Story : Dr.Athiwat T. / Photo : Pol.Capt. Kittin A
วันนี้ kinandleisure.com ขอพาทุกท่านเดินทางไปสัมผัสกับนิยามใหม่ของอาหารกวางตุ้งชั้นสูง ที่ผสานทั้งศาสตร์และศิลป์ไว้อย่างน่าอัศจรรย์ ณ ร้านอาหารจีนระดับมิชลินสตาร์เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ใครหลายคนถวิลหา

ท่ามกลางความสง่างามของ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ณ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นที่ตั้งของ Yu Ting Yuan (ยวี่ ติง หยวน) ร้านอาหารจีนที่ไม่ได้มีดีแค่รางวัลมิชลินสตาร์การันตี แต่คือสถานที่ที่เปรียบเสมือน “สวนของจักรพรรดิ”

ตามความหมายของชื่อร้าน หรือ อีกนัยนึงคือโรงละครที่สวยงามที่ใช้อวดแขกบ้างแขกเมืองที่เดินทางมายังวังขององค์จักรพรรดิ พื้นที่ภายในถูกออกแบบให้มีความโอ่โถง โปร่งสบายด้วยเพดานสูงและการใช้กระจกบานใหญ่ที่เผยให้เห็นทัศนียภาพอันงดงามภายนอก ผสมผสานความร่วมสมัยเข้ากับกลิ่นอายความหรูหราแบบราชวงศ์จีน โดยร้านใช้เสปซได้อย่างลงตัว ทำให้แขกรู้สึกได้ถึงความเป็นส่วนตัวและสวยงามในทุก ๆ ที่นั่ง

การนำทัพโดยปราชญ์แห่งครัวกวางตุ้ง: เชฟทอมมี่ เฉิง (Tommy Cheung)

หัวใจสำคัญที่ทำให้ Yu Ting Yuan ยืนหยัดอย่างโดดเด่นคือ Executive Chef Tommy Cheung ผู้มีประสบการณ์โชกโชนในวงการอาหารกวางตุ้งระดับสากล เชฟทอมมี่มีชื่อเสียงอย่างมากในการคัดสรรวัตถุดิบที่ “ดีที่สุด” จากทั่วทุกมุมโลก นำมาปรุงด้วยเทคนิคดั้งเดิมที่ต้องใช้ความอดทนและฝีมืออันประณีต เพื่อดึงรสสัมผัสที่แท้จริงของอาหารออกมาให้ได้มากที่สุด ราวกับงานศิลปะ

บทบรรเลงรสสัมผัส: รายละเอียดทุกเมนูจากชุดอาหารกลางวันและติ่มซำ

ก่อนเมนูอาหารมื้อกลางวันพระเอกของวันนี้ เราขอแนะนำรายการ Premium Dim Sum ที่เชฟรังสรรค์มาเป็นพิเศษเพื่อเป็นตัวเลือกให้ทุกท่านได้ลองเปิดใจลิ้มลอง และเลือกเสริมก่อนมื้อหลัก ได้แก่
เสี่ยวหลงเปา (Xiao Long Bao)

ดูความเต่งตึงนั่นสิครับ! เสี่ยวหลงเปาเข่งนี้คือการโชว์สกิล “การจับจีบ” ที่คมกริบ แป้งที่เชฟรีดจนบางเฉียบแต่กลับแข็งแรงพอที่จะโอบอุ้มน้ำซุปมหาศาลไว้ไม่ให้รั่วไหล ภายในคือ “ซุปคอลลาเจน” ที่ได้จากการเคี่ยวขาหมูแฮมยูนนานและโครงไก่แก่ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง จนไขมันและโปรตีนหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน

ทันทีที่ฟันของคุณสะกิดผ่านชั้นแป้ง น้ำซุปร้อนระอุจะพุ่งกระจายเต็มอุ้งปาก มันคือรสเค็มนำที่ตามด้วยความหวานนวลจากเนื้อหมูสับละเอียดที่ผสมมันหมูในสัดส่วน 7:3 เพื่อความชุ่มฉ่ำที่สุด เสิร์ฟในเข่งไม้ไผ่ที่กลิ่นหอมของไม้จางๆ จะซึมซับเข้าสู่ตัวแป้ง เพิ่มมิติทางกลิ่นที่ลุ่มลึก

