Story : Natthanai C. / Photo : Pol.Capt. Kittin A
ในห้วงเวลาที่ความเงียบสงบโอบล้อมความเป็นส่วนตัว ณ ETCHA 360° ซึ่งเพิ่งเปิดม่านต้อนรับในเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา สัมผัสแรกที่ตราตรึงมิใช่เพียงบรรยากาศอันละเมียดละไมภายใต้โทนสีเทาละมุนและเอิร์ธโทนอันแสนอบอุ่น หากแต่เป็นการเดินทางแห่งรสชาติอันน่าอัศจรรย์ที่รังสรรค์โดย Chef Giacomo Primante ผู้เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งการปรุงอาหารมาตั้งแต่เยาว์วัยจากแคว้น Abruzzo ประเทศอิตาลี

Chef Giacomo Primante เกิดในปี 1995 ที่เมือง Lanciano ประเทศอิตาลี ได้รับแรงบันดาลใจในการทำอาหารจากหญิงแม่ในครอบครัวตั้งแต่วัยเยาว์ เส้นทางอาชีพของเขาเริ่มต้นที่ร้านอาหาร Chesery ในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งได้รับดาวมิชลิน ตามด้วยบทบาทสำคัญในร้านอาหารระดับสามดาวมิชลินในสเปน ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา เช่น Diverxo, Kei Kobayashi, Mirazur และ Benu

ปรัชญาการทำอาหารของเขาเน้นการผสมผสานเทคนิคการปรุงอาหารยุโรปเข้ากับวัตถุดิบท้องถิ่นจากทั่วโลก โดยไม่ยึดติดกับขอบเขตใด ๆ สะท้อนถึงแนวคิด “Borderless Dining” ที่ ETCHA 360° ซึ่งเป็นการนำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไร้พรมแดน

เมนูที่ ETCHA 360° ถูกออกแบบให้เป็นการเดินทางทางรสชาติที่เล่าเรื่องราวผ่านแต่ละจาน เช่น การนำปลา Monkfish จากฝรั่งเศสมาผสมผสานกับดอกซูกินีจากเชียงใหม่ ไส้ไก่บด และโฟมกาแฟจากภาคเหนือของไทย สร้างสรรค์เป็นจานที่รวมรสชาติและเทคนิคจากหลากหลายวัฒนธรรม

บรรยากาศภายในร้านได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ด้วยโทนสีเอิร์ธโทนและการตกแต่งที่เรียบหรู สร้างความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง เสริมด้วยผ้าม่านที่พลิ้วไหวและแสงไฟอบอุ่น ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกผ่อนคลายและพร้อมเปิดรับประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใคร

ที่ ETCHA 360° การรับประทานอาหารไม่ใช่เพียงแค่การลิ้มลองรสชาติ แต่เป็นการสัมผัสศิลปะแห่งการปรุงอาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรม เทคนิค และวัตถุดิบจากทั่วโลก นำเสนอผ่านมุมมองของ Chef Giacomo Primante ที่เชื่อว่าการทำอาหารคือการแสดงออกถึงความรักและความหลงใหลในศิลปะการปรุงอาหารอย่างแท้จริง

เบื้องหลังความสง่างามนี้ คือเส้นทางอาชีพที่ค้นหาของเชฟ Giacomo ซึ่งได้สั่งสมประสบการณ์จากครัวระดับมิชลินสตาร์ทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็น Chesery (1 ดาวมิชลิน) ในสวิตเซอร์แลนด์ ไปจนถึง DiverXO, Kei, Mirazur และ Benu (ทั้งสิ้น 3 ดาวมิชลิน) ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความเชี่ยวชาญและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลในการผสมผสานศาสตร์และศิลป์แห่งการทำอาหาร

และในค่ำคืนพิเศษนี้ ETCHA 360° Tasting Menu ได้เผยโฉมบทเพลงแห่งรสชาติจำนวน 9 คอร์ส ที่บรรเลงอย่างประณีตบรรจง ราวกับงานศิลปะที่พร้อมจะมอบประสบการณ์อันเหนือระดับแก่ทุกประสาทสัมผัส

การออกแบบ
ในโลกของ fine dining ที่เต็มไปด้วยความพยายามในการเรียกร้องความสนใจผ่านความตระการตาและเสน่ห์เร้าอารมณ์ ETCHA Bangkok เลือกที่จะหยัดยืนอยู่บนหลักของ “ความนิ่งสงบ” ซึ่งลึกซึ้งกว่าความงามผิวเผิน หากคือความละเมียดละไมในทุกรายละเอียด—เป็นการบอกเล่าจิตวิญญาณของสถานที่ผ่าน “ภาษาแห่งวัสดุและแสงเงา” ที่เปี่ยมความหมาย

ประตูไม้เนื้อเข้มสูงจรดฝ้าเพดาน ที่ต้อนรับแขกอยู่เบื้องหน้า เสมือนประตูบานแรกของบทกวีร่วมสมัยที่กำลังจะเริ่มต้น พื้นผิวไม้ถูกเซาะลายอย่างมีจังหวะระนาบ แสดงออกถึงการเคารพวัสดุธรรมชาติด้วยวิธีที่ละเมียดประณีต คล้ายบทสวดเชิงวัสดุศาสตร์ที่ทั้งอ่อนโยนและทรงพลัง

เมื่อก้าวเข้าสู่ภายใน สิ่งที่โอบล้อมคือ การจัดวางพื้นที่ที่เคารพความเป็นส่วนตัวอย่างถึงที่สุด ม่านผ้ากำมะหยี่สีเทาละอองหมอกห่มคลุมผนังรอบด้านอย่างมีจังหวะ ทอดยาวจากฝ้าเพดานจรดพื้นดั่งม่านเวทีในโรงละครยุโรปยุคศตวรรษที่ 19 แต่กลับกลายเป็นบทสรุปเชิง minimalism ที่ปราศจากการโอ่อ่าฟุ้งเฟ้อ—ความหรูหราในความนิ่งนั้นกลับยิ่งยืนยง

