fine dining คู่รสชาติอยู่ที่ ซอสดิปพลัม–สับปะรด ที่เชฟปรับสมดุลให้เปรี้ยวหวานสดชื่น ตัดกับความมันกรอบของเป็ดและแป้งได้พอดีทุกคำ เป็นเมนูที่ดูเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยรายละเอียด รสชาติและสัมผัสถูกคิดมาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ทั้งนักชิมไทยและต่างชาติสัมผัสได้ถึง “ความประณีตของอาหารไทยร่วมสมัย” 3. ยำส้มโอขาวใหญ่อัมพวากุ้งแม่น้ำย่าง (500 บาท)…
Ms.Jigger ห้องอาหารอิตาเลียน ณ โรงแรมคิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ เปิดตัวอาร์ฟเตอร์นูนที “Espresso Intermezzo” พร้อมเชิญชวนให้คุณมาสัมผัสประสบการณ์การจิบชายามบ่ายรูปแบบใหม่ ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหาร ของหวานและเครื่องดื่มจากประเทศอิตาลี นอกเหนือจากเซ็ทอาหารกลางวันและเมนูอาหารเย็นอันเลื่องชื่อของ Ms.Jigger แล้ว ห้องอาหารอิตาเลียนร่วมสมัยแห่งนี้ ยังสามารถเป็นสถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบที่คุณสามารถมาผ่อนคลายกับเพื่อนๆ พร้อมรับประทานอาหารว่างทั้งคาวหวานที่ได้แรงบันดาลใจจากประเทศอิตาลี รวมถึงกาแฟ ชาระดับพรีเมียม และม็อกเทลกาแฟที่รังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษ ได้แก่ Freddo กาแฟอาราบิก้าจากประเทศโคลอมเบีย เสิร์ฟพร้อมคุกกี้ช็อกโกแลต Caffè Freddo all’Acqua di Cocco กาแฟโคลด์บรูว์อาราบิก้าจากประเทศนิการากัว ผสมกับมะพร้าวและส้ม พร้อมความซ่าจากโซดา Roma Rosso กาแฟอาราบิก้าจากประเทศอินเดีย ผสมกับน้ำหวานกุหลาบจุฬาลงกรณ์ และโซดาพีชและมะลิกลิ่นห้อมสดชื่น Caffè Fruttato กาแฟโคลด์บรูว์รสชาติกลมกล่อม ผสมผสานกับเกรปฟรุตสีชมพู ลูกแพร์ ส้ม และนม สำหรับเมนูอาหารว่างแบบคาว อร่อยไปกับ ขนมปัง Piadina ที่มีส่วนผสมของปลาทูน่า เคเปอร์ และมะกอกดำ Kalamata โฟคคาเซียที่อัดแน่นไปด้วยแฮมมอร์ตาเดลลารสชาติเข้มข้น ชีสโพรโวลา และมะเขือยาวที่ไปย่างจนหชนุ่มหอม บรูสเกตต้าที่โปะหน้าด้วยกุ้งแดงทาร์ทาร์รสละมุน เป็นต้น สำหรับผู้ที่ชอบของหวาน คุณยังสามารถลิ้มลองขนมหวานสไตล์อิตาเลียน เช่น ขนมคานโนลีสไตล์ซิซิลี ที่อัดแน่นไปด้วยชีสริคอตต้า พิสตาชิโอครัมเบิล ขนมบอมโบลินีเฮเซลนัทนุ่มฟู มูสช็อกโกแลตผสมเหล้ารัม และอีกมากมาย ชุดน้ำชายามบ่าย Espresso Intermezzo ราคาเซ็ทละ 1,590++ บาท สำหรับ 2 ท่าน รวมเครื่องดื่ม 2 แก้ว โดยสามารถเลือกได้ระหว่าง ชา กาแฟ และกาแฟม็อกเทล มีให้บริการทุกวันที่ห้องอาหาร Ms.Jigger โรงแรมคิม์ปตัน มาลัย กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 11:30 น. – 17:00 น. Ms.Jigger เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11:30 น. ถึงเที่ยงคืน…