ขนมจีบล็อบสเตอร์ (Lobster Dumpling)

ลืมขนมจีบหมูแบบเดิมๆ ไปได้เลยครับ จานนี้คือการนำ “ราชาแห่งท้องทะเล” มาสวมชุดราตรีสีเขียวมรกต แป้งที่ผสมน้ำสกัดจากผักใบเขียวถูกนวดจนเนียนกริบ ห่อหุ้มเนื้อล็อบสเตอร์ที่เชฟ “ลวกพอสะดุ้ง” เพื่อรักษาความเด้งสู้ฟัน (Al Dente) เอาไว้

การท็อปด้วย Ikura (ไข่ปลาแซลมอน) เกรดพรีเมียม คืออัจฉริยภาพในการปรุง รสเค็มแบบสดชื่นจากทะเล (Oceanic Brine) ของไข่ปลาที่ระเบิดออก จะไปผสมกับความหวานตามธรรมชาติของเนื้อล็อบสเตอร์ เกิดเป็นรสสัมผัสที่ซับซ้อนจนคุณต้องหลับตาพริ้มเพื่อดื่มด่ำกับความอูมามิที่อบอวลอยู่
ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้งกรอบ

จานนี้คือ “บทเรียนเรื่องเนื้อสัมผัส” ที่ดีที่สุดครับ แผ่นแป้งก๋วยเตี๋ยวหลอดที่นึ่งใหม่ๆ มีความขาวนวลและนุ่มลื่นดุจแพรไหม (Silky Smooth) ไส้ด้านในคือการใช้กุ้งแชบ๊วยตัวโตพันด้วยแป้งตาข่ายแล้วทอดจนกรอบจัด

เมื่อราดซีอิ๊วสูตรพิเศษที่มีความหวานและกลิ่นอายของเหล้ากวางตุ้งลงไป แป้งชั้นนอกจะดูดซับน้ำซอสจนฉ่ำ แต่เมื่อเคี้ยวลงไป คุณจะพบกับเสียง “กร๊อบ” ที่ดังก้องในหูจากแป้งทอดด้านใน เป็นความสนุกที่สลับไปมาระหว่างความนุ่มและความกรอบที่ลงตัวอย่างไร้ที่ติ
พัฟเป๋าฮื้อ (Abalone Puff)

มาถึงตัว “พระเอก” ที่ผมขอยกให้เป็น Masterpiece ของปี 2025 พัฟชิ้นนี้คือความบ้าคลั่งในรายละเอียด แป้งพัฟถูกรีดทับสลับชั้นจนนับร้อยชั้นเพื่อให้ได้ความกรอบที่ร่วนและเบาสบาย ท็อปด้วย เป๋าฮื้อโฮลพอร์ต (Whole Abalone) ตัวหนาที่ผ่านการเคี่ยวกับซอสพรีเมียมจนผิวเป็นสีน้ำตาลทองเงางามราวกับอัญมณีเคลือบน้ำตาล

เมื่อคุณกัดลงไป ความประหลาดใจรออยู่ในไส้ครับ! มันไม่ใช่แค่เนื้อไก่ แต่มี กระเพาะปลาสด (Fresh Fish Maw) ชิ้นเขื่องซ่อนอยู่ กระเพาะปลาสดจะมีความนุ่มหนึบคล้ายเยลลี่ชั้นดี ซึ่งช่วยเสริมรสสัมผัสกับเป๋าฮื้อได้อย่างมหัศจรรย์ เป็นคำที่รวบรวมเอา “ทองคำแห่งท้องทะเล” มาไว้ในคำเดียว รสชาติมันช่างล้ำลึก หวาน หอม มัน และทิ้ง Aftertaste ของซอสเป๋าฮื้อเข้มข้นไว้ที่โคนลิ้นอย่างยาวนาน

เข้าสู่ Lunch Dim Sum Set Course ที่จัดวางลำดับรสชาติได้อย่างมีจังหวะลงตัว:
Amuse bouche ปลาหมึกสายราดซอสงาขาว (Baby Octopus with White Sesame Sauce)

เมนูเรียกน้ำย่อยที่เน้นความสดของปลาหมึก เนื้อสัมผัสกรุบเด้ง เข้ากันได้ดีกับความหอมมันของซอสงาขาวที่ปรุงมาอย่างพอเหมาะ