เฟอร์นิเจอร์ทรงโค้งมน ไร้มุมแหลม ชวนให้นึกถึงปรัชญาการออกแบบแบบ organic modernism โดยที่เก้าอี้และโต๊ะไม้สีอ่อนต่างรองรับความโค้งเว้าของเรือนร่างผู้ใช้ได้อย่างนุ่มนวล เสริมสร้างสมดุลระหว่างกายภาพและอารมณ์

องค์ประกอบที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ ผ้าม่านชั้นในที่ถูกจับระบายซ้อนกันเป็นชั้นคล้ายโคมไฟห้อยจากเพดาน องค์ประกอบนี้มิใช่เพียงงานตกแต่ง หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่ง “จังหวะ” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของทั้งงานออกแบบภายในและการลิ้มรสอาหาร—เป็น rhythm แห่งศิลป์ที่สะท้อนความตั้งใจของการลำดับประสบการณ์ในทุกช่วงเวลาของการรับประทาน

พื้นไม้สีอบอุ่นสะท้อนแสงธรรมชาติที่ส่องลอดจากผนังกระจกเต็มบาน ช่วยผสานโลกภายนอกเข้ากับบรรยากาศภายในอย่างไร้รอยต่อ ขณะเดียวกันเส้นสายของสถาปัตยกรรมยังคงไว้ซึ่งความเรียบง่ายอย่างตั้งใจ ปล่อยให้วัสดุ งานฝีมือ และความนิ่งของบรรยากาศพูดแทนทุกคำอธิบาย

ETCHA คือพื้นที่ที่สถาปัตยกรรมมิใช่เพียงเปลือก แต่คือบทสนทนาระหว่างวัสดุ แสง และความรู้สึก—เป็นห้องอาหารที่ทุกตารางเมตรคือบทกวีแห่งการออกแบบ

Small Delicacies: บทนำแห่งความรื่นรมย์
ประเดิมด้วย Small Delicacies ทั้ง 5 คำ ที่เสิร์ฟคู่กับ Champagne Vranken Demoiselle



คำที่หนึ่ง เปิดฉากอย่างแผ่วเบาแต่ชัดเจน ด้วยแป้งปอเปี๊ยะกรอบบางที่ห่อหุ้ม เนื้อปลาอาจิ เคี่ยวกับ คอมบุ และผักกรอบ สร้างสมดุลระหว่างกลิ่นรสอูมามิจากทะเลและสัมผัสเบา ๆ ของพื้นผักสด—ราวกับนำผู้ทานเดินเข้าสู่สวนญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยหมอกยามเช้า

คำที่สอง คือจุดพลิกอารมณ์ที่แฝงความสนุกแบบ “คิดไม่ถึง” ด้วยแป้งกรอบที่บรรจุ ครีมรสนัว และ หัวหอมซอย สื่ออารมณ์ของลาบหมูผ่านกลิ่นพริกป่น ข้าวคั่ว และความเผ็ดปลายลิ้นอันเบาบาง รสที่คุ้นเคยในความทรงจำท้องถิ่นถูกนำเสนอในรูปแบบใหม่ที่เฉียบคมและคมคาย

คำที่สาม คือคำที่กล้าและแปลกใหม่ที่สุด—หัวปลากรอบ เสิร์ฟคู่ ซอสต้มยำข้น ที่ไม่แค่พาให้นึกถึงน้ำพริกปลากรอบอันคุ้นเคย แต่ยังปลุกความเป็น “บ้าน” ในรสชาติที่โมเดิร์นและเข้มข้น ซอสต้มยำเจือกลิ่นสมุนไพร เปรี้ยว เค็ม และเผ็ด พอดีในสเกลของคำเดียว

คำที่สี่ คือสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด—มังคุดเชื่อม กลายเป็นตัวเอก ที่กลิ่นหวานอมเปรี้ยวแบบทรอปิคัล ผสานกับ หอมเจียวกรอบ ได้อย่างเกินคาด กลิ่นไหม้บาง ๆ และน้ำมันหอม ๆ จากหอมเจียวทำหน้าที่เหมือนเครื่องเทศตะวันออก กลายเป็นคำที่ทั้งสดชื่นและลึกซึ้ง

คำสุดท้าย ไม่ได้มาในรูปของอาหาร แต่เป็นจิบเล็ก ๆ ของ เหล้าขาวรัม (Rum) ที่ผ่านการแต่งกลิ่นด้วย โกโก้ อย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมละมุนของช็อกโกแลตคั่วผสมผสานกับแอลกอฮอล์ที่ไหลอุ่นลงคอ เป็นจุดจบที่มีพลัง ราวกับโน้ตดนตรีสุดท้ายในซิมโฟนีที่ไร้คำพูดแต่หนักแน่นในความรู้สึก


เมื่อทั้งหมดนี้ถูกรับประทานเคียงกับ Champagne Vranken Demoiselle ซึ่งมีโทนฟลอรัลและมิเนอรัลสูง การจับคู่กลายเป็นการเดินทางจากความคมสู่ความนุ่มนวล จากความหอมกรุ่นสู่ความลุ่มลึก ราวกับแชมเปญกลายเป็นตัวกลางที่หลอมรวมทุกคำให้เป็นเรื่องเดียวกัน—เรื่องของความคิดสร้างสรรค์อย่างไร้พรมแดน

ทุกคำคือการสำรวจ “micro-expression” ของรสชาติ ที่เสิร์ฟมาพร้อม Champagne Vranken Demoiselle, แชมเปญจากแคว้น Champagne ที่ได้รับการขนานนามว่า “La Demoiselle de Reims” หรือ “สุภาพสตรีแห่งแรงส์” ด้วยบอดี้ที่เปี่ยมความสง่างาม แทรกด้วยโทนฟลอรัลและผลไม้ขาว การจับคู่ของทั้งห้าเชฟส์ไบท์นี้กับ Vranken Demoiselle เปรียบเสมือนการเต้นรำเบื้องต้นของมื้ออาหาร ที่ละมุนแต่ทรงพลัง ปลุกความคาดหวังอันสูงส่งในทุกจังหวะคำถัดไป
Grey Pomfret, Mint, Pomegranate: ความนุ่มนวลที่ผสานความสดชื่น

คอร์สต่อมานำเสนอ Grey Pomfret หรือปลาจาระเม็ดเทาเนื้อนุ่มละมุนลิ้น ที่ผ่านการเคี่ยวกับเกลือและน้ำตาลเป็นเวลานานถึง 2 ชั่วโมง จนได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มแต่ยังคงความเด้งไว้อย่างน่าทึ่ง ซอสราดจากน้ำทับทิมมอบรสชาติหวานอมเปรี้ยวที่สดชื่น พร้อมด้วย Bourgogne Chardonnay ที่เข้ากันได้ดีกับคาแรคเตอร์หอมของไม้โอ๊ค การทานที่ต้องเคาะแผ่น Grinita ให้แตกแล้วคลุกเคล้ากับองค์ประกอบอื่น ๆ ในจานนั้นเป็นการเพิ่มลูกเล่นและความสนุกสนานให้กับประสบการณ์การรับประทาน

Bourgogne Chardonnay Olivier Leflaive: บทสนทนาอันละเมียดละไมระหว่างท้องทะเลและเถาองุ่นแห่งแคว้นเบอร์กันดี

การจับคู่ระหว่างอาหารทะเลเนื้อขาวอย่าง ปลาจะละเม็ดขาว (Grey Pomfret) กับไวน์ขาวอันเลื่องชื่อจากแคว้นเบอร์กันดีนั้นหาใช่เรื่องแปลกใหม่ หากแต่การเลือกใช้ Bourgogne Chardonnay จาก Olivier Leflaive ครั้งนี้กลับเป็นการตอกย้ำถึงความพิถีพิถันในรายละเอียด ที่ไม่เพียงเน้นเรื่องรสชาติ หากยังเอื้อมไปถึงการสะท้อน terroir และลักษณะเฉพาะตัวของทั้งจานอาหารและไวน์อย่างงดงาม
ไวน์ตัวนี้มาจากหนึ่งในผู้ผลิตชั้นนำของเมือง Puligny-Montrachet ซึ่งเป็นหมู่บ้านศักดิ์สิทธิ์แห่ง Chardonnay ที่สร้างชื่อให้เบอร์กันดีมายาวนาน—ไวน์ที่มอบสัมผัสกลิ่นหอมของ ดอกไม้ขาว, ซิตรัส, แอปเปิลเขียว และผิวเลมอนขูด ประสานกับโน้ตบาง ๆ ของเนยจางและถั่วอัลมอนด์จากการหมักในโอ๊กฝรั่งเศสอย่างประณีต
เมื่อจิบเคียงกับเนื้อปลาจะละเม็ดขาวที่ผ่านกรรมวิธีอย่างละเมียดในสไตล์ modern Thai ซึ่งแทรกกลิ่น ใบสะระแหน่สด และความเปรี้ยวหวานนวลละไมของ น้ำทับทิม — ความหอมสดของ Chardonnay จึงกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างรสชาติอันซับซ้อนในจานกับมิติแร่ธาตุอ่อน ๆ ของไวน์ได้อย่างแนบเนียน
ที่สำคัญคือ กรดของ Chardonnay ตัวนี้มีความสง่างามและสมดุล—มากพอที่จะตัดความมันบางเบาของเนื้อปลา แต่ไม่กลบรสละเอียดของสมุนไพรและผลไม้ในจาน จึงเปรียบได้กับบทสนทนาที่สุภาพ อ่อนโยน และมีชั้นเชิงระหว่างสองภูมิภาค—ทะเลอันดามันและเนินเขา Côte de Beaune

Squid, Basil, Caviar: เส้นพาสต้าที่ถูกรังสรรค์จากท้องทะเล
มีไม่กี่จานในโลกที่สามารถเบลอเส้นแบ่งระหว่างวัฒนธรรม ประสบการณ์ และศิลปะการครัวได้อย่างแนบเนียน และจานนี้คือหนึ่งในนั้น

Squid หรือปลาหมึก ซึ่งมักถูกตีความในแบบดั้งเดิมว่าคืออาหารทะเลแสนธรรมดา กลับถูกเชฟรังสรรค์ใหม่อย่างน่าทึ่งให้กลายเป็นเส้นพาสต้า Tagliatelle แบบไร้แป้ง ใช้เทคนิคการหั่นที่พิถีพิถัน ความแม่นยำของมีดราวกับการฝนพู่กันจีนแต่ละเส้น เสริมสัมผัสที่นุ่มแน่นและความยืดหยุ่นของปลาหมึกให้กลายเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการ ทั้งยังสะท้อนถึงแนวคิด “ingredient-driven minimalism” ที่ไม่แต่งเติมเกินจำเป็น หากเน้นให้วัตถุดิบพูดด้วยตัวเอง

สิ่งที่โอบอุ้มเส้นทะเลนี้ไว้คือ ซอสสีเขียวสดใส ที่ฉายความหอมของ Thai Basil อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ใช่แค่กลิ่นฉุนอันคุ้นเคยของกะเพรา หากแต่เป็นกลิ่นหอมลึกและเย็นของโหระพาไทยที่ผสานกับ ผักชีฝรั่ง ในแบบตะวันตกอย่างชาญฉลาด เกิดเป็นกลิ่นกึ่งเมดิเตอร์เรเนียน กึ่งอาเซียน ที่โปร่งใสแต่ทรงพลัง เป็นการนำสมุนไพรสองโลกมาสนทนากันในจานเดียว