ชุดติ่มซำนึ่ง 3 ชนิด 蒸点三拼
การทานจานนี้ เชฟแนะนำให้ท่านเริ่ม “ไต่ระดับรสชาติ” จากความบริสุทธิ์ของท้องทะเลไปสู่ความลุ่มลึกของพสุธาครับ

1. ฮะเก๋ากุ้ง (Har Gow): แพรไหมแห่งท้องทะเล

ชิ้นแรกที่ต้องลิ้มลองคือฮะเก๋าครับ แป้งของที่นี่รีดได้บางจนมองเห็นสีชมพูระเรื่อของเนื้อกุ้งด้านใน เทคนิคการจับจีบต้องอาศัยมือที่เบาและนิ่งเพื่อให้แป้งมีความยืดหยุ่นดุจแพรไหม เมื่อกัดลงไป เนื้อกุ้งแชบ๊วยคัดไซส์จะระเบิดความหวานฉ่ำที่เชฟหมักมาจนเด้งกรอบ (Crunchy Texture) โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี นี่คือมาตรฐานทองคำของติ่มซำกวางตุ้งครับ
2. ขนมจีบกุ้งไข่นกกระทาชาดำ: นวัตกรรมแห่งรสสัมผัส

ถัดมาคือเมนูที่สร้าง “ความแปลกใหม่” ให้กับวงการ เชฟนำขนมจีบกุ้งมาผสานกับ “ไข่นกกระทาในชาดำ” ทันทีที่กัดผ่านเนื้อกุ้งสับที่นุ่มนวล

ท่านจะพบกับไข่นกกระทาที่ผ่านการแช่ในน้ำชาดำจนผิวมีสีน้ำตาลสวยงามและมีกลิ่นหอมสมุนไพรจางๆ ความมันของไข่แดงสอดรับกับความเด้งของกุ้งอย่างไม่น่าเชื่อ ท็อปด้วยคาเวียร์ที่เพิ่มมิติความเค็มเล็กน้อย เป็นคำที่ให้รสกลมกล่อมและซับซ้อนอย่างยิ่ง

3. เกี๊ยวเห็ดรวม (Steamed Mushroom Dumpling): กลิ่นอายจากพสุธา
ปิดท้ายด้วยผลงานมาสเตอร์พีซที่รวมเอา “3 สุดยอดเห็ด” มาไว้ในคำเดียว ประกอบด้วย เห็ดเยื่อไผ่ ให้สัมผัสที่กรุบกรอบและอุ้มน้ำซอสได้ดีเยี่ยม เห็ดหอม: ตัวแทนของความหอมหวนและเนื้อสัมผัสที่แน่นนุ่ม เห็ดหูหนูทอง: อัญมณีแห่งป่าที่ให้ความลุ่มลึกและสรรพคุณบำรุงร่างกาย

เชฟปรุงไส้จนหอมอบอวล ห่อด้วยแป้งที่แต่งแต้มสีสันสวยงามด้วยเทคนิคขั้นสูง เมื่อท่านเคี้ยวกลิ่นหอมของเห็ดจะอบอวลขึ้นไปถึงจมูก เป็นการปิดท้ายชุดนึ่งได้อย่างสง่างามและทรงพลัง
ปอเปี๊ยะล็อบสเตอร์สีทอง (Golden Lobster Spring Roll) และ ทาร์ตซีฟู้ดอบ (Baked Seafood Tart) 金牌⻰虾春/焗海皇挞

เมื่อผ่านความละเมียดจากไอน้ำแล้ว ลำดับถัดมาคือการสัมผัส “เปลวไฟ” ผ่านเมนูของทอดที่เน้นความสว่างไสวของรสชาติ
ปอเปี๊ยะล็อบสเตอร์สีทอง (Golden Lobster Spring Roll)

เชฟแนะนำให้เริ่มจากชิ้นนี้ก่อนครับ ผิวสัมผัสด้านนอกถูกทอดจนเป็นสีเหลืองนวลสวยงามและมีความกรอบที่เบาสบาย (Airy Crispness) ภายในอัดแน่นด้วยเนื้อกุ้งมังกรที่ยังคงความฉ่ำวาวและหวานเด้ง ราวกับเพิ่งขึ้นจากท้องทะเล
ทาร์ตซีฟู้ดอบ (Baked Seafood Tart)