Caviar ไข่มุกสีดำของทะเลเหนือ ถูกแต้มแต่งลงมาอย่างละเมียดละไม ให้รสเค็มบางปลายลิ้นและเนื้อสัมผัสที่แตกเป๊าะอย่างบรรจง เป็น seasoning of the sea ที่ไม่กลบเสียงใดในจาน แต่กลับช่วยดึงรสทั้งหมดให้กระจ่างขึ้น
จานนี้จึงเป็นมากกว่า starter หากเป็นบทกวีที่เฉลิมฉลองความงามของการ deconstruct วัตถุดิบทะเลในบริบทใหม่ ผ่านภาษาของอิตาเลียนครัว ศิลปะญี่ปุ่น และวิญญาณไทยที่ซ่อนอยู่ในกลิ่นใบโหระพา
Terlan Gewürztraminer “Lunare” 2020: บทขับกล่อมอันหรูหราของกลิ่นหอมและแร่ธาตุ ที่โอบอุ้มทะเลให้นุ่มนวลในทุกคำ
ในการแพริ่งที่ต้องอาศัยความแม่นยำดุจการดีดสายพิณ การเลือกจับคู่ไวน์ที่มีบุคลิกเฉพาะตนเช่น Terlan Gewürztraminer “Lunare” 2020 กับจานที่บรรจงนำเสนอหมึกสดในรูปเส้นพาสต้าสไตล์ Tagliatelle กลับกลายเป็นความเสี่ยงที่เปี่ยมรางวัล
ไวน์ตัวนี้ผลิตจากองุ่น Gewürztraminer ที่ปลูกในเขต Alto Adige ซึ่งเป็นดินแดนสูงเสียดฟ้าท่ามกลางอ้อมกอดของเทือกเขาโดโลไมต์—ภูมิประเทศที่มอบทั้งอุณหภูมิกลางวันที่อบอุ่นและกลางคืนที่เย็นจัด จึงให้ผลองุ่นที่เข้มข้น กลมกล่อม และเปี่ยมกลิ่นหอมอันเย้ายวนของ ลิ้นจี่, กุหลาบขาว, เปลือกส้มเชื่อม และขิงอ่อน เคล้าไปกับโทนสมุนไพรอ่อนบางเฉียบ

ความหอมฟุ้งและเนื้อสัมผัสอันแน่นลื่นของ Lunare เข้าขับขานกับเส้นปลาหมึกที่ตัดเป็นริ้วงามดุจแพรไหมในจาน “Squid, Basil, Caviar” ได้อย่างวิจิตร—โดยเฉพาะเมื่อ น้ำซอสสีเขียว ที่กลั่นจากโหระพาไทยและผักชีฝรั่ง ส่งกลิ่นฉุนเย็นเบา ๆ เข้ากระทบกับความซับซ้อนของกลิ่นลิ้นจี่และดอกไม้ในไวน์ เสมือนลมโชยจากสวนเอเชียที่แทรกเข้ามาในห้องไวน์คลาสสิกของยุโรป
ที่สำคัญคือ สัมผัสแร่ธาตุ (minerality) ของไวน์จากหินดินดานในแคว้นอัลโต อาดิเจ ซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรองรับรสชาติของทะเลได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะ ไข่ปลาคาเวียร์ ที่ให้ความเค็มนุ่มละลายได้พอดีกับโครงสร้างอันกลมกลึงของ Lunare ทำให้ทุกคำที่ตามด้วยไวน์ ไม่ใช่แค่การล้างปาก หากเป็นการ “คลี่รส” ให้เผยออกมาชัดเจนและบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น
Lobster, Curry, Mexican, Marigold: การเดินทางของรสชาติที่ไร้ขีดจำกัด


Lobster จาก Brittany ถูกนำเสนออย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งแบบร้อนและเย็น เนื้อกุ้งล็อบสเตอร์เด้งกรอบเสิร์ฟคู่กับซอส 3 ชนิดที่สร้างความหลากหลายในรสชาติ ทั้ง Lobster Bisque ที่หอมมัน, Curry ที่มีอโรมาโดดเด่น และ Pork Jus ที่ช่วยเสริมความเข้มข้น กลีบดอกไม้สีเหลืองสดใสไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงาม แต่ยังมอบสัมผัสกรุบกรอบที่น่าสนใจ ก้ามกุ้งล็อบสเตอร์ถูกนำไปห่อด้วยแอปเปิ้ลจนกลายเป็น Mini Taco ที่ผสานความหวานของเนื้อกุ้งเข้ากับมูสอโวคาโดได้อย่างลงตัว ไฮไลท์ที่น่าประหลาดใจคือซอสเย็นที่ทำจากแตงกวาดอง แต่กลับมีกลิ่นหอมละมุนอย่างไม่น่าเชื่อ จับคู่กับไวน์จากทางเหนือของอิตาลีที่มีกลิ่นหอมของกุหลาบและลิ้นจี่ ยิ่งเสริมให้รสชาติของล็อบสเตอร์โดดเด่นยิ่งขึ้น

Terlan Gewürztraminer “Lunare” 2020: แสงจันทร์แห่งอัลโต อาดีเจ กับบทเพลงแห่งเครื่องเทศ
ในห้วงจังหวะแห่งจานที่กล้าหาญและเปี่ยมสีสันอย่าง “Lobster, Curry, Mexican, Marigold” ที่ผสานระหว่างรสทะเลเนื้อหวานของกุ้งลอบสเตอร์ เข้ากับมิติอันจัดจ้านของเครื่องแกงแบบอินเดีย กลิ่นร้อนแรงแบบเม็กซิกัน และกลิ่นหอมอ่อนนุ่มของดอกดาวเรือง—ไม่มีไวน์ขาวใดจะรับมือกับโครงสร้างรสชาติที่พลิ้วไหว ทรงพลัง และท้าทายเช่นนี้ได้งดงามเท่า Gewürztraminer “Lunare” 2020 จาก Kellerei Terlan อีกแล้ว

ไวน์ขาวจากแคว้น Alto Adige ทางตอนเหนือของอิตาลีนี้ โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมรุนแรงแต่ละเมียดละไมของ ลิ้นจี่ กุหลาบขาว ขิงอ่อน น้ำผึ้ง และเครื่องเทศอบอุ่น ที่เป็นหัวใจของสายพันธุ์ Gewürztraminer แต่ในเวอร์ชัน “Lunare” ที่บ่มบนตะกอนยีสต์ยาวนาน ยังเสริมด้วยโครงสร้างอันแน่นลึกและ texture ที่คลี่คลายอย่างเยือกเย็นดุจแสงจันทร์ในยามค่ำคืน
เมื่อนำมาจับคู่กับจานนี้ กลิ่นหอมฟลอรัลของไวน์ช่วย “สะท้อน” กลิ่นดาวเรืองอันเป็นกลิ่นเฉพาะแบบทรอปิคอลบนจาน ในขณะที่ความนุ่มแน่นของไวน์ช่วยกล่อมเครื่องแกงให้ละมุน กลมกล่อม ไม่พุ่งแรงเกินงาม ทั้งยังช่วยขับรสหวานตามธรรมชาติของลอบสเตอร์ให้เด่นชัดขึ้นราวกับผ่านการขับร้องด้วยเสียงโซปราโนในโอเปรา

ความมหัศจรรย์ของการแพริ่งนี้อยู่ที่การพึ่งพา “ความเข้าใจเชิงกลิ่น” มากกว่ารสชาติ กล่าวคือ ไวน์และอาหารมิได้แข่งขันกันในมิติของความหวานหรือเค็ม หากแต่คลอเคลียกันในระดับ “อะโรมาติก” อย่างกลมกลืน ทว่าไม่ซ้ำซ้อน และไม่แย่งกันเป็นพระเอก
แต่ในกรณีนี้ Vouvray Sec กลับทำหน้าที่เสมือนกระจกที่สะท้อนองค์ประกอบของจานอาหารอย่างนุ่มนวล มันไม่ได้แข่งขัน แต่ขับขานร่วม กลิ่นน้ำผึ้งและแร่ธาตุของไวน์ก่อมิติอันลุ่มลึกให้กลิ่นเครื่องเทศเม็กซิกัน พลางโอบรับกลิ่นหอมเฉพาะตัวของมาลิกโกลด์ราวกับโน้ตสูงในซิมโฟนีฤดูร้อน
Small Peas, Mango, Apple: ความเรียบง่ายที่ซ่อนความพิถีพิถัน

คอร์สนี้เป็นการนำเสนอวัตถุดิบที่ดูเรียบง่ายอย่าง Small Peas, Mango, และ Apple แต่กลับถูกจัดเรียงอย่างสวยงามราวกับงานศิลปะ ซอสแอปเปิ้ลเจลและมะม่วงที่ถูกตกแต่งอย่างประณีต พร้อมด้วยถั่วเขียวเม็ดเล็ก ๆ ที่น่ารัก สร้างความสดชื่นและเตรียมพร้อมสำหรับคอร์สต่อไป

Ravioli, Quark, Tarragon: ความหอมละมุนที่ซ่อนความจัดจ้าน

Bottoni พาสต้าทรงเกี๊ยวที่สอดไส้ Quark Cheese ซึ่งเป็นชีสนมแพะจาก Little Goat Farm by Madame Kai จังหวัดนครปฐม เมื่อเคี้ยวแล้วไส้ชีสจะแตกกระจายมอบความชุ่มฉ่ำและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ด้านบนประดับประดาด้วยดอกไม้และใบทาร์รากอนที่ให้กลิ่นหอมสดชื่น นอกจากนี้ ยังมีน้ำมันพริก Chilli Oil ที่มอบทั้งอโรมาและรสชาติจัดจ้านที่น่าสนใจ จับคู่กับ Vouvray Foreau ที่มีกลิ่นอโรมาของ Camomile และน้ำผึ้ง ช่วยเสริมความหวานหอมได้อย่างลงตัว

Vouvray Sec 2019, Domaine Foreau: เสียงสะท้อนจากหุบเขาลัวร์ที่โอบอุ้มความละมุนแห่งราวิโอลี
ท่ามกลางรสสัมผัสที่อ่อนโยนแต่ลุ่มลึกของจาน “Ravioli, Quark, Tarragon” ที่วางโครงสร้างด้วยราวิโอลีเนื้อนุ่มบางเสมอกันดุจผืนผ้าไหม ห่อหุ้มชีสสด Quark ซึ่งเปล่งประกายด้วยความครีมมี่ละมุนในแบบที่ไม่กลบกลิ่นธรรมชาติของส่วนผสม ความหอมเขียวเฉพาะตัวของ Tarragon และความอุ่นแนบจากเนยขาว กลายเป็นจานที่ต้องการไวน์ที่ “เข้าใจความนิ่ง” มากพอจะอยู่ร่วม—โดยไม่บดบัง และไม่ตกอยู่ใต้เงา

ไวน์ Vouvray Sec 2019 จาก Domaine Philippe Foreau คือคำตอบที่งดงามประหนึ่งบทกวีที่เขียนขึ้นเพื่อจานนี้โดยเฉพาะ ด้วยความแห้งละเมียดของ Chenin Blanc ที่เปล่งประกายด้วยกลิ่นอันซับซ้อนของ แอปเปิลเขียว พีชขาว ชอล์กเปียก และมะนาวดองอ่อน ๆ ในขณะเดียวกันยังคงความสดด้วยกรดธรรมชาติอันสมดุล จึงสามารถ “ปลุกชีพ” รสชาติของ Quark ที่นุ่มนวลให้ลอยเด่นขึ้น—คล้ายแสงแดดยามเช้าที่สะท้อนผิวน้ำในหุบเขาลัวร์
โทนแร่ธาตุของไวน์ช่วยชูโครงสร้างของจานโดยไม่ทำลายสัมผัสเบาสบายของแป้งราวิโอลี ส่วนกลิ่นหอมละเอียดของไวน์กลับเสริมกลิ่นเขียวหวานอ่อนของ Tarragon ให้เด่นชัดขึ้น ราวกับหยิบยืมละอองสายลมจากทุ่งหญ้าฝรั่งเศสมาสร้างมิติบนจานอาหาร
ขนมปัง: ความใส่ใจในทุกรายละเอียด

แม้แต่ขนมปังที่เสิร์ฟก็ยังแสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียด ด้วยเนยที่มาจากน้องเมษา วัวตัวเดียวจากเชียงใหม่ และเนยนมแพะชาเบอวิน่า ที่มอบรสชาติและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์
Monkfish, Zucchini Flower, Passion Fruit: ความสมบูรณ์แบบแห่งรสสัมผัส
Monkfish เนื้อแน่นถูกย่างอย่างพิถีพิถันในลักษณะ À La Nacre ที่รับประกันความสุกที่ไร้ที่ติ เสิร์ฟบนซอสที่เคี่ยวจากส้มและเสาวรสจนได้รสเปรี้ยวอมหวานที่ลงตัว ด้านบนคือดอกซูคินียัดไส้ Mousseline เนื้อไก่ที่มอบความเด้งนุ่มและความหอม ปิดท้ายด้วย Coffee Sabayon ที่สร้างมิติรสชาติที่โดดเด่นและเข้ากันกับองค์ประกอบอื่น ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์