นี่คือบทสรุปที่ทรงพลังก่อนเข้าสู่เมนูหลัก ตัวทาร์ตถูกอบจนแป้งพายร่วนซุยเป็นชั้นๆ สอดไส้ด้วยซีฟู้ดที่ปรุงรสเข้มข้น ความอัจฉริยะอยู่ที่การใส่ “ผงกะหรี่ชั้นดี” ลงไปเพียงเล็กน้อยเพื่อสร้างมิติทางกลิ่นที่อบอุ่นและช่วยตัดความมันของแป้งทาร์ตได้อย่างเด็ดขาด ทำให้คำนี้มีรสชาติที่ลุ่มลึกและจบลงด้วยความประทับใจ
รวมมิตรบาบีคิว (Signature Barbecue)

หากมื้อกลางวันนี้คือบทกวี รวมมิตรบาร์บีคิว (Signature Barbecue) จานนี้ก็คือ “ฉันทลักษณ์” ที่งดงามและทรงพลังที่สุดครับ ในฐานะบรรณาธิการแห่ง Kinandleisure และคนชิมอาหารจากเตาย่างในฮ่องกงมานาน ผมกล้าการันตีว่านี่ไม่ใช่แค่เนื้อสัตว์ที่ผ่านเปลวไฟ แต่คือ “ศาสตร์แห่งอุณหภูมิ” ที่ถูกสกัดจนเหลือเพียงความสมบูรณ์แบบ

1. หมูกรอบอันเลื่องชื่อ (Signature Crispy Pork Belly): ศิลปะ 5 เลเยอร์

พระเอกของจานนี้คือหมูกรอบที่เชฟคัดส่วนท้องที่มีสัดส่วนเนื้อและไขมันสลับกันอย่างลงตัว ท่านจะเห็นว่าชิ้นหมูกรอบที่นี่จะไม่หนาจนเลี่ยน แต่มีความประณีตในการเรียงเลเยอร์ความอร่อยถึง 5 ชั้น
หนังกรอบราวกระจก หนังด้านบนสุดถูกย่างจนฟูละเอียดและมีความกรอบที่สม่ำเสมอ เนื้อในชุ่มฉ่ำ ชั้นเนื้อยังคงความนุ่มและชุ่มชื้น รสชาติเข้มข้นเข้าเนื้อ ในหมูหนึ่งตัว เชฟจะสกัดส่วนที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ออกมาทำได้เพียงไม่กี่จานเท่านั้น ทำให้ทุกคำคือความพรีเมียมอย่างแท้จริง
2. หมูหันย่าง (Suckling Pig): ความกรอบระดับอัศจรรย์

ที่ขาดไม่ได้ในจานนี้คือ หมูหัน ครับ เชฟแล่หนังมาได้บางเฉียบและมีความเงางามดุจงานประติมากรรม เมื่อทานคู่กับแผ่นหมั่นโถวนุ่มๆ และซอสสูตรพิเศษ ความกรอบของหนังจะผสานกับความนุ่มของแป้ง เกิดเป็นมิติของรสสัมผัสที่ชาวกวางตุ้งยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งอาหารย่าง
3. หมูแดงละลายในปาก (Signature Honey-Glazed BBQ Pork)

ปิดท้ายความประทับใจด้วยหมูแดงชิ้นโตที่ถูกหมักจนเข้าเนื้อและย่างด้วยน้ำผึ้งจนผิวภายนอกเงางาม รสสัมผัสของมันคือความนุ่มนวลจนเกือบจะ “ละลายในปาก” ความหวานของน้ำผึ้งและความหอมของเครื่องเทศจีนจะอบอวลอยู่ในปากยาวนาน
ซุปเห็ดสีทองและกังป๋วย (Yellow Fungus Mushroom Soup) 菜胆虫草花干⻉炖⻩⽿
เมื่อพนักงานยกถ้วยกระเบื้องสีขาวสะอาดตามาวางเบื้องหน้า สิ่งแรกที่จะปะทะเข้ากับโสตประสาทของท่านคือ “กลิ่นหอมกรุ่น” ที่นุ่มนวลแต่มีพลัง กลิ่นหอมนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หาไม่ได้จากซุปชนิดอื่น เพราะมันคือการหลอมรวมของสมุนไพรและอัญมณีจากท้องทะเล
1. น้ำซุปสีทอง: หัวใจของจักรพรรดิ

ความลับของความ “ใสกิ๊ง” แต่รสชาติกลับ “อัดแน่นด้วยอูมามิ” อยู่ที่การคัดสรร “กังป๋วย” (Dried Scallop) หรือหอยเชลล์แห้งคัดเกรดพรีเมียม วัตถุดิบชั้นสูงที่เป็นหัวใจหลักของครัวกวางตุ้ง เชฟต้องนำกังป๋วยไปตุ๋น (Double-boiled) นานหลายชั่วโมงร่วมกับโครงไก่แก่และแฮมยูนนาน เพื่อเคี่ยวเอาความหวานธรรมชาติออกมาจนน้ำซุปกลายเป็นสีทองอำพัน โดยมีการกรองอย่างพิถีพิถันจนไม่มีตะกอนแม้แต่น้อย รสสัมผัสที่ได้จึงลื่นไหลลงคออย่างนุ่มนวล (Silky Smooth)
2. สรรพคุณและวัตถุดิบ: พลังแห่งพฤกษา
ภายในถ้วยนี้คือการรวมตัวของสุดยอดวัตถุดิบที่ให้ทั้งรสชาติและสรรพคุณบำรุงร่างกาย Yellow Fungus (เห็ดหูหนูเหลือง): เห็ดชนิดนี้หาทานยากและมีราคาแพง มีความกรุบและนุ่มละมุนในตัวเดียว อุดมไปด้วยคอลลาเจนและช่วยบำรุงปอด ถังเช่า (Cordyceps Flower): เส้นสายสีส้มที่ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมสมุนไพรจางๆ และมีฤทธิ์ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และ Chinese Cabbage (ยอดผักกาดขาว): เชฟเลือกใช้เฉพาะส่วนที่อ่อนที่สุด (Heart of Cabbage) เพื่อให้ความหวานสดชื่นตัดกับความเข้มข้นของกังป๋วย

3. รสสัมผัส: ความลุ่มลึกที่ซึมลึกเข้าสู่ทุกอณู
ทันทีที่ซุปช้อนแรกแตะที่ปลายลิ้น ท่านจะรู้สึกถึงความหวานลึก (Deep Sweetness) ที่ค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วช่องปาก มันไม่ใช่ความหวานจากน้ำตาล แต่เป็นความหวาน “เช็ง” แบบดั้งเดิมที่เกิดจากการสกัดโปรตีนและแร่ธาตุออกมา เป็นซุปที่ทานแล้วรู้สึกได้ถึงความกระปรี้กระเปร่า สมกับที่เป็นซุปในระดับตำนานที่เสิร์ฟในวังหลวง
การทำซุปให้ใสแต่รสชาติเข้มข้นคือความท้าทายสูงสุดของเชฟจีน จานนี้ที่ Yu Ting Yuan สอบผ่านอย่างไร้ข้อกังขาครับ ทุกหยดของน้ำซุปคือความประณีตที่ช่วยล้างรสสัมผัสจากติ่มซำก่อนหน้า และเตรียมความพร้อมให้กับร่างกายเพื่อเข้าสู่เมนูหลักได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ก้ามปูนึ่งไส้ซีฟู้ดและเห็ดมอเรล (Steamed Crab Claw Dumpling) 羊肚菌百花蟹钳饺

หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ของเชฟ ที่ฟังดูตอนแรกอาจจะไม่เข้ากัน เสิร์ฟมาเป็นก้ามปูชิ้นโตนึ่งพร้อมไส้ซีฟู้ดรสละมุน วางสง่าบนซุปฟักทองสีเหลืองทองที่ผสมกับ เห็ดมอเรล เห็ดป่าที่มีราคาสูงและกลิ่นหอมเฉพาะตัว ปรุงรสด้วยน้ำมันต้นหอม แต่พอได้ลองชิมแล้วเป็นจานที่อร่อยมาก ๆ ซุปฟักทองมีความอูมามิอุ่นท้อง และความหอมอ่อน ๆ ของฟักทอง เมื่อรวมกับรสชาติของก้ามปูเข้ากันได้ดีมาก เป็นจานที่รวมความหวานจากทะเลและความหอมจากพงไพรได้อย่างอัศจรรย์