ไวน์ Vouvray Sec 2019, Domaine Philippe Foreau: เสียงสะท้อนของลัวร์ที่ถักทอรสสัมผัสจากท้องทะเลและสวนดอกไม้เขตร้อน
ในจานที่สรรค์สร้างขึ้นจาก Monkfish, Zucchini Flower และ Passion Fruit นี้ ทุกองค์ประกอบล้วนเปล่งประกายความตั้งใจจากครัว—ทั้งเนื้อปลา Monkfish ที่ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถันจนได้สัมผัสแน่นแต่ละมุนละไม ดอกซูกินีที่ให้กลิ่นหอมละเมียด และเสาวรสที่ปลุกให้เกิดความสดชื่นเปล่งประกายในแต่ละคำ สิ่งที่สมควรคู่เคียงกับรสชาติอันเปี่ยมมิติทว่าเปราะบางนี้ จึงต้องเป็นไวน์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะอันละเอียดอ่อนถึงขั้นปรัชญา—และ Vouvray Sec 2019 จาก Domaine Philippe Foreau คือคำตอบที่เปล่งเสียงนั้นได้อย่างวิจิตร

ไวน์ขาวจากแคว้นลัวร์นี้ ผลิตจากองุ่น Chenin Blanc ที่ถูกเก็บเกี่ยวในช่วงที่ความสมบูรณ์ของผลผลิตสัมผัสจุดสมดุลระหว่างความหวานและความกรอบแห้ง กลิ่นหอมของดอกไม้ขาว แอปเปิลเขียว ส้มโอ และแร่ธาตุจากดินหินปูนแทรกอยู่ในโครงสร้างไวน์อย่างแน่นแฟ้น เป็นไวน์ที่มิได้เพียงแต่จับคู่กับอาหาร หากแต่ โอบกอด ทุกอณูของรสชาติไว้ด้วยความประณีต

เมื่อไวน์บรรจบกับเนื้อปลา Monkfish—ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีความแน่นฉ่ำคล้ายกุ้งล็อบสเตอร์แต่ซ่อนความนวลไว้ในเนื้อสัมผัส—ความกรอบแห้งของไวน์ช่วยเปิดปลายลิ้นในคำแรก ขณะกลิ่นฟลอรัลและสัมผัสแร่ของ Vouvray ค่อย ๆ แผ่ตัวเคียงคู่กับดอกซูกินีทอดกรอบ เติมกลิ่นฤดูใบไม้ผลิให้จานอาหาร ในขณะที่โน้ตผลไม้รสเปรี้ยวของไวน์—โดยเฉพาะส้มเขียวหวานและเสาวรส—คลี่คลายรสชาติของพิวเร่เสาวรสให้พลิ้วไหวและลุ่มลึกยิ่งขึ้น
ผลลัพธ์คือสมดุลอันงดงามระหว่างโครงสร้างที่นิ่งสงบของไวน์ กับจังหวะของรสชาติอาหารที่เปล่งประกายและมีชีวิตชีวา—เสมือนบทเพลงแชมเบอร์จากยุคโรแมนติกที่หลอมรวมอารมณ์และความพิถีพิถันเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ
Duck, Carrot, Watercress: ความเข้มข้นที่ผสานความสดชื่น
ในขณะที่มื้ออาหารค่อย ๆ ไต่ระดับจากความอ่อนโยนไปสู่ความแน่นลุ่มลึก Duck, Carrot, Watercress ก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับบทเพลงช่วงพีคของซิมโฟนี—หนักแน่น งดงาม และเปี่ยมด้วยความประณีตในเชิงเทคนิค
พระเอกของจานคือ เนื้อเป็ดที่ผ่านการ dry-aged อย่างพิถีพิถันยาวนานถึง 21 วัน ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเข้มข้นรสอูมามิ ขณะเดียวกันยังช่วยให้เนื้อสัมผัสนุ่มแน่น มีความยืดหยุ่นแต่ไม่เหนียว—แสดงออกถึงความเข้าใจศาสตร์ของการบ่มเนื้ออย่างลึกซึ้ง

เนื้อเป็ดนี้ไม่ถูกนำเสนออย่างโดดเดี่ยว แต่ถูกรายล้อมด้วยองค์ประกอบแห่งสีสันและรสชาติที่คิดมาอย่างรอบด้าน:
แครอทดอง มอบความกรอบสดและรสเปรี้ยวบาง ๆ ที่ปลุกความสนใจของปลายลิ้น,
แครอทพูเร ให้เนื้อสัมผัสนุ่มละมุนและความหวานธรรมชาติอันแนบเนียน,
และ โอลีฟดำพูเร ที่แฝงความเค็มลึกแบบเมดิเตอร์เรเนียน เสริมโทนดินและความเคร่งขรึมอย่างแนบเนียน—ทั้งหมดนี้หลอมรวมเป็นภาพจำลองของฤดูปลายใบไม้ร่วงในปาก

เมื่อองค์ประกอบทั้งสามของแครอทและโอลีฟดำถูกกล่อมด้วย ซอส watercress สีเขียวเข้ม ซึ่งมิใช่เพียงเครื่องแนม หากแต่ทำหน้าที่เป็น counterpoint ทางรสชาติ—ความขมนุ่มของวอเตอร์เครสปลุกความสดชื่นให้จานเป็ดอย่างน่าทึ่ง มันคือความสมดุลของ “เข้มข้น” กับ “เบาบาง” ที่หายากในจานเนื้อแดง
จาน Duck, Carrot, Watercress จึงมิใช่เพียงหนึ่งใน main course หากแต่คือบทนิพนธ์แห่งฤดูกาลที่ปรุงด้วยเวลา ความรู้ และสัญชาตญาณเชฟ—อวลกลิ่นแห่งประสบการณ์ และเจือร่องรอยแห่งความทรงจำ

Songe 2020, Jules Desjourneys: เมื่อไวน์แดงเล่าเรื่องด้วยบทกวีบนเนื้อเป็ด
ในจาน Duck, Carrot, Watercress ที่นำเสนอเนื้อเป็ดผ่านการ dry-aged ถึง 21 วันจนได้สัมผัสแน่นนุ่ม กลิ่นหอมละมุน และรสชาติเข้มข้นเฉพาะตัว—มีบางสิ่งที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่ภายใต้ความเรียบง่ายขององค์ประกอบร่วมสมัย ทั้งแครอทดอง, แครอทพูเร, โอลีฟดำ และซอส watercress ที่ช่วยเบรกและบาลานซ์รสอย่างชาญฉลาด แต่หากไร้ซึ่งไวน์ที่เข้าใจ “จังหวะของจาน” อย่างแท้จริงแล้ว ความงดงามนี้ก็อาจไม่ถึงพร้อม

Songe 2020 จาก Jules Desjourneys ในแคว้น Beaujolais คือไวน์ที่หลอมรวมคุณค่าของธรรมชาติกับความลุ่มลึกแห่งปรัชญาการทำไวน์ แบบบูร์กอญโดยสายเลือด แต่เปล่งเสียงโดยหัวใจของ Beaujolais องุ่น Gamay ที่ได้รับการปลูกแบบ biodynamic ผ่านกระบวนการหมักแบบธรรมชาติไร้การแทรกแซง ได้รสสัมผัสที่ทั้งเปราะบางและทรงพลัง พร้อมโน้ตของเชอร์รีดำ ราสป์เบอร์รี แร่ธาตุ และกลิ่นหอมของพฤกษาและเครื่องเทศแผ่วเบา
เมื่อไวน์ถูกเทลงในแก้ว การสูดกลิ่นในเบื้องแรกคือคำเชื้อเชิญให้เข้าสู่โลกของการรำพึง กลิ่น Earthy อันลุ่มลึก และความเปรี้ยวบางเบาแต่ชัดเจนของผลไม้แดงสดราวกับหมอกในยามเช้า
ความพิเศษอยู่ที่เมื่อจิบแรกของ Songe 2020 เข้าสัมผัสกับเป็ดไวน์มิได้แค่ เติมเต็ม หากแต่ เชื่อมโยง ทุกชั้นของรสชาติบนจาน เนื้อเป็ดอันรุ่มรวยถูกกระตุ้นให้เปล่งประกายโดยความสดของไวน์ที่แทรกอยู่ในความนุ่มนวลอันซับซ้อน ส่วนแครอทและโอลีฟดำพูเรเมื่อเคียงกับไวน์ กลับเผยแง่มุมใหม่ เปรียบเสมือนบทสนทนาของสีสันและความเงียบในจิตรกรรมแนว Abstract ที่ดึงให้ผู้ชมใคร่ครวญอยู่ในห้วงอารมณ์
ไวน์ Songe ซึ่งแปลว่า “ความฝัน” ในภาษาฝรั่งเศส จึงมิใช่เพียงคำเปรียบ หากแต่เป็นประสบการณ์จริงบนปลายลิ้น ที่ปลุกให้จานเนื้อเป็ดคำนี้ กลายเป็นภาพฝันที่เคลื่อนไหวอยู่ในความทรงจำของนักชิมอย่างนิรันดร์.
เข้าครัวพร้อมล้างปาก
ห้วงสุดท้ายก่อนเคลื่อนเข้าสู่บทหวานของค่ำคืน ณ ETCHA Bangkok มิได้เกิดขึ้นเพียงบนโต๊ะ หากแต่เป็นการเคลื่อนไหวของประสบการณ์—เมื่อพนักงานเชิญแขกผู้มาเยือนให้ลุกจากเก้าอี้ แล้วพาเดินเข้าสู่ “หัวใจของการปรุง” ผ่านครัวเปิดในรูปแบบ “Symphonic Tour” ที่เผยให้เห็นทุกโซนของห้องครัวอันทันสมัย

ตั้งแต่ครัวร้อนอันเร่าร้อนด้วยไฟและความเที่ยงตรงของเทคนิค, ครัวเย็นที่บรรจบความเปราะบางของวัตถุดิบ, ห้องเวจเอจและดรายเอจที่สะท้อนศาสตร์แห่งเวลา, จนถึงชั้นเก็บจานที่แปรกลายเป็นหอศิลป์แห่งความพิถีพิถัน และครัวขนมหวานที่เปล่งประกายด้วยความละเมียดของรสชาติและโครงสร้าง

ณ จุดสิ้นสุดของเส้นทาง เราไม่ได้รับเพียงเมนู palate cleanser หากแต่ได้รับมอบของขวัญชิ้นเล็ก ๆ ให้รับประทานกันแบบ One-bite ในฝั่งจัดเตรียมอาหารหวาน เป็นช๊อคโกแลตบอนๆบรรจงวางอยู่บนดอกกุหลาบสีแดง

Mint, Coconut, Karonda: บทส่งท้ายที่สดชื่น และแฝงไว้ด้วยชั้นเชิงการปรุงรสที่เปี่ยมกลวิธี
“ข้อคิดจากธรรมชาติ” ในรูปของ Karonda Sorbet ที่รังสรรค์อย่างมีนัยยะ มะม่วงหาวมะนาวโห่—ผลไม้ท้องถิ่นที่มักถูกละเลย—ถูกนำกลับมาเล่าเรื่องใหม่ในรูปแบบซอร์เบท์เย็นฉ่ำ สื่อรสเปรี้ยวเข้มตามธรรมชาติของผลสุก ผสานความนุ่มละมุนจาก coconut cream ที่ก่อสมดุลแห่งเนื้อสัมผัสอย่างละเอียดอ่อน

ความหอมของมะพร้าวไม่มาแบบเดี่ยว หากแทรกซึมด้วยกลิ่นนวลของ ใบเตยในรูปเจลลี่ ที่วางตัวอย่างมีชั้นเชิงคล้ายจะเป็นเครื่องเคียง หากแท้จริงคือเครื่องมือทางกลิ่นที่ปลุกความทรงจำไทยแบบไร้กรอบ ขณะเดียวกัน ยูซุครีม รสเปรี้ยวอมหวานแบบญี่ปุ่นก็เข้ามาแทรกเป็น “สะพานรส” ที่เชื่อมความเปรี้ยวเข้ากับความมันโดยไม่ให้รู้สึกแย้ง
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เพียงแค่ล้างปาก หากแต่ “ล้างใจ” เปิดประสาทรับรสใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง ด้วยรสชาติที่บริสุทธิ์ สดชื่น และมีความซับซ้อนอย่างแยบยล