ข้าวผัดกุ้ง หอยเชลล์ และกระเทียมกรอบ

จานปิดท้ายที่โชว์ทักษะการคุมไฟอันยอดเยี่ยมพิสูจน์ฝีมือของเซฟในห้องอาหารจีน ข้าวทุกเม็ดถูกผัดหอมกลิ่นกระทะ (Wok Hei) เคลือบด้วยซอสอย่างทั่วถึงสม่ำเสมอ เป็นการปิดจบเมนูคาวได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ส่งท้ายด้วยของหวานที่ล้างปากได้อย่างสดชื่น:
“ของหวานคือโน้ตตัวสุดท้ายที่จะทำให้เพลงทั้งเพลงนั้นสมบูรณ์” หากมื้อหลักคือความตื่นเต้นเร้าใจ ของหวานที่ Yu Ting Yuan ก็คือความสงบอันแสนสดชื่นที่ช่วยประโลมเพดานปากได้อย่างละเมียดละไมครับ
1. สาคูมะม่วงส้มโอ (Chilled Mango Sago Cream with Pomelo)

杨枝甘露 นี่คือของหวานคลาสสิกสไตล์ฮ่องกงที่ถูกปรุงขึ้นด้วยความประณีตระดับ Fine Dining ตัวครีมมะม่วงมีเนื้อสัมผัสที่เนียนละเอียดราวกับกำมะหยี่ เชฟเลือกใช้มะม่วงน้ำดอกไม้สุกงอมที่ให้ความหวานแหลม ผสานกับความมันนวลของกะทิและนมสดได้อย่างลงตัว

ความสดชื่นที่เป็นมิติ ไฮไลท์อยู่ที่ “ส้มโอสด” ที่แกะมาเป็นกลีบสวยงาม เมื่อเคี้ยวไปพร้อมกับสาคูเม็ดละเอียด ความหวานอมเปรี้ยวและน้ำจากถุงส้มโอจะระเบิดออกมาช่วย “ล้างพาเลต” (Palate Cleanser) หรือล้างรสสัมผัสที่ตกค้างจากเครื่องเทศและน้ำมันในมื้อหลักออกไปจนหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงความเย็นฉ่ำที่ชวนให้ผ่อนคลาย
2. Petite Fours: งานศิลปะชิ้นเล็กที่เปี่ยมด้วยความหมาย
ธรรมเนียมการเสิร์ฟ Petite Fours ของที่นี่คือการสะท้อนถึงวัฒนธรรมการดื่มชาและการทานขนมมงคลของจีน โดยในเซต Lunch นี้ เชฟได้รังสรรค์มาถึง 3 รูปแบบที่มีเนื้อสัมผัสต่างกันโดยสิ้นเชิง

- คุกกี้วอลนัท (Walnut Cookie): เป็นตัวแทนของความกรอบมัน (Nutty) ที่หอมกลิ่นเนือและถั่ววอลนัทคั่วใหม่ๆ ให้รสสัมผัสแบบดั้งเดิมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
- เยลลี่กาแฟ (Coffee Jelly): มอบรสสัมผัสที่หยุ่นเด้ง พร้อมความขมจางๆ และความหอมเข้มของกาแฟชั้นดี ซึ่งเป็นการเลือกใช้รสขมมาตัดความหวานของมื้ออาหารได้อย่างชาญฉลาด
- ขนมฟักทองมันม่วง: งานฝีมือที่โชว์ทักษะการทำแป้งนุ่มหนึบ สีสันจากธรรมชาติของมันม่วงและฟักทองให้ความหวานแบบละมุนละไม เป็นการปิดท้ายมื้อด้วยความอบอุ่นและน่าประทับใจ
ความประทับใจสุดท้ายนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความหวานครับ แต่มันคือการคำนวณ “อุณหภูมิ” และ “รสสัมผัส” มาอย่างดี ตั้งแต่ความเย็นสุดขั้วของสาคูมะม่วง ไปจนถึงความกรอบและนุ่มของ Petite Fours ทุกอย่างถูกวางลำดับไว้เพื่อส่งต่อความรู้สึกขอบคุณจากเชฟสู่ผู้ทาน