Mint, Coconut, Karonda จึงไม่ใช่แค่เมนูคั่นกลาง หากแต่เป็น บทกวีเชิงรสชาติ ที่ใช้ภาษาธรรมชาติ ถ่ายทอดแนวคิด “ไร้พรมแดน” ให้ลึกซึ้งกว่าที่ถ้อยคำใดจะกล่าวถึงได้
Black Sourdough, Lotus, Rosemary: ความลงตัวของสองวัฒนธรรม
Black Sourdough, Lotus, Rosemary: มุมสงบนิ่งของความลึกซึ้งระหว่างสองวัฒนธรรม
ในโลกของอาหารชั้นสูงที่เชฟหลายคนมักใช้บทสุดท้ายเป็นเพียงการส่งแขกกลับบ้านด้วยรอยยิ้มเบา ๆ แต่ที่ ETCHA Bangkok — Mignardise จานเล็กจานนี้กลับเปล่งเสียงเงียบของความตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยม เป็นบทกวีที่กลั่นจากสองวัฒนธรรม—อิตาเลียนและไทย—ที่มิได้ประสานกันแบบฉาบฉวย หากถักทอกันอย่างเข้าอกเข้าใจ

จุดตั้งต้นของจานอยู่ที่ Black Sourdough รสเปรี้ยวอ่อนละมุนจากการหมักธรรมชาติ ให้ความลุ่มลึกแบบขนมปังฟาร์เมนต์คลาสสิกของอิตาลี—ขนมปังที่มี “จิตวิญญาณแห่งกาลเวลา” ซ่อนอยู่ในเนื้อฟูแน่นและเปลือกบางกรอบ ขณะเดียวกันก็รับบทเป็นภาชนะอันเงียบสงบในการรองรับรสชาติและแนวคิดที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น

ซอสรากบัว ที่เชฟตีความออกมาอย่างละเมียดละไมคือหัวใจของจาน—รากบัวซึ่งมีความหมายทางจิตวิญญาณในโลกตะวันออก กลายเป็นเครื่องเทศแห่งความทรงจำในรูปซอสเนื้อละเอียดที่ให้กลิ่นอายของดิน น้ำ และสันติ เป็นรสสัมผัสที่ soft-spoken แต่ไม่เคยเงียบเชียบ
กลิ่นหอมของ โรสแมรี่ออยล์ แทรกผ่านอย่างบางเบา คล้ายลมหายใจจากครัวชนบทในแคว้นทัสคานี—เครื่องหอมที่เป็น signature ของอาหารอิตาเลียน แต่อบอวลอยู่บนจานนี้ในฐานะเครื่องหมายแห่งความสงบ สร้างมิติกลิ่นแบบ aromatic bridge ที่ประสานภูมิอากาศสองซีกโลกได้อย่างแนบเนียน

แต่สิ่งที่เรียกเสียงสะกดได้มากที่สุดคงเป็น ไอศกรีมดอกบัว—ซึ่งเชฟมิได้หยิบมาเพียงเพราะความงาม หากเพราะความหมาย ดอกบัวในพุทธศาสนาคือสัญลักษณ์แห่งการตื่นรู้ ความสงบ และความเบิกบานจากภายใน เมื่อนำมาทำเป็นไอศกรีมที่เบา เย็น และหอมรื่น จึงเปรียบได้กับการมอบช่วงเวลาแห่งสมาธิก่อนจากลา
ทั้งหมดนี้มิใช่เพียงรสชาติ หากคือ “บทภาวนา” ทางวัฒนธรรม ที่ใช้ศาสตร์การปรุงอาหารเป็นภาษากลางในการสนทนา
Black Sourdough, Lotus, Rosemary จึงเป็นมากกว่า Mignardise—มันคือสมดุลของรส ความทรงจำ และศรัทธา ที่บรรจุอยู่ในคำสุดท้ายของค่ำคืน

และ Petit 4 ที่ประกอบด้วย Pumpkin แป้งรองบางกรอบ, Beetroot แป้งกรอบเค็มมันกับครีมมันหอมและคาเวียร์, มะยงชิดในรูปแบบผง, และ Cafe Rum Base on herb thai ที่มอบรสขมเข้ม หวานมัน และกลิ่นหอมของช็อกโกแลต







เป็นการปิดท้ายมื้ออาหารอันแสนพิเศษได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการจิบชาขาวฝู่เจี้ยนชั้นเลิศ ซึ่งผ่านการชงอย่างประณีตในแบบกังฟูฉา (Gongfu Cha) อันเป็นศิลปะแห่งการชงชาจีนที่ยึดถือความละเมียดละไมเป็นแก่นแกน พนักงานผู้ชำนาญได้ลากรถชงชาเคลื่อนที่มาทำพิธีชงชาถึงข้างโต๊ะ ดำเนินทุกขั้นตอนอย่างสำรวมและงดงาม ทั้งการสะดุ้งปลุกใบชาให้ตื่นตัวจากความนิ่ง การล้างถ้วยเพื่อชำระล้างกลิ่นรสแปลกปลอม และการใช้ที่คีบไม้คีบถ้วยชาขนาดเล็กเสิร์ฟให้แขกแต่ละท่านอย่างนอบน้อม ท่ามกลางกลิ่นหอมอ่อนจางของใบชาขาวที่เผยออกช้า ๆ ในทุกจิบ ทุกอิริยาบถเป็นดั่งบทกวีเงียบที่เติมเต็มค่ำคืนนี้ให้สมบูรณ์ด้วยรสสัมผัสแห่งวัฒนธรรม
ETCHA 360° มิได้เป็นเพียงห้องอาหาร แต่เป็นประสบการณ์การเดินทางแห่งรสชาติที่เชฟ Giacomo Primante ได้รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน โดยนำเอาแรงบันดาลใจจากทั่วโลกมาผสมผสานกับรากฐานแห่งอาหารอิตาเลียนได้อย่างลงตัว ทุกรายละเอียด ตั้งแต่การตกแต่งภายในอันสงบและเป็นส่วนตัว ไปจนถึงการจับคู่ไวน์อันเลิศรส ล้วนถูกคัดสรรมาเพื่อมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เหนือกว่าความคาดหมายอย่างแท้จริง หากคุณกำลังมองหาความหรูหรา ความคิดสร้างสรรค์ และรสชาติอันน่าจดจำ ETCHA 360° คือจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาด
Kin Review
Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์