สำหรับมื้ออาหารที่อัดแน่นไปด้วยความพรีเมียมระดับนี้ ในฐานะคนทำอาหาร ผมบอกได้เลยว่าการเลือก “เครื่องดื่ม” มาเคียงคู่คือหัวใจสำคัญที่จะช่วย “เปิด” และ “ปิด” รสชาติในแต่ละคำให้สมบูรณ์แบบ ซึ่งมื้อนี้การจับคู่ (Pairing) ระหว่างความซ่าหรูหราของแชมเปญ และความลุ่มลึกของชาผู่เอ๋อ คืออัจฉริยภาพของการผสานโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันอย่างแท้จริงครับ
ศาสตร์แห่งการดื่ม: เมื่อแชมเปญชั้นเลิศ พบกับ ชาผู่เอ๋อระดับตำนาน
1. ความรื่นรมย์จากฟองละเอียด: แชมเปญ (Champagne Pairing)
การเริ่มต้นมื้อติ่มซำด้วยแชมเปญเย็นจัดในแก้วทรงสูง คือการปลุกต่อมรับรสที่ชาญฉลาดที่สุดครับ

พรายฟอง (Perlage) ที่ละเอียดและต่อเนื่องของแชมเปญจะทำหน้าที่เป็นตัวกวาดล้างความมัน (Palate Cleanser) จากของทอดอย่าง พัฟเป๋าฮื้อ หรือ ปอเปี๊ยะล็อบสเตอร์ ได้อย่างดีเยี่ยม ความเป็นกรด (Acidity) ที่พอเหมาะและโน้ตของผลไม้เมืองหนาวในแชมเปญ ช่วยชูรสความหวานตามธรรมชาติของ เนื้อกุ้งมังกร และ กังป๋วย ให้โดดเด่นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นความสดชื่นที่ยกระดับมื้อกลางวันให้กลายเป็นงานเฉลิมฉลองขนาดกลาง
2. จิตวิญญาณแห่งตะวันออก: ชาผู่เอ๋อ (Pu-erh Tea)
เมื่อเข้าสู่เมนูหลักอย่าง รวมมิตรบาร์บีคิว หรือ หมูกรอบ 5 ชั้น ไม่มีอะไรจะคู่ควรไปกว่า “ชาผู่เอ๋อ” อีกแล้วครับ

ชาผู่เอ๋อที่ผ่านการหมักบ่มมาอย่างดีจะมีบอดี้ที่แน่น มีกลิ่นหอมของดินหลังฝนและไม้เก่า (Earthy notes) ซึ่งเข้ากันได้ดีกับกลิ่นย่างไฟของหมูแดงและหมูกรอบ ในทางศาสตร์อาหารจีน ชาผู่เอ๋อมีฤทธิ์อุ่น ช่วยย่อยไขมันและล้างความเลี่ยนจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ รสสัมผัสที่ฝาดเล็กน้อย (Tannins) ของชาจะไปจับกับไขมันของหมูกรอบ ทำให้ทุกคำที่คุณทานเข้าไปยังคงรสชาติสดใหม่เหมือนคำแรกเสมอ
ความบริสุทธิ์เหนือระดับ: La Cuvée Champagne Laurent-Perrier Brut
Aroma (กลิ่นสัมผัส): ทันทีที่พรายฟองละเอียดระเบิดตัว สิ่งแรกที่ท่านจะได้รับคือความ “สดชื่นอย่างยิ่งยวด” แชมเปญตัวนี้ขึ้นชื่อเรื่องสัดส่วนของ Chardonnay ที่สูงกว่าแชมเปญทั่วไป (เกือบ 55%) กลิ่นจึงเต็มไปด้วย ดอกไม้สีขาว (White Flowers) และ ผลไม้ตระกูลซิตรัส ที่สว่างไสว ตามด้วยกลิ่นอ่อนๆ ของ White Peach และ Green Apple ที่เพิ่งเด็ดมาใหม่ๆ เป็นกลิ่นที่สะอาดและเรียบหรูไร้ที่ติ
Palate & Texture (รสสัมผัสและเนื้อสัมผัส):
- The First Sip: รสสัมผัสแรกมีความ “กรอบ (Crisp)” และมีโครงสร้างที่สมดุลมาก ความซ่าของฟอง (Mousse) มีความละเอียดอ่อนจนเกือบจะพริ้วไหวในปาก
- Complexity: แม้จะเน้นความสดชื่น แต่ยังมีความลุ่มลึกของ ฮันนี่ซักเคิล (Honeysuckle) และความเค็มจากแร่ธาตุจางๆ ที่ปลายลิ้น
- Finish: จบได้เฉียบคมและยาวนาน (Lively Finish) ทิ้งความสดชื่นไว้ในลำคอ ซึ่งเป็นคาแรกเตอร์เฉพาะตัวของ Laurent-Perrier ที่เน้นความสดใส (Freshness) มากกว่าความหนักแน่นของขนมปัง
ศาสตร์แห่งการ Pairing ทำไมถึงเข้ากับ “ติ่มซำระดับพรีเมียม” ได้อย่างไร้ที่ติ?
- คู่แท้ของ “ล็อบสเตอร์” และ “กังป๋วย”: ด้วยความที่เป็นแชมเปญเน้น Chardonnay กลิ่นดอกไม้และผลไม้สีขาวจะช่วยเสริมความ “หวานตามธรรมชาติ” ของ ขนมจีบล็อบสเตอร์ และ ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง ได้ดีกว่าแชมเปญตัวไหนๆ มันทำให้รสสัมผัสของอาหารทะเลชัดเจนขึ้นเหมือนมีสปอร์ตไลท์ส่อง
- ตัวช่วยล้าง “ความมัน” ที่ทรงประสิทธิภาพ: กรด (Acidity) ที่สว่างใสของ La Cuvée คือคู่ปรับตัวฉกาจของไขมันใน “หมูกรอบ 5 ชั้น” และความกรอบของ “ปอเปี๊ยะสีทอง” มันจะกวาดล้างความมันบนลิ้นออกไปอย่างหมดจด ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกเบาสบาย
- สะพานเชื่อมสู่ “ชาผู่เอ๋อ”: การจิบ Laurent-Perrier สลับกับ ชาผู่เอ๋อ (รูปที่ 13) คือความอัจฉริยะครับ แชมเปญให้ความ “เย็นและซ่า” ส่วนผู่เอ๋อให้ความ “อุ่นและนุ่ม” รสสัมผัสที่ตัดกันนี้จะกระตุ้นเพดานปากให้ตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้ทุกคำของติ่มซำคือรสชาติใหม่เสมอ
การสลับจิบระหว่าง แชมเปญ ที่ให้ความตื่นตัวสดใส และ ชาผู่เอ๋อ ที่ให้ความสุขุมนุ่มลึก คือประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง มันช่วยสร้างสมดุลให้กับร่างกายและทำให้มื้ออาหารนี้มีจังหวะ (Rhythm) ที่น่าประทับใจตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงหยดสุดท้าย
Yu Ting Yuan คือสถานที่ที่มอบประสบการณ์การทานอาหารมากกว่าแค่รสชาติ นอกจากอาหารเลิศรสแล้วจุดเด่นของ Yu Ting Yuan คือ เครื่องดื่มที่จะมาผสมผสานกับอาหารมื้อพิเศษไม่ว่าจะเป็นชาผู่เอ๋อชั้นเลิศไปจนถึง wine list และ champagne list ที่คัดสรรมาอย่างดีว่าเหมาะกับรสชาติที่เหมาะกับทุกโอกาส ดังนั้น ดังนั้นการรับประทานอาหารที่ Yu Ting Yuan นั้นไม่ใช่เป็นเพียงการมาลิ้มลองอาหารเลิศรส แต่คือการดื่มด่ำกับวัฒนธรรมและความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด
- ราคา: ชุดอาหารกลางวัน (Lunch Dim sum Set) 1,800++ บาท ต่อท่าน
- การจอง: เนื่องด้วยวัตถุดิบซิกเนเจอร์บางรายการมีจำนวนจำกัดต่อวัน แนะนำให้สำรองที่นั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ผ่านเว็บไซต์ของโรงแรม Four Seasons https://www.fourseasons.com/bangkok/dining/restaurants/yu-ting-yuan/
Dimsum Yu Ting Yuan Four Seasons Hotel Bangkok at Chao Phraya River